เนื่องวโรกาสครบรอบสัปดาห์ของสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์และความประจวบเหมาะกับปีแห่งการยึดคืนพื้นที่เมืองอาบาดาน คณะผู้บัญชาการทหาร เหล่าพลทหาร ทหารผ่านศึกและบรรดาศิลปิน ได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี
ในช่วงแรกของพิธีการ บรรดาทหารผ่านศึกในสงครามศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวรำลึกความทรงจำในประสบการณ์ การยืนหยัดต้านทาน ความกล้าหาญ ความศรัทธา การเสียสละและการเป็นชะฮีด (พลีชีวิตในหนทางของพระเจ้า) ในระหว่างสงครามในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ลำดับต่อไปของพิธีการนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวปราศรัยโดยกล่าวขอบคุณต่อทุกๆคนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ในการชูธงชัยเพื่อธำรงรักษาในความทรงจำและคุณค่าอันสูงส่งของสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านเน้นว่า “เราจะต้องมีการจัดตั้งสถาบันในการแปลผลงานที่ได้รับการประพันธ์ทั้งผลงานทางด้ายศิลปะและภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่จะทำให้ประชาคมโลกได้เห็นถึงสาสน์ของจิตวิญญาณของศรัทธา การต่อสู้และการไม่พ่ายแพ้ของประชาชาติอิหร่าน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความทรงจำของเหล่าทหารที่ได้ผ่านช่วงเวลาในสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธ์และครอบครัวของพวกเขาทั้งหลายนั้นคือ ขุมทรัพย์อันมหาศาลและเป็นทุนเสบียงให้กับประชาชาติอิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการฟื้นฟูขุมทรัพย์เหล่านี้และต้องหลีกเลี่ยงจากการทำลายในการรายงานที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ช่วงเวลาในสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นการวาดภาพของสถานการณ์ในการมีอำนาจในโลกของมหาอำนาจ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “บรรดาทหารในช่วงสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยกับการกระทำของพวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ที่แท้จริงของโลกที่ป่าเถื่อนและฉ้อฉล ซึ่งปราศจากด้านจิตวิญญาณและความยุติธรรม ที่จะต้องทำให้ภาพลักษณ์เหล่านี้ได้ถูกนำเสนอต่อประชาคมโลก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงตัวอย่างของสถานการณ์ที่ไม่สมดุลของประชาชาติอิหร่านในการเผชิญหน้ากับพวกพรรคบาธ ศัตรูผู้ที่ละเมิด โดยกล่าวว่า “ในช่วงสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ไม่มีการอนุญาตให้ประชาชาติอิหร่านได้ใช้ประโยชน์จากอาวุธยุทโธกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ แม้กระทั่ง การติดลวดหนาม แต่ฝ่ายตรงกันข้ามกับมีการใช้ประโยชน์จากอาวุธสงครามที่ทันสมัยที่สุด และแม้แต่ การใช้อาวุธทางเคมีก็ตาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “ในขณะที่ปัจจุบันนี้ มีการกล่าวหาและใส่ร้ายเกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมี แต่ก็ประเทศตะวันตกเหล่านี้นั้นแหละที่ในช่วงสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ให้อาวุธเคมีกับซัดดาม ไม่ใช่เฉพาะในสมรภูมิของการต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีการใช้อาวุธเคมีในเมืองต่างๆเช่น เมืองซัรดัชต์อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกว่า “สาธารณรัฐอิสลามไม่ได้ถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมือง เฉพาะในช่วงเวลานั้น แต่ก็ยังถูกคว่ำบาตรทางการสื่อสารด้วย เสียงของประชาชาติจะไม่ถูกได้ยิน เพราะว่าสื่อต่างๆของโลกนั้นถูกควบคุมโดยระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ ซึ่งพวกเขาสามารถที่จะเผยแผ่สิ่งใดก็ตามที่ต่อต้านประชาชาตินี้ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการช่วยเหลือทางอาวุธของฝรั่งเศสและเยอรมันให้กับเผด็จการซัดดาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ทำไม ประชาชนชาวฝรั่งเศสและเยอรมัน จะต้องไม่รับรู้เลยหรือว่า รัฐบาลของพวกเขานั้นได้ทำอะไรกับประชาชาติอิหร่านในช่วงสงครามแปดปี?”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นว่า ในขณะนี้โลกก็ไม่เห็นถึงภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและการใส่ร้ายของระบอบมหาอำนาจที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน โดยท่านยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “นี่คือความละเลยของพวกเราเอง เพราะว่าส่วนมากของการกระทำที่สามารถจะกระทำได้ในช่วงสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ในวรรณคดี ภาพยนตร์ การจัดแสดงโชว์ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “แต่ก็มีการดำเนินการในการงานที่ถูกรับมอบหมาย ซึ่งแม้จะมีปริมาณน้อยก็ตาม แต่ก็ถือว่ายังมีผลอย่างมาก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความสำคัญในความลึกซึ้งของประเด็นต่างๆในช่วงสงครามในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยกล่าวเสริมว่า “ในมหกรรมภาพยนตร์ของชาติตะวันตก ได้มีการจัดแสดงภาพยนตร์ของอิหร่านที่คุณภาพนั้นต่ำกว่าภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เนื่องจากความหวาดกลัวที่จะฉายภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับสงครามศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าภาพยนตร์นี้นั้นจะฉายภาพลักษณ์ที่แท้จริงของระบอบการปกครองของมหาอำนาจออกมาให้โลกได้เห็นอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงผลงานทางวรรณคดีและศิลปะของสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ อาวุธที่มีประโยชน์และยิ่งใหญ่ โดยกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการแปลผลงานที่ดีทางวรรณคดีที่เกี่ยวกับสงครามในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษาต่างๆของโลก เพื่อที่จะทำให้ประชาคมโลกได้เห็นว่าในเมืองอาบาดาน และโครัมชะฮ์ร์ ในการปฏิบัติการณ์ต่างๆของพวกเราในเมืองและหมู่บ้านทั้งหลายนั้นเป็นอย่างไรและจะได้รู้ว่าประชาชาติอิหร่านนั้นเป็นประชาชาติอย่างไร?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ถ้าหากว่ายังไม่มีการเก็บรวบรวมแหล่งทุนของความทรงจำในช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่า ศัตรูก็จะรายงานเกี่ยวกับสงครามตามความปรารถนาของเขา และนี่คือ อันตรายหนึ่งที่ทุกๆคนจะต้องรู้สึกถึงหน้าที่และมีความจริงจังต่ออันตรายนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ในรายงานเกี่ยงกับสงครามในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีการแสดงถึงจิตวิญญาณของความศรัทธา การเสียสละ การมีใจรัก การต่อสู้ และการไม่พ่ายแพ้ของประชาชาติอิหร่านที่มีความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมในสนามของสงครามและการต่อสู้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวอีกว่า “วันนี้ หากว่าเราได้ยินสาสน์ที่ถูกต้องของบรรดาชะฮีดและสงครามศักดิ์สิทธิ์แล้วละก็จะไม่รู้สึกถึงหวาดกลัวและความเสียใจเลย ซึ่งสาส์นนั้นจะเป็นสาสน์แห่งความปลื้มปิติ ความกล้าหาญที่ควรค่าต่อการดำเนินการอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆจะต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่องในการเพิ่มศักยภาพทางผลงานทางวรรณคดีและศิลปะที่เกี่ยวกับสงครามในการป้องกันศักดิ์สิทธิ์ เป็นหลายร้อยเท่าด้วยกัน โดยกล่าวเสริมว่า “หากว่ามีการปฏิบัติที่ถูกต้องในการงานเหล่านี้ ก็จะทำให้แผนการร้ายของมหาอำนาจต้องพบกับความล้มเหลว”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นในช่วงท้ายว่า “ดั่งเช่นในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลามและช่วงสงครามการป้องกันศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้แผนการร้ายของมหาอำนาจที่ต้องการจะทำลายต้นกล้าของการปฏิวัติต้องพบกับความล้มเหลวและล่าถอยออกไป บัดนี้ ก็เช่นกัน ด้วยกับการตะวักกุล(การมอบหมายกิจการต่อพระเจ้า)และความอุตสาหะพยายามได้ทำให้แผนการร้ายเหล่านี้เป็นโมฆะ”
ในพิธีการนี้ ฮุจญตุลอิสลาม กุมมี ผู้อำนวยการองค์กรการเผยแพร่อิสลามได้นำเสื้อของชะฮีด มุฮัมมัด ฏอฮา ชะฮีดที่อายุน้อยที่สุดในเหตุการณ์ก่อการร้ายเมืองอะห์วาซที่ได้รับมอบจากครอบครัวของเด็ก 4 ขวบผู้นี้เป็นของขวัญให้กับท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี
และเช่นเดียวกัน ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ด้วยกับการให้ความเคารพต่อของขวัญอันทรงคุณค่านี้ได้ฝากความคิดถึงและขอบคุณอย่างสุดซึ้งของท่านต่อครอบครัวของชะฮีดเด็กผู้นี้ รวมทั้งประชาชนชาวเมืองอะห์วาซด้วย
ในการเข้าพบปะกันครั้งนี้ บรรดาทหารในช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์ จำนวน 11 คนได้กล่าวถึงความทรงจำในช่วงสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีรายชื่อดังต่อไปนี้
มุรตะฎอ ซัรฮังกี ผู้อำนวยการสำนักงานวรรณคดีและศิลปะในการยืนหยัดต้านทาน
มุรตะฎอ บาบาอี คุรอซานี ทหารในช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์และผู้คิดค้นการสร้างสะพานผ่านแม่น้ำอัรวันด์
พลเรือเอก อับดุลเลาะห์ มะอ์นาวี ผู้บัญชาการหน่วยเรือซะบะลานและนักเขียน
มูซาวี ทหารในสงครามศักดิ์สิทธิ์
นายพล ระฮามบัคช์ ฮะบีบี ทหารในสงครามศักดิ์สิทธิ์และเป็นทหารผ่านศึก
ซัยยิดมัซอูด ชุจาอี ทหารและศิลปินในการปฏิวัติอิสลาม
นายพัน กัปตันอะมีรอะลี มีลาน ทหารในสงครามศักดิ์สิทธิ์
นายพล ฮะมีด ซัรคีซี รองผู้บัญชาการกองทัพอาบาดานในช่วงที่เมืองอาบาดานถูกยึดครอง
พลเอก ซะอีด พูร ดารอบ ผู้บัญชาการหน่วยฮัมซะฮ์ ที่ 11
นายพล นะบียุลลอฮ์ รูดิกี ผู้บัญชาการหน่วยฟัจร์ฟาร์ซ์ที่ 19
นางฟาฏิมะฮ์ ญูชี ทหารผ่านศึกและนักเขียน
และเช่นกันพลทหารและนักเขียนจำนวนหนึ่งได้มอบผลงานของตนให้เป็นของขวัญกับท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม
ทั้งนี้ ในพิธีการนี้ พลเอกบากีรี ผู้บัญชาการกองกำลังทุกเหล่าทัพได้กล่าวรายงานถึงแบบแผนงานและกิจกรรมที่ได้มีการดำเนินการไปแล้วในการธำรงรักษาในวัฒนธรรมและคุณค่าของสงครามการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตาม ในพิธีการนี้ได้มีการทำนมาซมักริบและอิชาอ์ ร่วมกันโดยการนำของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามอีกด้วย