คณะนักกีฬาของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านที่คว้าเหรียญรางวัลโดยสร้างความภาคภูมิใจต่อประเทศในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2018 ที่กรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ซึ่งถือว่าเป็นการพบปะกันอย่างเป็นกันเอง
ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ก่อนที่จะกล่าวถึงประเด็นที่สำคัญกับทีมนักกีฬา ท่านผู้นำยังถือว่า “การเข้าร่วมของประชาชาติอิหร่านในพิธีการรำลึกไว้อาลัยให้กับท่านอิมามฮุเซน ซัยยิดุชชุฮะดา (หัวหน้าของเหล่าผู้พลีทั้งหลาย) อย่างอบอุ่นนั้นเต็มไปด้วยกับความหมายและความยิ่งใหญ่ที่มากกว่าในหลายปีที่ผ่านมา และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงเหตุการณ์ในการก่อการร้ายเมื่อสองวันที่ผ่านมาในเมืองอะห์วาซ โดยกล่าวว่า “เหตุการณ์อันขมขื่นนี้ แสดงให้เห็นอีกครั้งว่า ประชาชาติอิหร่านนั้นรู้สึกมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งในแนวทางของความก้าวหน้าที่จะต้องมีศัตรูอยู่เป็นจำนวนมากก็ตาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การโจมตีต่อผู้ที่ไม่มีทางในการป้องกันตัวนั้น เป็นการกระทำของคนขี้ขลาดตาขาว โดยท่านยังเน้นว่า “การกระทำที่กล้าหาญต่างหากที่ได้รับมาจากเหล่าเยาวชนที่มีเกียรติของประเทศชาติที่สร้างความภาคภูมิใจในแวดวงต่างๆทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ การป้องกันประเทศ และทางการกีฬา “
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ตามที่รายงานได้ระบุว่า การกระทำของพวกขี้ขลาดตาขาวนั้นคือ เหล่าพวกที่เมื่อครั้งประสบกับปัญหาความวุ่นวายในซีเรียและอิรัก พวกสหรัฐจะให้การช่วยเหลือกับพวกเขาและพวกเขาก็ยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกว่า “แน่นอนที่สุด เราจะตอบโต้กับผู้ที่บ่งการในการโจมตีครั้งนี้อย่างสาสม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในการปราศรัยของท่านยังได้เน้นถึงคุณค่าในการกระทำที่ยิ่งใหญ่ในการคว้าเหรียญรางวัลและมีข้อแนะนำบางประการให้กับทีมนักกีฬาอีกด้วย
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “เหรียญรางวัลที่แท้จริง คือ พวกท่านทั้งหลาย เพราะว่า พวกท่านนั้นคือ สิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดของประเทศชาติและถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในความก้าวหน้าที่จะต้องมีกำลังคนที่มีประสิทธิภาพ มีศรัทธา มีความจริงจังและชาญฉลาด อีกทั้งเต็มไปด้วยกับความอุตสาหะ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างความภาคภูมิใจของเหล่าสตรีและบุรุษในการคว้าเหรียญรางวัลในการแข่งขันนานาชาติ นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชาติที่เป็นอิสรชนต้องปลาบปลึ้มปิติและยังเป็นสิ่งที่ฝ่ายมหาอำนาจรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยกล่าวเสริมว่า “เหล่ามหาอำนาจจะรู้สึกโกรธต่อชัยชนะของประชาชาติอิหร่านในทุกๆเวที ฉะนั้นชัยชนะของพวกท่านทั้งหลายในความเป็นจริงก็คือ ชัยชนะของประชาชาติและความปราชัยของเหล่าศัตรูของสาธารณรัฐอิสลาม ด้วยเหตุนี้เอง ข้าพเจ้านั้นมีความภาคภูมิใจต่อพวกท่านและสาส์นขอบคุณต่างๆของข้าพเจ้านั้นแสดงถึงความเป็นจริงที่มาจากก้นบึงของหัวใจ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของเหล่าศัตรูในการซ่อนเร้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่านในแวดวงต่างๆ โดยกล่าวว่า “โดยที่จริงแล้ว การสร้างความภาคภูมิใจของพวกท่านในฐานะนักกีฬานั้นไม่อาจที่จะปกปิดต่อสายตาหลายร้อยล้านคนได้ ซึ่งจะต้องเพิ่มคุณค่าให้กับการกระทำของพวกท่านอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างภาพลักษณ์อันถาวร อย่างเช่น ในการขอพร (ดุอาอ์) และการซูญูด(กราบ)ต่อพระผู้เป็นเจ้า หลังจากการได้รับชัยชนะ การยึดมั่นในการคลุมฮิญาบของนักกีฬาหญิงในการแข่งขันต่างๆและการมอบเหรียญรางวัลเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับบรรดาชะฮีด ผู้ทรงเกียรติ แสดงให้เห็นถึงการมีอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของชาวมุสลิมและการเป็นนักกีฬาที่มีเกียรติของอิหร่าน โดยท่านยังเน้นว่า “การเป็นผู้ชนะจอมปลอมที่เกิดขึ้นกับบางประเทศนั้นแสดงถึงความไร้สามารถทางอัตลักษณ์ประเทศนั้นๆ ในขณะที่ความสำเร็จที่แท้จริง คือ สิ่งที่พวกท่านได้สร้างความภาคภูมิใจในการเป็นตัวแทนทางอัตลักษณ์ของประชาชาติ ซึ่งไม่อาจที่จะคำนวณคุณค่าทางวัตถุได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวในมุมเดียวกันกับประเด็นภัยคุกคามที่มีต่อนักกีฬาของประเทศจากบางหน่วยงานต่างประเทศ โดยกล่าวว่า “การยอมจำนนและยอมแพ้ในการเผชิญหน้ากับบรรทัดฐานของมหาอำนาจไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจ ดังนั้นในการเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่ว่า หากพวกท่านไม่เข้าร่วมในการแข่งขันสักอย่างหนึ่งหรือไม่ได้กระทำการอะไรก็ตาม จะทำให้สมาพันธ์นั้นรู้สึกไม่พอใจ ซึ่งพวกต้องไม่ควรยอมจำนนกับการคุกคามหรือบรรทัดฐานที่ผิดพลาดนี้เป็นอันขาด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงสนามในการเล่นกีฬา ไม่ใช่สนามแห่งความหวาดกลัว แต่เป็นสนามแห่งความกล้าหาญและความก้าวหน้า โดยกล่าวว่า “จะต้องไม่มีการลดค่าของความถูกต้อง โดยที่พวกต่อต้านในคุณค่าต่างๆของประชาชาติอิหร่านก็ไม่อาจที่จะกระทำการอะไรได้เช่นกัน เหมือนดั่งที่เมื่อปีที่ผ่านมา อะลีริฎอ กะรีมีได้ยอมรับถึงความพ่ายแพ้ที่มีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่มีการคุกคามต่อเขาและสมาพันธ์กีฬามวยปล้ำ แต่ในปีนี้เยาวชนคนนี้ได้รับชัยชนะและสร้างความภาคภูมิใจ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเพิ่มถึงเหตุผลในการคัดค้านต่อการแข่งขันกับตัวแทนของอิสราเอล โดยได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “นับตั้งแต่เริ่มแรกของการปฏิวัติอิสลาม สาธารณรัฐอิสลามไม่ได้ยอมรับระบอบไซออนิสต์และระบอบการเหยียดสีผิวของแอฟริกาใต้ แต่ระบอบการเหยียดสีผิวของแอฟริกาใต้ถูกทำลายลงไปแล้ว และระบอบทรราชและการฉ้อฉลและการเหยียดสีผิวของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ก็จะต้องถูกทำลายด้วยเช่นกัน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจะไม่เข้าร่วมแข่งขันกับตัวแทนของอิสราเอลเป็นอันขาด และข้าพเจ้าก็เชื่อว่า สิ่งที่อะลี ริฎอ กะรีมีได้กระทำเมื่อปีที่แล้วแสดงถึงตัวอย่างของการเป็นผู้ชนะที่แท้จริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการสนใจพิเศษของประชาชนต่อเยาวชนที่กล้าหาญ โดยกล่าวว่า “ในขณะที่มีความกล้าหาญ ก็จะต้องมีความนอบน้อม เคร่งครัดต่อศาสนา เป็นนักการปฏิวัติและเป็นผู้ที่มีความรักต่อครอบครัวของตนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่ใสสะอาดให้กับสายตาของประชาชนทั้งหลาย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การพบปะกับบรรดาผู้ที่สร้างความภาคภูมิใจในคาราวานทัพนักกีฬา คือ การพบปะที่ควรค่าต่อการรำลึกและเป็นวันที่หอมหวานที่จะต้องอยู่ในความทรงจำตลอดไป โดยกล่าวว่า “นักกีฬาที่กล้าหาญ จะต้องเป็นเสาหลักให้กับประชาชนทุกคน โดยการเชิญชวนพวกเขาเหล่านั้นให้มาเล่นกีฬาและต้องถือว่า การเล่นกีฬานั้นเป็นสิ่งที่หอมหวาน”
ในการเข้าพบกันครั้งนี้ ถือว่าเป็นการพบปะกันอย่างเป็นกันเองและยังมีการแนะนำตัวของนักกีฬายอดเยี่ยม พร้อมทั้งกล่าวถึงความภาคภูมิใจของพวกเขาอีกด้วย
ทั้งนี้ ในการพบปะกันครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกีฬาและเยาวชน เลขาธิการสมาพันธ์โอลิมปิค ประธานสมาพันธ์การกีฬาต่างๆได้เข้าร่วมรับฟังด้วยเช่นกัน รวมทั้ง บรรดานักกีฬาและผู้เข้าร่วมการแข่งขันเอเชียนเกมส์ก็ได้ร่วมทำนมาซซุฮ์ริและอัศริโดยการนำของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม