สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

คณะทูตานุทูต อุปทูต และเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

“หน่วยงานทางการทูต จะต้องมีการรักษาผลประโยชน์ของชาติ”

“ความคิดที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆโดยผ่านวิธีการเจรจาหรือการมีความสัมพันธ์กับสหรัฐนั้น คือ ความผิดพลาดที่ชัดแจ้ง”

เมื่อช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ผ่านมา คณะทูตานุทูต อุปทูตและเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศเข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำถือว่า การปกป้องผลประโยชน์ของชาติ คือ ความหมายที่แท้จริง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของนโยบายด้านต่างประเทศ และท่านยังได้อธิบายถึงข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติทางการทูตในระบอบรัฐอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “เราสามารถที่จะมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างกว้างขวางด้วยกับการมีจิตวิญญาณในการปฏิวัติ และนักการทูตที่เฉลียวฉลาดและมีเป้าหมาย อีกทั้งยังทำให้องค์ประกอบในการมีอำนาจของรัฐนั้นได้เปลี่ยนเป็นพลังในการสนับสนุนต่อผลผลิตทางการเมืองและทางการทูต”

ในช่วงแรกของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันและการเกิดขึ้นของฝ่ายที่ต่อต้านอิสลามและสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และด้วยกับการพยายามทางการทูตนั้นเป็นการกระทำที่จะได้รับรางวัลจากพระผู้เป็นเจ้าและยังเป็นความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์และชาติในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวว่า “ในความท้าทายต่างๆนั้น มนุษย์จะมีความละอาย ความอดทน และสติปัญญา ความพยายามและมีการเพิ่มปริมาณและคุณภาพในการกระทำ ด้วยเหตุนี้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องมีจิตวิญญาณในการแสดงถึงการกระทำใหม่ๆในหน่วยงานทางการทูตอย่างกว้างขวางด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “การรักษาความปลอดภัยทางศาสนาและความใสสะอาดทางจิตวิญญาณของตนและครอบครัว การยืนหยัดทางพฤติกรรมและวาจาต่อหลักศาสนบัญญัติ คือ หน้าที่ๆสำคัญที่สุดของบรรดาเจ้าหน้าที่ พนักงานของกระทรวงต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาทูตานุทูตและผู้แทนสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในต่างประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงหน่วยงานทางการทูต คือ ส่วนหลักของนโยบายทางด้านต่างประเทศของประเทศและยังเป็นสัญลักษณ์ทางภายนอกของสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “กระทรวงต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาทูตานุทูต จะต้องยืนหยัดอย่างลึกซึ้งในคุณค่าของอิสลามและการปฏิวัติอิสลาม ทั้งยังจะต้องแสดงออกทางพฤติกรรมและวาจาที่มีต่อคุณค่าเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายต่อถึงข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติทางการทูตในระบอบรัฐอิสลาม โดยถือว่า เงื่อนไขที่จำเป็นของเจ้าหน้าที่ทางการทูตก็คือ การมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งและมั่นคง มีความหวังต่ออนาคต และการใช้ประโยชน์จากความรู้สึกอย่างชอบธรรม และท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงประเด็นสำคัญของผลประโยชน์แห่งชาติ โดยกล่าวว่า “เป้าหมายหลักและแท้จริงของนักการทูต คือ การรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทั้งการมีปฏิสัมพันธ์หรือการมีความเห็นที่แตกต่างกันนั้นคือ วิธีการเดียวในการที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ผลประโยชน์ของชาตินั้นเป็นโครงสร้างของนโยบายหลักและคุณค่าที่สำคัญของรัฐอิสลาม โดยเน้นว่า “หน่วยงานทางการทูต จะต้องมีการรักษาผลประโยชน์ของชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของ พณฯ ท่านประธานาธิบดีในการเดินทางเยือนประเทศยุโรปครั้งล่าสุดที่กล่าวว่า หากว่าอิหร่านไม่ส่งออกน้ำมัน ก็จะไม่มีประเทศใดเลยที่จะมีการส่งออกน้ำมันได้ ถือได้ว่า คำพูดนี้เป็นคำพูดที่สำคัญและตรงกันกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “หน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศ ก็คือ การติดตามอย่างจริงจังในการดำเนินการต่อจุดยืนของท่านประธานาธิบดี”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อถึงประเด็นทางการทูตในเชิงอุดมการณ์ และกล่าวเสริมว่า “บางคนเข้าใจว่า จำเป็นที่จะต้องแยกประเด็นทางการทูตออกจากอุดมการณ์ ในขณะที่ในการมีนักการทูตเชิงอุดมการณ์ก็ถือว่าไม่เป็นปัญหาใดๆทั้งสิ้น และในทางตรงกันข้ามกันของอุดมการณ์กับผลประโยชน์ของชาตินั้นถือว่า ไม่ถูกต้องและไม่ได้ตรงกับตรรกะแต่อย่างใด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกว่า เป้าหมายในการจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลาม คือ การรักษาผลประโยชน์ของชาติ อิสรภาพ เสรีภาพ ความยุติธรรมทางสังคม การมีอำนาจและความมั่นคงแห่งชาติ โดยกล่าวเสริมว่า “การมีอุดมการณ์จะทำให้มีการรักษาผลประโยชน์ของชาติและยังถือได้ว่า นั่นคือ การมีอัตลักษณ์หนึ่งของประชาชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการมีอุดมการณ์ทางด้านพฤติกรรมและนโยบายของรัฐบาลตะวันตก โดยกล่าวว่า “พวกสหรัฐฯได้ใช้ถ้อยคำ ค่านิยมของสหรัฐ มาหลายครั้งแล้ว ซึ่งก็แสดงถึงการมีอุดมการณ์ของพวกเขาที่เกิดขึ้นมาจากการประกาศอิสรภาพของสหรัฐ ขณะเดียวกันในประเทศทั้งหลายในยุโรปก็มีแนวคิดเชิงอุดมการณ์ในด้านพฤติกรรมและการกระทำทางการเมืองของพวกเขาด้วยเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความสัมพันธ์อย่างมีสติ เฉลียวฉลาด มีเป้าหมาย และมีตรรกะกับโลกนั้น เกิดขึ้นมาจากมุมมองของอิสลามที่มีรัฐอิสลามและก็ยังตรงกันกับประเด็นในการเป็นนักการทูตเชิงอุดมการณ์อีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความจำเป็นในการมีจิตวิญญาณทางการปฏิวัติในการมีปฏิสัมพันธ์และวิสัยทัศน์ของนักการทูต โดยกล่าวเสริมว่า “เจ้าหน้าที่นักการทูตชาวอิหร่าน จะต้องมีความภาคภูมิใจในการปฏิวัติอิสลาม และในการมีปฏิสัมพันธ์ก็จะต้องมีรู้สึกในการมีอำนาจและเชื่อมั่นต่อตนเอง ซึ่งจะต้องเห็นได้อย่างชัดเจน แต่ทว่า การมีพฤติกรรมเหล่านี้กับการกระทำในการปฏิวัตินั้นมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในถ้อยคำที่ไม่ได้ตรงกันกับสติปัญญาและการสร้างความวุ่นวาย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงความจำเป็นของบรรดาทูตานุทูตและเจ้าหน้าที่นักการทูตชาวอิหร่านที่จะต้องมีความรู้สึกอย่างถูกต้องต่อปัญหาทางสงครามจิตวิทยาของเหล่าศัตรู โดยกล่าวว่า “จะต้องมีความรู้สึกอย่างถูกต้อง มีความเข้าใจและมีชำนาญต่อประเด็นที่ท้าทาย และมีคำตอบอย่างแน่วแน่ อีกทั้งยังต้องมีตรรกะในข้อกล่าวหาของต่างชาติด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกล่าวหาอิหร่านอย่างสม่ำเสมอในปัญหาทางด้านลบหนึ่ง คือ หน้าที่หลักของสงครามทางจิตวิทยา โดยกล่าวเสริมว่า “เพื่อให้มีการบรรลุยังเป้าหมายนี้ ได้มีการกล่าวย้ำเกี่ยวกับความหวาดกลัวต่ออิหร่าน การเป็นปฏิปักษ์กับอิหร่าน การหนีห่างจากอิหร่าน ข้อกล่าวหาในการละเมิดประชาธิปไตย การขาดเสรีภาพ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งหมดนั้นคือ ข้อกล่าวหาในการโฆษณาชวนเชื่อของต่างชาติทั้งสิ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงอาชญากรรมของพวกยุโรปและพวกตะวันตกในการล่าอาณานิคมในอดีตที่ผ่านมา ทั้งในการจำกัดขอบเขตของระบอบประชาธิปไตยในตะวันตกที่มีต่อข้อบังคับหรือความคิดเห็นของสถาบันที่เฉพาะเจาะจง การดำรงอยู่ของระบอบเผด็จการในพรรคการเมืองของสหรัฐฯและบางประเทศในยุโรป เช่นเดียวกับอาชญากรรมของพวกตะวันตกที่ได้ก่อไว้ในปัจจุบัน รวมทั้งในการสมรู้ร่วมคิดกับซาอุดี้ในการสังหารหมู่ประชาชนชาวเยเมน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “พวกตะวันตกทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์ของการละเมิดสิทธิทางมนุษยชน แต่ด้วยความเหิมเกริมของพวกเขากลับมากล่าวหาว่าอิหร่าน ถึงขนาดที่ว่า บางทีมนุษย์นั้นยังรู้สึกประหลาดใจในความเหิมเกริมของพวกเขาด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความคิดที่จะแก้ปัญหาต่างโดยผ่านการเจรจาหรือการมีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯนั้นเป็นข้อผิดพลาดที่ชัดแจ้ง และท่านยังกล่าวเสริมว่า “สหรัฐฯนั้นมีปัญหากับพื้นฐานและหลักการของระบอบรัฐอิสลาม ในขณะที่ในหลายประเทศทางทวีปแอฟริกา เอเชียและละตินอเมริกา ก็มีความสัมพันธ์กับอเมริกา แต่ก็มีปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมากมายตามมา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างลึกซึ้งของสหรัฐฯกับสาธารณรัฐอิสลามโดยท่านยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “พวกอเมริกากำลังมองหาทางเพื่อจะกลับไปยังฐานะภาพและจุดที่พวกเขาเคยอยู่ในอิหร่านก่อนจากการปฏิวัติอิสลาม และพวกเขาก็จะไม่พอใจอะไรที่มันน้อยลงเป็นอันขาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สหรัฐนั้นขัดแย้งกับขีดความสามารถทางนิวเคลียร์ และศักยภาพในการเสริมสมรรถนะทางยูเรเนียม อีกทั้งในการปรากฏตัวของอิหร่านในภูมิภาคนี้ เป็นผลพวงมาจากความเป็นปรปักษ์ที่ลึกซึ้งต่อองค์ประกอบของการมีอำนาจของระบอบรัฐอิสลาม โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “การปรากฏตัวในภูมิภาคนั้น เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการมีอำนาจและความมั่นคงของอิหร่าน และยังถือว่าเป็นหัวใจที่สำคัญของยุทธศาสตร์ของประเทศ ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เหล่าศัตรูต้องคัดค้าน”

ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ของประเทศในการกล่าวซ้ำหลายครั้งเกี่ยวกับความไม่น่าไว้วางใจต่อสหรัฐฯ โดยกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าเคยชี้ให้เห็นแล้วว่าพวกเราไม่สามารถให้ราคากับคำพูดหรือแม้แต่ลายเซ็นของพวกสหรัฐฯได้ ดังนั้นการเจรจากับสหรัฐฯจึงไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในการใช้ศักยภาพที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือการใช้ประโยชน์ได้เพียงเล็กน้อยในประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า “จะต้องไม่ยุติในการเจรจากับพวกยุโรป แต่ก็ไม่ควรที่จะรอพวกยุโรปจนนานเกินไป เพราะว่าเรายังมีภารกิจที่จำเป็นอีกมากมายที่จะต้องกระทำในประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความจำเป็นในการสร้างความสัมพันธ์อย่างกว้างขวางทั้งหลายฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ทางด้านทวิภาคี และความสนใจเป็นพิเศษต่อการจัดตั้งองค์กรในระดับภูมิภาค โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “บรรดาทูตานุทูตและผู้แทนของอิหร่านในต่างประเทศ ควรที่จะตระหนักถึงขีดความสามารถและศักยภาพของประชาชาติและประเทศชาติ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการยอมรับครั้งล่าสุดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐเกี่ยวกับขีดความสามารถของประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าได้เน้นย้ำเมื่อหลายปีมาแล้วว่า ขีดความสามารถของชาวอิหร่านนั้นมีค่าสูงกว่าขีดความสามารถระดับปานกลางของโลก นี่ความจริงที่เกี่ยวกับศักยภาพทีสำคัญของประเทศ เช่นเดียวกัน ความศรัทธา ความกล้าหาญ ความเสียสละและความภาคภูมิใจในคุณค่าต่างๆของประเทศ ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของขีดความสามารถของอิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความสัมพันธ์กับบรรดานักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์ของประเทศต่างๆ คือ ส่วนหนึ่งของวิธีการทางการทูตของโลก โดยท่านนยังกล่าวเสริมว่า “ด้วยกับวิธีการดังกล่าวนี้ จะทำให้การดำเนินการของหน่วยงานด้านนโยบายต่างประเทศมีความกว้างขวางเพิ่มขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีอำนาจในภาคสนาม คือ การสนับสนุนต่อนักการทูตด้วยเช่นกัน โดยกล่าวเสริมว่า “สิ่งที่สำคัญก็คือ การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในการมีอำนาจ ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเมืองและทางด้านเศรษฐกิจ”

ก่อนในการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้ถึงแนวทางต่างๆของหน่วยงานทางการทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและการมุ่งเน้นไปที่การเจรจาต่อรองการทูตทางเศรษฐกิจ โดยกล่าวว่า “เราได้พยายามแล้วด้วยกับความเชื่อมั่นต่อตนเองในการตอบรับความท้าท้ายต่างๆและเราก็ได้ปกป้องในผลประโยชน์ของชาติอย่างแข็งกร้าว”

พณฯท่านซะรีฟ ยังได้อธิบายว่า เราสามารถพิชิตเหนือกระแสความหวาดกลัวต่ออิหร่านของพวกรัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้ด้วยกับแนวทางนี้ และด้วยการสนับสนุนและคำชี้แนะของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยเขายังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “ทรัมป์และเนทันยาฮูต่างก็พยายามในการแสดงอย่างเหิมเกริมต่อกระแสความหวาดกลัวต่ออิหร่านมาหลายครั้ง แต่ในวันนี้ แม้แต่ในหมู่ของพันธมิตรด้วยกัน พวกเขาก็ยังถูกโดดเดี่ยวและถอยห่างอีกด้วย”

รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน ยังได้ชี้ถึงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการณ์ทางสงครามและความพยายามในการสร้างความกดดันอย่างกว้างขวางของสหรัฐฯและการข่มขู่ต่อประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวว่า “เราได้ประกาศอย่างตลอดกับประเทศทั้งหลาย โดยเฉพาะเหล่าพันธมิตรของสหรัฐฯว่า การเผชิญหน้ากับการข่มขู่ของสหรัฐฯนั้นเกินเลยกว่าการยืนหยัดต่อพันธสัญญาทางการเมืองและยังถือว่าเป็นการดำเนินการทางการปฏิบัติที่มีการกำหนดกรอบเวลาด้วย”

พณฯท่านซารีฟ ยังกล่าวเสริมว่า “เราได้รับประสบการณ์มาจากสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่านี้มาแล้ว และข้าพเจ้าก็เชื่อว่า การมีใจเป็นหนึ่งเดียวกันและเป็นเอกฉันท์ จะสามารถพิชิตเหนือปัญหาต่างๆได้ และด้วยกับความโปรดปรานของพระเจ้า จะทำให้เราก้าวผ่านสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งด้วยกับการชี้แนะของท่านผู้นำสูงสุดและการสนับสนุนของประชาชน จะทำให้พวกเรานั้นมีการบริหารจัดการที่ดี ด้วยกับความภาคภูมิใจและน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง”

 

700 /