สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประธานรัฐสภาและบรรดาสมาชิกรัฐสภา พร้อมทั้งพนักงานรัฐสภาเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ

อิหร่านมีสัญลักษณ์แห่งความประเสริฐที่มากมายในประวัติศาสตร์

 

“รัฐสภาจำเป็นต้องกำหนดกฏหมายที่เฉพาะ เช่นในกรณีของการต่อสู้กับการก่อการร้ายและการฟอกเงิน เป็นต้น”

เมื่อช่วงเช้าของวันพุธที่ผ่านมา ประธานรัฐสภา บรรดาสมาชิกรัฐสภา และพนักงานทั้งหลายของรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า รัฐสภานั้นเป็นรากฐานที่สำคัญของรัฐอิสลาม ซึ่งท่านอิมามโคมัยนีได้กล่าวไว้ว่า รัฐสภาเป็นดั่งศูนย์กลางของความประเสริฐทั้งหลาย ซึ่งหมายถึง แกนหลักที่มีลักษณะที่พิเศษของประชาชาติ โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “บรรดาสมาชิกรัฐสภา จะต้องให้ความใส่ใจต่อข้อกฏหมายและการปฏิบัติตามหน้าที่หลักที่สำคัญ เช่น ปัญหาอันดับแรกของประเทศ การแก้ไขปัญหาของประชาชนโดยเฉพาะกับกลุ่มชนที่ด้อยโอกาส และกลุ่มชนปานกลาง การไม่ยึดถือวิสัยทัศน์ของตะวันตก การเป็นนักการปฏิวัติอิสลามที่แท้จริงและการหลีกเลี่ยงจากการเป็นชนชั้นสูง”

ในช่วงแรกของการปราศรัย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การรับใช้ประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ คือ การทำอิบาดัต (การเคารพภักดีต่อพระเจ้า)ที่สูงส่งที่สุด โดยกล่าวว่า “ทั้งหมดทุกๆคนในการดำเนินการ ทั้งในการกระทำและการพูดจาของบรรดาสมาชิกรัฐสภา หากว่ามีการกระทำเพื่อพระผู้เป็นเจ้าและตามวิถีเพื่อความพึงพอพระทัยของพระองค์แล้วไซร้ แน่นอนที่สุดจะเป็นการรับใช้ที่แท้จริงและการเข้าใกล้ชิดต่อพระองค์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงคุณภาพของรัฐสภาในแต่ละช่วงสมัยที่จะต้องมีคุณภาพที่เพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงสมัยก่อนๆ และการจะไปถึงยังเป้าหมายนี้ได้นั้น จะต้องมีการกระทำที่มากกว่าและดีกว่า โดยกล่าวว่า “ความจำเป็นในการรับใช้ ก็คือ การกระทำที่มากกว่าทั้งในการดำเนินการและการปฏิบัติต่อหน้าที่หลัก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ประเมินผลของรายงานที่ประธานรัฐสภาได้นำเสนอ โดยท่านถือว่า เป็นการกระทำที่ดี และท่านยังกล่าวเสริมว่า “ความพิเศษทางด้านปริมาณ เช่น จำนวนของข้อญัตติในการประเมินผลนั้นยังไม่เพียงพอ ซึ่งจะต้องมีการบริหารจัดการในข้อญัตติ อันหมายถึง ผลของข้อกฏหมายที่มีต่อการพัฒนาของอิหร่าน และการแก้ไขปัญหาของประชาชน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของท่านอิมาม ผู้ทรงเกียรติ ที่เกี่ยวกับรัฐสภา โดยถือว่า เป็นดุจดั่งศูนย์กลางของความประเสริฐทั้งหลาย โดยท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ประชาชาติอิหร่านนั้นมีสัญลักษณ์ของความประเสริฐทั้งหลายในหน้าประวัติศาสตร์ เช่น การมีความศรัทธา ความรู้ การเชื่อมั่นในตนเอง ความอิสระเสรี การยืนหยัดและความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตนเองนั้นมี และด้วยเหตุนี้เอง รัฐสภา บรรดาสมาชิกรัฐสภา จะต้องเป็นศูนย์กลางของความประเสริฐทั้งหลายเหล่านี้และเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศของชาติ การมีอำนาจและการยืนหยัดของระบอบรัฐอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกว่า “รัฐสภาจะต้องไม่เป็นสัญลักษณ์ของความสงสัย การทรนงตน ความหมดหวัง และการไม่ใสใจต่อปัญหาต่างๆของประเทศ และก็อย่าได้มองขีดความสามารถและศักยภาพต่างๆของชาติอย่างสิ้นหวัง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวถึง สองตัวอย่างที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในการแทรกซึมของต่างชาติ กล่าวคือ การเข้ามาของพวกซัลจูคียอน(ราชวงศ์เซลจุค) และพวกมองโกลยังอิหร่าน และเช่นกันท่านผู้นำยังได้ชี้ถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลามอย่างมีเกียรติในอิหร่าน โดยกล่าวว่า “ในตลอดช่วงสมัยเหล่านั้น ภาษาเปอร์เซีย วัฒนธรรม ศิลปะ และอารยธรรมของชาวอิหร่านก็ยังคงถูกปกปักรักษาอยู่ และในแต่วันต่อวันก็จะมีการพัฒนาก้าวหน้า ซึ่งได้แสดงถึงสัญลักษณ์ของการมีอำนาจและการยืนหยัดของประชาชาติอย่างแท้จริง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความเป็นศัตรูในทุกๆด้านกับประชาชาติอิหร่านตลอดช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา โดยกล่าวเสริมว่า “ตลอดสี่สิบปีนั้น ฝ่ายของศัตรูที่ใหญ่เหมือนดั่งกับสงครามอะฮ์ซาบในช่วงแรกของอิสลาม โดยพวกเขาได้ใช้ทุกวิธีการที่เป็นไปได้ เช่น สงคราม การคว่ำบาตรและการวางแผนการร้ายทางความมั่นคง ซึ่งถือว่าเป็นการดำเนินการที่เป็นศัตรูกับประชาชาติอิหร่าน แต่ในวันนี้ ด้วยกับความรู้ การมีอำนาจ การพัฒนาการ ความยิ่งใหญ่ และการปรากฏตัวในแวดวงนานาชาติของอิหร่านนั้น ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลามได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวสรุปในช่วงนี้ของการปราศรัยของท่านโดยกล่าวถึงบรรดาสมาชิกรัฐสภาว่า “ประชาชาติอิหร่าน คือประชาชาติที่มีความภาคภูมิใจเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้เอง พวกท่านทั้งหลายจะต้องเป็นศูนย์กลางของความประเสริฐทั้งหลายของพวกเขา โดยที่พวกท่านและรัฐสภานั้นจะต้องมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ในการปฏิบัติหน้าที่”

“ความใส่ใจต่อปัญหาอันดับแรกของประเทศ” และ “การหลีกเลี่ยงข้อกฏหมายในกรณีที่มีความสำคัญน้อย” คือ ประเด็นแรกในการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวถึงบรรดาสมาชิกรัฐสภา โดยกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายนั้นมีเวลาในการรับใช้ประชาชนเพียงแค่สี่ปีเท่านั้น ฉะนั้น ในทุกๆวินาทีในการกำหนดกฏหมาย จะต้องมีการจัดอันดับถึงความสำคัญเป็นอันดับแรก”

“การปฏิบัติตามข้อกฏหมาย” และการไม่ใช้ข้อกฏหมายในกรณีที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของประเทศ” คือ ประเด็นที่สองที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงบรรดาสมาชิกรัฐสภา

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงกรณีพันธสัญญาและอนุสัญญาระหว่างประเทศ โดยกล่าวว่า “พันธสัญญาเหล่านี้ ได้มีการนำมาพิจารณาในห้องในการปฏิบัติการทางความคิดของชาติมหาอำนาจเพื่อให้เป็นไปตามผลประโยชน์ของพวกเขา หลังจากนั้นก็นำมาใช้รัฐบาลของประเทศต่างๆที่มีทิศทางเดียวกับพวกเขาและยังต้องปฏิบัติตามพวกเขาอีกด้วย เมื่อมองแบบผิวเผินว่า เป็นรูปแบบของนานาชาติ ในขณะที่หากว่าประเทศที่เป็นอิสระเสรี ดั่งเช่น อิหร่านนั้ยไม่ยอมรับข้อตกลงของพวกเขา ก็จะทำการโจมตีอย่างรุนแรง สมมุติว่า ทั้ง 150 ประเทศได้ยอมรับในข้อตกลงแล้วพวกท่านจะปฏิเสธมันได้อย่างไรกัน?”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังอธิบายถึงวิธีการที่ถูกต้องในการเผชิญกับอนุสัญญาเหล่านี้ โดยกล่าวเสริมว่า “ในบางอนุสัญญาครั้งล่าสุด ดั่งที่เราได้กล่าวว่า รัฐสภาของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านั้นมีการเจริญเติบโต ได้บรรลุนิติภาวะและมีสติปัญญา ดังนั้น จะต้องมีการกำหนดข้อกฏหมายในประเด็นต่างๆ เช่น การต่อสู้กับการก่อการร้ายและการฟอกเงิน เป็นต้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แต่ทว่าในบางเนื้อหาของข้อตกลงพันธสัญญาระหว่างประเทศนั้นดีและก็ไม่จำเป็นที่จะต้องยึดถือยังอนุสัญญาระหว่างประเทศหรอก ซึ่งเรานั้นไม่ทราบถึงเป้าหมายอันลึกซึ้งของพวกเขาหรือเรารู้เพียงว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวต่อไปถึงความจำเป็นในการกำหนดข้อกฏหมาย โดยกล่าวเสริมว่า “กฏหมายในอันดับแรกจะต้องมีดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆของประชาชน โดยเฉพาะกับกลุ่มชนผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มชนปานกลาง แต่อย่าได้ตกเป็นเครื่องมือและสมุนทาสรับใช้ให้กับพวกนายทุนทั้งหลายและเหล่าผู้กดขี่เป็นอันขาด”

การรักษาอย่างสมบูรณ์แบบทางวิชาการในการใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถของศูนย์วิจัยของรัฐสภา และการใช้ประโยชน์จากทัศนะและวิสัยทัศน์ของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากรัฐสภา ก็คือ อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวถึงบรรดาสมาชิกรัฐสภา

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อผลกระทบบางอย่างในรัฐสภาที่มาจากวิสัยทัศน์ของตะวันตกในประเด็นที่มีการถกเถียงและวิเคราะห์เกี่ยวกับครอบครัว โดยกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลาย จะต้องนำมาเอาข้อกฏหมายมาใช้ในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “วิถีในการดำเนินชีวิตของตะวันตกนั้นขัดแย้งกับความหมายที่แท้จริงของครอบครัว และยังจะทำให้เกิดปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกด้วย ฉะนั้น ในการกำหนดข้อกฏหมายเพื่อการแก้ไขปัญหาของครอบครัวชาวอิหร่าน จะต้องไม่ใส่ใจในมุมมองของตะวันตกทั้งในเรื่องของสตรี บุตร บิดา และมารดา”

“การกำหนดกฏหมายในการจัดอันดับความสำคัญของประเทศ” กล่าวคือ การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ก็คือ คำสั่งในการดำเนินการของท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อรัฐสภา

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังรู้สึกยินดีต่อการประชุมของบรรดาผู้บริหารทั้งสามสภาในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างจริงจัง โดยกล่าวว่า “การประชุมเช่นนี้จะต้องมีการดำเนินการต่อไป ด้วยกับการตัดสินใจอย่างเข้มแข็ง ซึ่งจะเป็นการปูทางในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่มีอยู่และรัฐสภาก็จะต้องมีการขับเคลื่อนไปในทิศทางนี้เช่นกัน และจะไม่อนุญาตให้ศัตรูได้เข้ามาฉวยโอกาสจากปัญหาเศรษฐกิจได้อีกด้วย”

“การปรับปรุงและการแก้ไขข้อกฏหมาย” “การยกเลิกบางกฏหมายในอดีตที่ปราศจากเหตุผลและตรรกะในการกำหนดของมัน” “การยกเลิกบางกฏหมายที่ขัดแย้งกันและสร้างปัญหา เช่น กฏหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการสร้างงาน” คือ อีกประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการกำหนดกฏหมายในรัฐสภาที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึง

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ในการไม่ดำเนินการหรือความล่าช้าในการดำเนินการตามข้อกฏหมายในบางหน่วยงาน โดยเน้นว่า “กฏหมายได้ถูกกำหนดมาเพื่อให้มีการดำเนินการ และรัฐสภาก็จะต้องมีการดำเนินการ การติดตามผลและการเรียกร้องข้อกฏหมายอย่างจริงจัง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงพฤติกรรมทางการปฏิวัติของบรรดาสมาชิกรัฐสภา กล่าวคือ การมีพฤติกรรมที่มีสติปัญญา เป็นผู้บริหารและมีการเพียรพยายาม โดยกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายได้สาบานในความเป็นตัวแทนของประชาชนที่จะปกปักรักษาในพื้นฐานและผลผลิตของการปฏิวัติอิสลามและระบอบรัฐอิสลาม นอกจากในการปฏิบัติตามคำสาบานนี้แล้ว จะต้องมีพฤติกรรมที่ถูกต้องในการปฏิวัติ หากว่าไม่มีการปฏิบัติต่อพันสัญญานี้ ก็จะเกิดปัญหาในการเข้าร่วมของสมาชิกในรัฐสภาในแง่ของรัฐธรรมนูญและข้อกฏหมาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงข้อตักเตือนของท่านที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐฯในการบริหารจัดการในรูปแบบญิฮาดี โดยกล่าวว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐสภา จะต้องมีจิตวิญญาณ ความศรัทธา และแรงจูงใจในการปฏิวัติ ที่เหนือการกระทำของพวกเขาและคำพูด อีกทั้งในการดำเนินการของพวกเขา”

“การปรากฏตัวอย่างตรงเวลาและอย่างสมบูรณ์แบบในที่ประชุมกรรมาธิการและที่ประชุมทางการของรัฐสภา” “การหลีกเลี่ยงจากการเดินทางต่างประเทศที่ไม่จำเป็น” “การหลีกเลี่ยงจากการเป็นชนชั้นสูง” คือ อีกหนึ่งในคำตักเตือนของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐสภา

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเป็นชนชั้นสูง คือ บททดสอบอันยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ โดยกล่าวเสริมว่า “หากว่าเรายังมีวิถีชีวิตแบบชนชั้นสูงก็จะเกิดความผิดพลาดที่ไม่มีที่สิ้นสุดและในการกระทำก็จะเกิดปัญหาอย่างมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอีกถึงประเด็นการตรวจสอบพฤติกรรมของบรรดาสมาชิก แม้ว่าจะมีความสำคัญกว่าการตรวจสอบของรัฐสภาที่มีต่อรัฐบาลและหน่วยงานอื่นก็ตาม โดยเน้นว่า “คณะที่ทำการตรวจสอบประเด็นนี้ในรัฐสภา จะต้องมีความเข้มแข็งและมีการตรวจสอบในพฤติกรรมของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐสภาอย่างจริงจัง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การดำเนินการของรัฐสภาแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน คือ หนึ่งในรากฐานของระบอบรัฐอิสลาม เป็นการดำเนินการที่ดีจนถึงบัดนี้ และกำลังไปสู่การพัฒนาก้าวหน้า โดยเน้นว่า “การขับเคลื่อนนี้ จะมีความเข้มแข็ง เพราะว่าประเทศชาติต้องการโครงสร้างที่มีความเข้มแข็งต่อประชาชาติและระบอบรัฐอิสลาม”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความเปิดเผยของความชั่วร้ายของเหล่าผู้กดขี่โลก โดยกล่าวเสริมว่า “เมื่อเห็นถึงภาพของอาชญากรรมในการแยกบุตรออกจากมารดาของพวกเขาในสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้มนุษย์ต้องไร้ความสามารถ แต่พวกสหรัฐด้วยกับความชั่วร้ายอย่างสมบูรณ์แบบได้ดำเนินการแยกบุตรออกจากบิดาและมารดาที่เป็นผู้อพยพทั้งหลายให้ออกจากกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การโจมตีในการก่ออาชญากรรมและหลั่งเลือดของหลายประเทศที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยต่อเมืองท่าของเยเมนให้หลุดพ้นจากการดูแลของประชาชน ผู้ถูกกดขี่ชาวเยเมน คือ อีกหนึ่งในตัวอย่างของอาชญากรรมของเหล่าชาติผู้กดขี่โลก โดยกล่าวเสริมว่า “ เหล่าศัตรูแห่งมนุษยชาติ ด้วยกับการยืนหยัด และการเรียกร้องความยุติธรรมของประชาชาติอิหร่านได้เป็นศัตรูกับสาธารณรัฐอิสลามเช่นกัน แต่ด้วยกับความโปรดปราน จะทำให้ประชาชาติอิหร่านด้วยการยืนหยัดอันมั่นคงได้รับชัยชนะเหนือสหรัฐฯและเหล่าศัตรูทั้งหลายได้อย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอีกว่า อาชญากรเหล่านี้ คือ ชิมร์(ผู้สังหารอิมามฮุเซน)แห่งยุคสมัย ดั่งคำกล่าวของอัลกุรอานที่ว่า จะไม่มีการไว้ใจในพันธสัญญาและข้อตกลงของพวกเขาแต่อย่างใด และประชาชาติอิหร่านก็เห็นอย่างกระจ่างชัดถึงข้อเท็จจริงนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวในช่วงท้ายของการปราศรัย โดยเน้นว่า “เหล่าศัตรูของประชาชาติอิหร่าน ด้วยความหมายที่แท้จริง คือ ผู้ที่กดขี่และข่มเห่ง และเป็นที่ประจักษ์ว่า รัฐอิสลาม ประชาชาติและบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจะไม่ยอมตกอยู่ในการถูกกดขี่ข่มเหงเป็นอันขาด”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ประธานรัฐสภาได้กล่าวรายงานถึงการดำเนินการของรัฐสภา ทั้งในการตรวจสอบและการกำหนดข้อกฏหมาย โดยกล่าวว่า “ไดมีการจัดประชุมอย่างเป็นทางการถึง 200 ครั้งด้วยกัน ทั้งการกำหนดกฏหมายถึง 109 มาตรา และอีก14 มาตราได้รับการตรวจสอบและพิจารณาแล้ว”

พณฯท่าน ลารีจานี ยังได้ชี้ถึงการอนุมัติบางข้อกฏหมายในรัฐสภาครั้งที่ 10 โดยกล่าวว่า “ในที่ประชุมทั้ง 26 ครั้ง ได้มีการตรวจสอบประเด็นต่างๆที่สำคัญ เช่น การตรวจสอบกองทุนบำเหน็จบำนาญ ปัญหาน้ำ ปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเดย์ (ปฏิทินอิหร่าน)ของปีที่ผ่านมา ปัญหานิวเคลียร์และภูมิภาค สถานะภาพของธนาคารและการสร้างงาน รวมทั้งปัญหาอันดับแรกในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศ”

ประธานรัฐสภา ยังกล่าวเสริมว่า “ปัญหาค่าเงินเฟ้อและโครงการพัฒนาที่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็เป็นประเด็นที่รัฐสภามีความใส่ใจ และจะนำเอางบประมาณปี 97 มาใช้ในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้”

ท่านลารีจานี ถือว่า ความรู้สึกของบรรดาสมาชิกรัฐสภาทีมีต่อการดำเนินการของความเป็นศัตรูของสหรัฐในการคว่ำบาตร โดยกล่าวว่า “ในสถานการณ์ที่สำคัญในวันนี้ อิหร่านจะก้าวผ่านปัญหาต่างๆอย่างภาคภูมิใจด้วยกับความชาญฉลาดของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม”

ท่านประธานรัฐสภา กล่าวเสริมว่า “รัฐสภาอิสลามแห่งอิหร่านได้ยืนหยัดด้วยกับความเพียรพยายามในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายของพวกต่างชาติและจะต้องมีการร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆทั้งทางด้านความมั่นคงและความผาสุกของประชาชาติ โดยเฉพาะในมิติต่างๆทางเศรษฐกิจ”

 

700 /