“ข้อตกลงนิวเคลียร์กับชาติยุโรปนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด”
เมื่อช่วงบ่ายของวันพุธที่ผ่านมา บรรดาผู้บริหารสูงสุดทั้งสามสภาและคณะเจ้าหน้าที่รัฐฯ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้ชี้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ทางพื้นฐานที่ลึกซึ้งและต่อเนื่องของสหรัฐอเมริกาต่อหลักการของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านและประชาชาติอิหร่าน โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “ความปราชัยของสหรัฐฯในเหตุการณ์ครั้งล่าสุด เป็นสิ่งที่แน่นอนและไม่ต้องสงสัยเลย ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐนั้นได้มีการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ต่างๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในระหว่างการพบปะกันครั้งนี้ ท่านยังได้ชี้ถึงถ้อยคำที่สำคัญในสองประเด็นหลัก คือ "การมีพฤติกรรมที่ถูกต้องต่อสหรัฐฯ ข้อตกลงนิวเคลียร์และยุโรป” และ “ความจำเป็นในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภายในประเทศ” โดยท่านผู้นำได้กล่าวถึงประสบการณ์ที่ถือว่าเป็นอุทาหรณ์ในการมีความสัมพันธ์ของอิหร่านกับชาติตะวันตกและความจำเป็นในหลักประกันเพื่อที่จะดำเนินการต่อไปในข้อตกลงนิวเคลียร์กับชาติยุโรป
ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เดือนรอมฎอนอันจำเริญเป็นโอกาสที่พิเศษในการฟื้นฟูจิตวิญญาณแห่งศรัทธาและทางจิตวิญญาณภายในของผู้ศรัทธาโดยกล่าวว่า “โอกาสอันนี้ได้เตรียมไว้ให้กับประชาชนทุกๆคน แต่ทว่าในเดือนนี้นั้นมีสิทธิที่พิเศษถึงสองเท่าสำหรับอัจฉริยบุคคลและบรรดาผู้บริหารประเทศ เพื่อที่พวกเขานั้นจะสร้างความสัมพันธ์ให้มากยิ่งขึ้นกับพระผู้เป็นเจ้า ในการขอพรและการวิงวอน อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างจิตวิญญาณของตนให้เข้มแข็งเพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจอันหนักอึ้งได้อีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี หลังจากที่ได้เข้าสู่ประเด็นหลักและท่านยัง ได้ชี้ถึงการผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ ของสาธารณรัฐอิสลามและการทดสอบที่สำคัญในแต่ละช่วง โดยกล่าวว่า “สาธารณรัฐอิสลามได้ก้าวผ่านในช่วง 40 ปีที่แล้วมาอย่างมีอำนาจ การยืนหยัดและการบริหารจัดการที่ดีในแต่ละช่วงสมัยและเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายมาแล้ว และในปัจจุบันก็ด้วยกับอำนาจและการบริหารจัดการก็จะก้าวผ่านไป อีกทั้งจะมีการดำเนินการต่อไปในทิศทางของความก้าวหน้า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “นับตั้งแต่เริ่มต้นในการปฏิวัติอิสลามและตลอดช่วงเวลาทั้งหมด ระบอบการปกครองของสหรัฐฯนั้นถือว่าเป็นศัตรูหลักของประชาชาติอิหร่านมาโดยตลอด และพวกเขาก็ได้ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทุกอย่างและกลยุทธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง การทหารและการโฆษณาชวนเชื่อ แต่พวกเขาก็ล้มเหลวในทุกๆกรณี”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการตีความ “การทำลาย” ในคำกล่าวต่างๆของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ โดยกล่าวว่า “การตีความเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯก็ได้ใช้ประโยชน์ไปจากมัน ตั้งแต่ช่วงแรกของชัยชนะในการปฏิวัติอิสลาม แม้แต่ประธานาธิบดีคนเดียวกันนี้ที่ได้บอกว่า ผมไม่ได้ต้องการที่จะทำลาย แต่เขานั้นก็ยังต้องการที่จะทำลาย ซึ่งเห็นได้จากเจตนาและเป้าหมายของเขานั้นบ่งชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงความปราชัยของศัตรูนั้นเป็นวิถีของพระเจ้าที่ไม่ต้องสงสัยเลย โดยกล่าวว่า “ชะตากรรมของประธานาธิบดีคนปัจจุบันนี้ของสหรัฐฯก็จะไม่ดีไปกว่าชะตากรรมของชนรุ่นก่อน ๆ ของเขา อย่างเช่น บุช และเรแกน และเขาก็จะต้องสูญหายไปในหน้าประวัติศาสตร์”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนที่สุด ตามวิถีของพระเจ้านั้นเป็นภาระหน้าที่ของเราและถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติตามหน้าที่เหล่านี้ เราก็ไม่สามารถเชื่อมั่นได้ว่าจะบรรลุผลที่เป็นไปตามที่เรานั้นต้องการ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่และการตัดสินใจอย่างถูกต้องในปัจจุบัน คือ การใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้นำจึงได้อธิบายถึงประสบการณ์ทั้ง 6 ประการที่เป็นบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับกรณีสหรัฐฯ
ในประสบการณ์ประการแรก ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า “จากการปฏิบัติการณ์ของสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มต้นในการเจรจากรณีนิวเคลียร์ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่สำคัญยิ่งที่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้นไม่สามารถเข้าร่วมมือกับสหรัฐฯได้เนื่องจากสหรัฐฯนั้นไม่ได้ปฏิบัติตามพันธกรณีแต่อย่างใด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกว่า “บางคนที่เขาไม่ได้บอกว่า การไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีนั้นจะเฉพาะประธานาธิบดีคนนี้และรัฐบาลสหรัฐฯนี้เท่านั้น ไม่ใช่เลย! รัฐบาลที่ผ่านมาที่ได้มีการเจรจากับเรามาก่อน และพวกเขาก็ได้ทำเช่นเดียวกันในแบบนี้และพวกเขาก็ได้ละเมิดข้อตกลงอันนี้ และยังได้มีการคว่ำบาตรต่ออิหร่านอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ชี้ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ทางการทูตของประเทศที่เกี่ยวกับประเด็นในการละเมิดจิตวิญญาณและร่างกายของข้อตกลงนิวเคลียร์จากฝ่ายสหรัฐ โดยกล่าวเสริมว่า “เราไม่สามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลที่ทำการละเมิดสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้อย่างง่ายดาย เหมือนดั่งในการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และประสบการณ์ของข้อตกลงนิวเคลียร์นั้้น เป็นคำตอบที่ดีให้กับผู้ที่บอกว่าทำไมท่านจึงไม่เข้าร่วมในการเจรจากับสหรัฐและมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา ฉะนั้น ทุกคนก็ควรที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์อันนี้และพึงตระหนักเถิดว่า พวกท่านนั้นไม่สามารถเจรจาและมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลเช่นนี้ได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในประสบการณ์จากการไม่รักษาคำมั่นสัญญาของสหรัฐฯนั้นมิได้เฉพาะกับอิหร่าน แม้แต่ผู้ที่ยอมจำนนในการรับใช้สหรัฐฯอย่าง มูฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวีและฮุสนี มุบารัค ก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาด้วยเหมือนกัน”
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การเปิดเผยในความลึกซึ้งต่อความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐฯกับสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้น คือ ประสบการณ์ประการที่สอง โดยกล่าวว่า “ในการเจรจาเมื่อหลายปีที่ผ่านมาและหลังจากมีข้อตกลงนิวเคลียร์ ก็เป็นที่ชัดเจนว่าประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหานิวเคลียร์และขีปนาวุธไม่ได้ถือว่าเป็นประเด็นหลัก แต่ทว่าการต่อต้านและการเป็นปฏิปักษ์ที่ลึกซึ้งของสหรัฐฯต่อหลักการของรัฐอิสลามและประชาชาติอิหร่าน เนื่องจากเหตุผลที่ระบอบการปกครองอิสลามนี้ได้รับภาคภูมิใจในภูมิภาค มีการขยายในการพัฒนาทางจิตวิญญาณต่อขบวนการต้านทาน การต่อต้านในการกดขี่ข่มเหงของสหรัฐฯในทุกรูปแบบและการชูธงชัยแห่งอิสลาม อีกทั้งพวกเขายังต้องการที่จะทำลายระบอบการปกครองอิสลามนี้ให้ออกไปจากองค์ประกอบในการมีอำนาจของระบอบนี้”
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ชี้ถึงอีกประสบการณ์ประการหนึ่ง โดยกล่าวว่า “ไม่ว่าจะมีความนุ่มนวลใดๆก็ตามในการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ จะด้วยกับเหตุผลที่จะเกิดผลประโยชน์ในแบบชั่วคราว แต่ก็ยังไม่สามารถลดความเป็นปฏิปักษ์ออกไปได้ ซึ่งจะทำให้ศัตรูได้ก้าวร้าวมากเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงความนุ่มนวลของรัฐบาลอิหร่านในสมัยบุชที่สอง โดยกล่าวว่า “ในเวลานั้น แม้ว่าจะมีความนุ่มนวลเหล่านี้ บุชก็ยังเรียกสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านว่าเป็นแกนแห่งความชั่วร้ายอีก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯหลังจากข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยกล่าวเสริมอีกว่า “ได้มีการออกมาประท้วงต่อต้านในการคว่ำบาตรนี้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆที่มีความเข้มแข็งและผลที่ตามมา ก็คือ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนนี้จะมีความก้าวร้าวและพูดจาที่หยาบกระด้างมากขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงแนวทางในการหลีกเลี่ยงในความเป็นศัตรูของสหรัฐ มิได้เกิดขึ้นจากการนุ่มนวลและการอ่อนข้อ โดยกล่าวว่า “ประเด็นนี้มิได้เฉพาะกับพวกอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพวกตะวันตกทุกๆคนและเราก็จะไม่ลืมว่าในช่วงสมัยหนึ่งที่ประธานาธิบดีของเราได้ปฏิบัติอย่างนุ่มนวลกับตะวันตก แต่ประธานาธิบดีคนนั้นได้ถูกศาลของเยอรมันเรียกตัวเข้าพบด้วยกับประเด็นที่ไม่มีพื้นฐานเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายถึงประสบการณ์ประการที่สี่ โดยเน้นว่า “การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับพวกตะวันตก จะเป็นไปได้อย่างมากที่จะทำให้พวกเขาจะต้องก้าวถอยหลังออกไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงประสบการณ์ประการนี้เกี่ยวกับเหตุการณ์นิวเคลียร์ในปี 83 และ 84 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยกล่าวว่า “ในปีเหล่านี้ สำหรับการทำให้กรณีนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้นเป็นที่ยอมรับของสำนักงานปรมาณูสากล อิหร่านก็จะต้องหยุดในการดำเนินการทุกอย่างทางนิวเคลียร์ในทันที แต่พวกเขาได้ปฏิบัติต่อความนุ่มนวลและการถอยออกมาของอิหร่านโดยบอกกับคณะผู้เจรจาชาวอิหร่านว่า จะต้องมีการเก็บรวบรวมและทำลายทุกอย่างที่เกี่ยวกับนิวเคลียร์ของอิหร่านทั้งหมด”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ในเวลานั้น แม้การเพิ่มสมรรถนะสัก 2 หรือ 3 เครื่องหมุนเหวี่ยง พวกเขาก็ไม่ให้อนุญาติ แต่นับจากเวลานั้นในการเผชิญหน้ากับความเกินเลยของพวกเขา เราก็ได้ยืนหยัดและยังได้ทำลายในการปิดกั้นต่างๆ ในขณะที่เหล่าเยาวชนผู้ศรัทธา นักการปฏิวัติของเราได้เพิ่มสัดส่วนเป็นอัตราร้อยละยี่สิบ ซึ่งพวกตะวันตกก็ยอมจำนนและยอมรับในการเพิ่มสัดส่วนอีก 3.5 เปอร์เซ็น จนเราสามารถเสริมสมรรถนะได้ 5 ถึง 8 พัน เครื่องหมุนเหวี่ยงด้วยกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “แน่นอนที่สุด ที่มาของการรู้จักในสิทธิอันชอบธรรมในการเสริมสมรรถนะทางยูเรเนียมของอิหร่านนั้นไม่ใช่มาจากการเจรจา แต่ทว่าได้รับมาจากความก้าวหน้าของบรรดานักวิชาการเยาวชนของเราและความสำเร็จในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมถึงร้อยละยี่สิบ หากมิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ในการเจรจานั้นเราก็ไม่ได้รับสิทธิใดๆทั้งสิ้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวสรุปในประสบการณ์ประการนี้ โดยกล่าวว่า “จะต้องมีการขับเคลื่อนอย่างกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับความต้องการที่เกินเลยของฝ่ายตรงกันข้าม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประสบการณ์ประการที่ห้าซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญก็คือ การร่วมมือของชาติยุโรปกับอเมริกา เป็นกรณีที่สำคัญที่สุด โดยกล่าวเสริมว่า “เราไม่ต้องการที่จะทะเลาะกับพวกยุโรป แต่ประเทศยุโรปทั้งสามนั้น้แสดงให้เห็นว่า ในสถานการณ์ที่หวั่นไหวอย่างมากที่สุด พวกเขาจะร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเคลื่อนไหวที่เลวร้ายของรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสในการเจรจาทางนิวเคลียร์และการแบ่งในบทบาทของตำรวจที่ดีและไม่ดีกับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งการสร้างอุปสรรคของรัฐบาลอังกฤษในการจัดซื้อเค้กเหลืองบนพื้นฐานของข้อตกลงนิวเคลียร์ คือ อีกตัวอย่างของการร่วมมือของพวกยุโรปกับสหรัฐฯ โดยเน้นว่า “พวกยุโรปได้พูดกันต่างๆนานา แต่ในขณะนี้ เราก็ยังไม่เห็นว่าพวกเขานั้นมีการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับสหรัฐอย่างแท้จริง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อธิบายถึงประการที่หกของประสบการณ์ที่สำคัญเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยกล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เรียนรู้แล้วว่าในการแก้ปัญหาของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญหาทางเศรษฐกิจโดยที่ต้องพึ่งพายังข้อตกลงนิวเคลียร์และต่างชาตินั้น ถือว่าเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เวลาที่เราได้ผูกโยงปัญหาทางเศรษฐกิจเข้ากับประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์ ผลที่ตามมาก็คือ นักลงทุนและเจ้าของงานก็ต้องรออีกหลายเดือนในการเซ็นสัญญาข้อตกลงหรือไม่เซ็นรับรองข้อตกลง หลังจากนั้นก็ต้องรออีกเช่นกันว่าจะมีการดำเนินการหรือไม่ดำเนินการในข้อตกลงนั้น หลังจากนั้นก็ต้องรออีกว่าสหรัฐจะยังคงยืนหยัดอยู่ในข้อตกลงหรือไม่คงอยู่ และในท้ายที่สุด หน่วยงานในระบบเศรษฐกิจที่แข็งขันของประเทศกลับต้องเสียเวลาเปล่าให้กับต่างชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นในบทสรุปที่เกี่ยวกับประสบการณ์เหล่านี้ของข้อตกลงนิวเคลียร์โดยกล่าวว่า “ เราจะต้องมีความระมัดระวังในเหตุการณ์ต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งจะต้องไม่ให้มีการซ้ำรอยประสบการณ์เหล่านี้อีก อีกทั้งยังจะต้องระวังไม่ให้เกิดบาดแผลขึ้นเป็นรอยที่สองอีกครั้งได้หรอก”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรู้สึกไม่ชอบในประเด็นต่างๆเช่น การไร้เกียรติของสหรัฐหรือความขัดแย้งกันระหว่างสหรัฐกับยุโรปแบบเปลือกนอกในสถานการณ์ล่าสุดนั้นเกิดขึ้นมาจากการไม่ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์เหล่านี้นั่นเอง โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “นี่ถือว่าเป็นความจริงที่ว่าเรานั้นได้เข้าร่วมเจรจาในเรื่องต่างๆเหล่านี้ ในขณะนี้เรานั้นก็รู้สึกพอใจต่อพวกเขาด้วยกระนั้นหรือ?”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เป้าหมายในการเจรจานิวเคลียร์ คือ การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ ซึ่งก็ยังไม่ได้มีการยกเลิก ในขณะเดียวกัน เมื่อครั้งล่าสุด พวกเขากลับทำการข่มขู่ว่าจะมีการคว่ำบาตรอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะมีมติคัดค้านจากสหประชาชาติก็ตาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกเช่นกันถึงจุดสำคัญหลักในการหลีกเลี่ยงจากการวิจารณ์กล่าวโทษซึ่งกันและกันของหน่วยงานทางการเมือง การบริหารและทางสื่อสารมวลชน โดยกล่าวว่า “การวิจารณ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมนั้นถือว่าไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้น และเจ้าหน้าที่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ แต่ทว่า การดูถูกดูแคลน การใส่ร้ายป้ายสีต่อกันและกัน และการแบ่งเป็นสองฝ่ายในกรณีของข้อตกลงนิวเคลียร์ อีกทั้งยังจะต้องไม่ละเมิดในความเป็นเอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งคำถามพื้นฐานที่ว่า อะไรคือวิธีการที่ถูกต้องในการเผชิญหน้ากับข้อตกลงนิวเคลียร์หลังจากการถอนตัวของสหรัฐ?
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายถึงหลายคำตอบของคำถามนี้ โดยกล่าวว่า “ในประเด็นแรกก็คือ จะต้องมีมุมมองที่เป็นข้อเท็จจริงในประเด็นเหล่านี้ จะต้องไม่ยินดีต่อความคาดการณ์ใดๆทั้งสิ้น และจะต้องมีการเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ในข้อเท็จจริงเหล่านี้ด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในประเด็นนี้ยังได้ชี้ถึงความคิดที่ผิดพลาดที่บอกว่าได้มีการนำเงินเข้าประเทศมูลค่าถึง 1 พันล้านล้านดอลลาร์หลังจากข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยกล่าวเสริมว่า “ช่างน่าเสียใจยิ่งนักที่บางคนได้นำความคิดอันตรายเช่นนี้ไปถึงยังประชาชน”
ประเด็นที่สองที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามกล่าวถึงก็คือ วิธีการปฏิบัติอย่างถูกต้องกับข้อตกลงนิวเคลียร์ในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยท่านผู้นำถือว่า นี้เป็นความจริงที่เศรษฐกิจของประเทศไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อตกลงนิวเคลียร์ของยุโรปแต่อย่างใด
ท่านผู้นำสูงสุด ยังกล่าวเสริมว่า “ข้อตกลงนิวเคลียร์ของพวกยุโรปนั้นเป็นปัญหาหนึ่ง แต่ด้วยกับข้อบ่งชี้ต่างๆ รวมถึงการถอนตัวและความคลางแคลงของบริษัทยักษ์ใหญ่ของยุโรปและคำพูดของเจ้าหน้าที่ทั้งสามประเทศยุโรป ได้แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของประเทศไม่สามารถเดินตามข้อตกลงนิวเคลียร์ของพวกยุโรปได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความผิดคำมั่นสัญญาและความไม่ซื่อสัตย์ของสามประเทศในยุโรปในช่วงต้นทศวรรษ 80ในประเด็นทางนิวเคลียร์ โดยกล่าวเสริมว่า “พวกชาวยุโรปจะต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาจะไม่ปฏิบัติซ้ำอีกครั้งในการผิดสัญญาในครั้งนั้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้วิพากษ์วิจารณ์ประเทศยุโรปทั้งสามประเทศที่ไม่ได้คัดค้านต่อสหรัฐฯในการละเมิดจิตวิญญาณและร่างกายของข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยกล่าวเสริมว่า “หากว่าพวกเขาได้ออกมาคัดค้าน ซึ่งเป็นไปได้ว่าการงานนั้นจะไม่เป็นเช่นแบบนี้ และพวกยุโรปจะต้องมีการชดเชยในการเพิกเฉยนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การถอนตัวของสหรัฐจากข้อตกลงนิวเคลียร์เป็นการละเมิดมติในมาตราที่ 2231ของสหประชาชาติ โดยกล่าวเสริมว่า “พวกยุโรปจะต้องนำมติที่ต่อต้านสหรัฐไปยื่นเสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงและมีการคัดค้านต่อการเคลื่อนไหวของสหรัฐ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายถึงเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการดำเนินการต่อไปของข้อตกลงนิวเคลียร์กับพวกยุโรปได้เน้นว่า “เหล่าผู้นำของทั้งสามประเทศจะต้องให้สัญญาว่าจะไม่มีการพูดคุยถึงประเด็นขีปนาวุธและการปรากฏตัวของอิหร่านในภูมิภาค”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเผชิญหน้ากันอย่างชัดเจนของพวกยุโรปต่อมาตราการคว่ำบาตรของสหรัฐที่มีต่ออิหร่าน คือ เงื่อนที่จำเป็น โดยท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ทุกๆคนจะต้องรู้ว่า สาธารณรัฐอิสลามจะไม่ปล่อยวางจากองค์ประกอบทางการมีอำนาจ ดั่งเช่น การป้องกันตนเองในทางไกล”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความลึกซึ้งในเชิงกลยุทธ์ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในองค์ประกอบทางการมีอำนาจของอิหร่านและกล่าวเสริมว่า “การปรากฏตัวในภูมิภาคและการสนับสนุนของประเทศต่างๆต่อสาธารณรัฐอิสลามนั้นคือ ความลึกซึ้งในเชิงกลยุทธ์ของเรา และไม่มีรัฐบาลใดที่มีความฉลาดหลักแหลมนั้นจะไม่สนใจในองค์ประกอบทางการมีอำนาจเหล่านี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีเอกภาพและการรวมตัวของประชาชนภายใต้ร่มธงของอิสลามและความภาคภูมิใจของรัฐด้วยกับคำขวัญต่างๆของอิสลาม คือ สิ่งที่ทำให้ประเทศชาติมีความเข้มแข็งและมั่นคง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงหลักประกันที่จำเป็นในการดำเนินการต่อไปของข้อตกลงนิวเคลียร์กับพวกยุโรปว่า “ หากว่าพวกอเมริกาสามารถที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นด้วยกับการขายน้ำมันของอิหร่าน พวกยุโรปก็จะต้องมีหลักประกันในการซื้อน้ำมันจากอิหร่านตามปริมาณที่เรานั้นมีความต้องการ”
การค้ำประกันทางธนาคารของยุโรปในการรับและการจ่ายเงินเพื่อทำธุรกรรมทางการค้าของรัฐบาลและเอกชนกับสาธารณรัฐอิสลามก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีได้กล่าวถึงในเรื่องนี้
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอีกว่า “อิหร่านนั้นไม่ได้มีการพิพาทกับทั้งสามประเทศของยุโรป แต่เนื่องจากประวัติศาสตร์ของยุโรปทำให้เรานั้นไม่อาจไว้วางใจต่อพวกเขาได้และด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาจะต้องมีหลักประกันอย่างจริงจัง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นว่า “หากว่าพวกยุโรปนั้นมีความล่าช้าในข้อเรียกร้องของเรา อิหร่านก็มีสิทธิ์ในการเริ่มต้นต่อการปฏิบัติการณ์ทางนิวเคลียร์ที่ได้ถูกระงับไว้”
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพลังงานปรมาณูให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นในการปฏิบัติการณ์ดังกล่าว และกล่าวเสริมว่า “ในขณะนี้เราก็ยังไม่ได้เสริมสมรรถนะยูเรเนียมในอัตราร้อยละ 20 แต่เราจะต้องมีการเตรียมพร้อม เมื่อเราเห็นว่าข้อตกลงนิวเคลียร์นั้นมิได้มีประโยชน์ใดๆ เราก็จะเริ่มดำเนินการในการกระทำที่ถูกหยุดระงับจากข้อตกลงนิวเคลียร์นั้นทันที”
ในส่วนที่สองของการปราศรัยของท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ในการพบปะกับเจ้าหน้าที่รัฐ คือ ประเด็นปัญหาในประเทศ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปัญหาอันดับต้นของประเทศ คือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยกล่าวว่า “ในการดำเนินการต่างๆของรัฐบาลจะต้องมีการบริการอย่างกว้างขวางต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยกับความพยายามทั้งหมดนั้น ก็ไม่อาจที่จะให้คำนิยามกับเศรษฐกิจของประเทศได้ ซึ่งส่วนมากของประชาชนนั้นกำลังประสบกับภาวะข้าวของแพงและความยากลำบากอย่างรุนแรง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในอันดับแรกขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อมั่นของเจ้าหน้าที่ในหลายประเด็นด้วยกัน โดยกล่าวเสริมว่า “เราจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่าปัญหาทางเศรษฐกิจนั้นสามารถแก้ไขได้โดยพึ่งพายังศักยภาพอันมากมายของประเทศและใบสั่งต่างๆของตะวันตกก็ไม่อาจสามารถที่จะนำมาใช้ในประเด็นทางเศรษฐกิจและประเด็นอื่นๆ เช่น จำนวนของประชากร ในการแก้ไขปัญหาและความยากลำบากของประเทศได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ว่า “การมอบหมายการงานให้กับพวกต่างชาติ เนื่องจากการไม่รักษาคำพูดของพวกเขา จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ในกรณีที่เรานั้นหมดหวังจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในเสียก่อร เราจึงต้องพึ่งพาผู้อื่นได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและแร่ธาตุ ศักยภาพทางภาคพื้นดิน พลังงานมนุษย์จากเยาวชนที่รับการศึกษา การเข้าถึงน่านน้ำสากลและจุดแข็งอื่นๆของประเทศ โดยท่านผู้นำเน้นว่า “บรรดาผู้เชี่ยวชาญจะต้องเชื่อว่า ถ้าอิหร่านได้ใช้ขีดความสามารถเหล่านี้อย่างถูกต้อง ก็จะกลายเป็นประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ”
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า “ในความจริงนี้ เราจะต้องมีการวางแบบแผน การบริหารจัดการและการดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการประชุมเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจโดยเข้าร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังในการตัดสินใจในที่ประชุมครั้งนั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการที่พวกอเมริกาได้ทำให้กระทรวงการคลังของพวกเขากลายเป็นห้องปฏิบัติการณ์ทางสงครามในการต่อต้านอิหร่าน โดยกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายของศัตรูในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของรัฐฯ และกระทรวงต่างประเทศก็จะต้องให้การช่วยเหลือในเรื่องนี้”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เศรษฐกิจต้านทาน คือ การแก้ปัญหาทั้งหมดของประเทศ และในวันนี้ ด้วยกับการดำเนินการของศัตรู จะต้องถือว่าในส่วนต่างๆของเศรษฐกิจต้านทานนั้นมีความสำคัญเป็นอันดับต้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เศรษฐกิจในภาคประชาชน และการเข้าสู่ระบบที่แท้จริงของประชาชนในระบบเศรษฐกิจนั้นเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยกล่าวเสริมว่า “เศรษฐกิจของรัฐบาลก็ไม่อาจที่จะตอบสนองได้และดั่งที่ได้กล่าวไปเมื่อหลายครั้งแล้วว่า จำเป็นที่จะต้องมีการนำนโยบายมาตราที่ 44 มาปฏิบัติกันอย่างจริงจัง และจะต้องทำให้ภาคเอกชนได้เข้ามาสู่ในภาคสนามอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ปรัชญาในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูแห่งชาติ คือ การช่วยเหลือต่อภาคเอกชน และท่านผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า “กองทุนนี้นั้นซึ่งอยู่ในการรับผิดชอบของรัฐบาล แต่ในแหล่งทางการทุนจะต้องอยู่ในการดูแลของนักเคลื่อนไหวในภาคเอกชน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เศรษฐกิจทางน้ำมันนั้นเป็นข้อบกพร่องหลักทางเศรษฐกิจของอิหร่าน โดยกล่าวว่า “เราได้กล่าวไปแล้วเมื่อ20 ปีที่ผ่านมาว่า เราจะต้องไปถึงจุดที่เราสามารถปิดบ่อน้ำมันได้เมื่อใดที่เรามีความต้องการและนี่ก็จะมีความเป็นไปได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ในวันนี้ เราได้ตกเป็นเชลยทางน้ำมัน เพราะว่าการกำหนดราคาและการซื้อหรือไม่ซื้อนั้นขึ้นอยู่กับผู้อื่น ซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนสภาพนี้ และน้ำมันจะต้องกลายเป็นการลงทุนแห่งชาติที่ได้รับการดูแลจากเรา และการพึ่งพายังผู้อื่นจะต้องลดน้อยลงอีกด้วยในแต่ละวัน”
“ความสำคัญของเศรษฐกิจพื้นฐาน” “การให้ความสนใจของสื่อสารมวลชนต่อเยาวชนผู้ที่ประกอบการ” “การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการผลิตในประเทศ” “ความสำคัญต่อสินค้าอิหร่าน และการหลีกเลี่ยงการจัดซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ของอิหร่าน” คือ อีกหลายประเด็นที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้เน้นย้ำถึง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นในช่วงท้ายของส่วนนี้ในการปราศรัยของท่านว่า “ปัญหาทางเศรษฐกิจ เราอย่าได้นำมาเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์หรือประเด็นอื่นที่คล้ายคลึงกันนี้ พวกท่านได้เห็นแล้วว่า ข้อตกลงนิวเคลียร์นั้นมิได้แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ ฉะนั้นในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยอื่นๆมาใช้ต่อไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความต่อเนื่องในนโยบายที่ไม่เป็นมิตรของพวกอเมริกาในการสร้างทางตัน ความหมดหวังและความไร้ความสามารถในสังคม โดยกล่าวว่า “ในวันนี้ ประชาชาติอิหร่านนั้นมีความภาคภูมิใจในความเป็นอิสระ การยืนหยัด การมีเกียรติและศักดิ์ศรีในระดับนานาชาติและการมีอิทธิพลในภูมิภาค แต่ศัตรูกลับได้สร้างข่าวลือ การโกหกและการทำให้จุดอ่อนทั้งหลายกลายเป็นจุดเด่น โดยทำให้ประชาชนต่างรู้สึกปฏิเสธในความภาคภูมิใจเหล่านี้ และความล้มเหลวในการมีชัยชนะและความก้าวหน้า จึงได้ทำให้การขับเคลื่อนที่มีความหวังในการแก้ปัญหาของประเทศนั้นต้องจบสิ้นลง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เป้าหมายของสาธารณรัฐอิสลาม คือ การสร้างความภาคภูมิใจให้กับอิสลามและการดำรงไว้ซึ่งหลักชะรีอัต(ศาสนบัญญัติ)ของอิสลามทางสังคม โดยท่านผู้นำได้กล่าวสรุปในส่วนนี้ว่า “เรานั้นด้วยกับการรู้จักในศักยภาพทั้งหลายและการให้ความสนใจในประสบการณ์ต่างๆและสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า โดยที่ไม่มีความคลางแคลงใดๆทั้งสิ้น เรานั้นก็จะพิชิตเหนือปัญหาต่างๆทางเศรษฐกิจมาได้”
ในช่วงสุดท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านนั้นได้ประเมินผลของการทำงานของสหประชาชาติและเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการติดตามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกระทำขององค์การสหประชาชาติเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและได้อยู่ภายใต้การแทรกซึมของสหรัฐ โดยกล่าวว่า “เมื่อหลายครั้งมาแล้วที่เลขาธิการสหประชาชาติ หลังจากที่เขาได้กล่าวประณามในการก่ออาชญากรรมของซาอุดิอาระเบียที่มีต่อชาวประชาชนชาวเยเมน ก็ได้ถอนคำพูด ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า สหประชาชาตินั้นอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯและเหล่าผู้ปกครองแถบอ่าวเปอร์เซีย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อาชญากรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐ เช่น “การเผาสมาชิกของลัทธิดาวูดีในสหรัฐในสมัยของคลินตัน” “การทรมานนักโทษในคุกกัวตานาโม อะบูฆุเรบของอิรักและในคุกแห่งหนึ่งของอัฟกานิสถาน” “การขายอาวุธในอเมริกาอย่างเป็นอิสระเสรี เนื่องจากผลประโยชน์ของบริษัทในการผลิตอาวุธ” “การปฏิบัติอย่างป่าเถื่อนของเจ้าหน้าที่ตำรวจสหรัฐกับชนผิวดำ” “บทบาทที่สำคัญของสหรัฐในการสร้างและการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายไอซิส” “การช่วยเหลือระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในการสังหารหมู่ประชาชนโดยเฉพาะในฉนวนกาซาครั้งล่าสุด” และ “การช่วยเหลือและการสนับสนุนของพวกซาอุดิอาระเบียในการสังหารประชาชนชาวเยเมนและการปราบปรามประชาชนชาวบาห์เรน” โดยท่านผู้นำได้เน้นว่า “สหประชาชาติ ถ้ายังเป็นสหประชาชาติจริงและไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบอบอเมริกา ก็จะต้องมีการติดตามบัญชีในอาชญากรรมของอเมริกาอย่างจริงจังและมีการชดเชยในสิ่งที่ผ่านมาอีกด้วย”
ในช่วงท้าย ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สาธารณรัฐอิสลามนั้นมีคำพูดที่ดีและยังสามารถพิสูจน์ได้ในประเด็นต่างๆ โดยกล่าวเสริมว่า “สาธารณรัฐอิสลามในหลายปีที่ผ่านมานี้ ได้มีความเข้มแข็งยิ่งนักในแต่ละวัน ทั้งยังมีการขับเคลื่อนไปสู่ความก้าวหน้าเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงภายใน อีกทั้งยังมีการปฏิบัติที่ถูกต้องของเจ้าหน้าที่ต่อประชาชน ซึ่งจะนำความก้าวหน้าให้เข้ามา”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ประธานาธิบดีอิหร่านได้กล่าวถึงเดือนรอมฎอนว่าเป็นเดือนแห่งความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเดือนแห่งการยืนหยัด โดยกล่าวเสริมว่า “ในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ประชาชนได้ผ่านบทสอบมาอย่างดี ทั้งในตลอดช่วงของรัฐอิสลามที่มีขึ้นและมีลง โดยพวกเขาได้ปกป้องในการปฏิวัติอิสลาม ประเทศชาติ และผลประโยชน์ของชาติ”
ท่านโรฮานี ยังได้ชี้ถึงการยืนหยัดของประชาชนในความกดดันของต่างชาติเมื่อหลายปีที่ผ่านมาล่าสุด โดยกล่าวว่า ในวันนี้ สิ่งที่เหล่าผู้ปกครองของอเมริกาได้กล่าวไปนั้นมิได้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับประชาชนชาวอิหร่านเลย เพราะว่าคำพูดเช่นนี้ เป็นถ้อยคำที่เก่าและเกี่ยวข้องกับ 40 ปีที่ผ่านมา”
ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังกล่าวเสริมว่า “ในการดำเนินการในการต่อต้านจากการถอนตัวของสหรัฐในข้อตกลงนิวเคลียร์นั้นมีเพียงรัฐเถื่อนและอีกไม่กี่ประเทศที่ออกมายอมรับ ในขณะที่ส่วนมากของประเทศต่างๆทั้งหมดของโลกต่างออกมาคัดค้าน นี่หมายความว่า อิหร่านนั้นได้รับชัยชนะในทางการเมืองและทางกฏหมายอีกด้วย”
ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังได้กล่าวถึงในทุกการตัดสินใจทั้งหมด ท่านผู้นำสูงสุด คือ ผู้ที่ชี้แนะและเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลมาโดยตลอด และยังกล่าวอีกว่า “ในปัจจุบันนี้ เรากำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับห้าประเทศด้วยกัน ขณะที่พวกเขานั้นได้ให้คำมั่นสัญญาทางคำพูดและการแถลงการณ์ทางการเมืองในข้อตกลงนิวเคลียร์ แต่เราก็จะต้องมาดูว่าในทางการปฏิบัตินั้น พวกเขาจะปฏิบัติเช่นไรบ้าง?
ท่านโรฮานี ได้กล่าวถึงการเข้าพบปะกับผู้นำทั้งสองประเทศจีนและรัสเซีย และการติดต่อทางโทรศัพท์กับผู้นำทั้งสามประเทศของยุโรปในสัปดาห์หน้า โดยกล่าวเสริมว่า “หากว่าทั้งห้าประเทศเหล่านี้ยังมีผลประโยชน์ต่อประเทศของเรา โดยเฉพาะมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับข้อตกลงทางนิวเคลียร์ เราก็จะดำเนินการต่อไปโดยที่ไม่ต้องมีสหรัฐอยู่ หามิได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เราก็จะมีการตัดสินใจในความจำเป็นและประเทศก็จะดำเนินการต่อไปอย่างดี โดยที่จะมีข้อตกลงหรือไม่มีข้อตกลงทางนิวเคลียร์ก็ตาม”
ประธานาธิบดีอิหร่าน ถือว่า ผลผลิตจากการกระทำครั้งล่าสุดของสหรัฐเป็นการทำให้ประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ของอิหร่านได้มีกระบอกเสียงอันเดียวกันที่มากกว่า ทั้งยังมีเอกภาพที่มากกว่าอีกด้วย โดยกล่าวว่า “เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในสถานการณ์ที่ประชาชาติที่มีเอกภาพของอิหร่านได้ยืนอยู่ข้างหลังท่านผู้นำสูงสุดแล้วละก็จะไม่มีอำนาจใดๆที่จะล้มประชาชาติอันยิ่งใหญ่นี้ได้หรอก”
ท่านโรฮานี ยังได้ชี้ถึงการคว่ำบาตรของสหรัฐที่มีต่อประเทศของเราเมื่อปีที่ 90 และ 91(ปฏิทินอิหร่าน) นั้นเป็นสถานการณ์ที่มีความแตกต่างกันกับปัจจุบันนี้ โดยกล่าวว่า “สถานการณ์ระหว่างประเทศในวันนี้นั้นมีความแตกต่างด้วยเช่นกัน ในขณะที่สหรัฐกำลังจะถูกหันเห ส่วนสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้นได้เป็นประเทศแห่งกฏหมาย และสันติภาพ ทั้งยังเป็นประเทศที่รักษาพันธสัญญาจนได้รับการชื่นชมจากสาธารณชนทั่วโลกอีกด้วย”
ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังได้กล่าวอธิบายถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศ โดยกล่าวว่า “ในปัจจุบันนี้การพึ่งพายังน้ำมันได้ลดจำนวนลงมากอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เมื่อช่วงสองเดือนแรกในปี 97 รายได้ที่ไม่ใช่น้ำมัน เมื่อเทียบกับสองเดือนของปีที่แล้วได้เพิ่มขึ้นถึง 28.30 % นี่หมายความว่า ประเทศและการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจนั้นได้เดินตามแนวทางของเศรษฐกิจต้านทานอย่างดีแล้ว”
ท่านโรฮานี ถือว่า รายได้ที่ไม่ใช่น้ำมันในสองเดือนที่ผ่านมานั้นอยู่ในเชิงบวกและเขายังประกาศว่า ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อได้อยู่ในตัวเลขหลักเดียว และตลาดในการลงทุนก็ได้เพิ่มขึ้นมากถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับปีที่ 92”
ประธานาธิบดีอิหร่านได้กล่าวอีกว่า ในปัจจุบันนี้ เราก็ไม่ต้องการที่จะนำเข้าแก็สอีกต่อไป และเขายังกล่าวเสริมว่า “จนถึงสิ้นปีนี้ เราก็จะมีปริมาณการผลิตที่เพียงพอในน้ำมันเบนซินอีกด้วย”
ท่านโรฮานี ยังกล่าวเสริมว่า “ในช่วงรัฐบาลสมัยที่ 11 และที่ 12 ก็ได้มีการเปิดเมกะโปรเจคด้วยกันถึง 11 โปรเจคทางตอนใต้ของฟาร์ซและก็จะมีการเปิดอีก 4 เมกะโปรเจคภายในสิ้นปีนี้”
ประธานาธิบดีอิหร่านได้กล่าวว่า ในปีนี้ เรายังมีปริมาณข้าวสาลีที่เพียงพอเหมือนดั่งในสองปีทีผ่านมา และส่วนมากของสินค้าหลักก็กำลังจะขับเคลื่อนไปยังทิศทางในการพอเพียง ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรและแรงกดดันต่างๆก็มิได้ส่งผลกระทบต่อการวางแบบแผนของปี 97 เลย และประชาชนจะต้องเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ในการบริหารของประเทศก็จะก้าวหน้าไปอย่างดีทีเดียว”
ประธานาธิบดีอิหร่านยังกล่าวถึงส่วนมากของปัญหาต่างๆ รวมทั้งในเรื่องของสถาบันการเงินและการเครดิตที่ไม่รับอนุญาติ โดยกล่าวว่า “ในเรื่องน้ำ ถึงแม้ว่าเราจะมีปัญหาในการขาดแคลนทรัพยากรทางน้ำก็ตาม แต่รัฐบาลได้ใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับจังหวัดต่างๆโดยเฉพาะในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง เป็นต้น”
ท่านโรฮานี ยังได้ชี้ถึงปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงิน โดยกล่าวเสริมว่า “บางทีในมุมมองของสหรัฐที่คิดว่าปัญหาของสกุลเงินอาจจะเป็นจุดอ่อนของประเทศ และเกิดความสับสนวุ่นวายในตลาดสกุลเงิน แต่เราได้คาดการณ์มาก่อนหน้านี้เมื่อหลายเดือนมาแล้ว ฉะนั้น เราก็จึงได้วางแบบแผนที่จำเป็นตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงนิวเคลียร์ก็ตาม และก็จะมีการเตรียมพร้อมในสกุลเงินให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนให้ได้”
ท่านโรฮานี ยังกล่าวอีกถึงการยึดถืออย่างต่อเนื่องในแนวทางและวิถีของการปฏิวัติอิสลามของประชาชาติในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ โดยเน้นว่า “ด้วยกับการยืนหยัดและความยำเกรง ซึ่งจะได้รับการช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าโดยที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในท้ายที่สุดนั้น ชัยชนะจะมาสู่ยังประชาชาติอิหร่านอย่างแน่นอน”