“การปลดปล่อยปาเลสไตน์ เป็นวิถีของพระผู้เป็นเจ้าที่ต้องเกิดขึ้น(ซุนนะตุลลอฮ์) และสหรัฐก็ไม่อาจที่จะทำผิดพลาดใดๆได้”
ในช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิแห่งอัลกุรอานในเดือนรอมฎอนอันจำเริญ ณ ฮุซัยนียะฮ์อิมามโคมัยนีได้เต็มไปด้วยกับรัศมีแห่งพระพจนาถของพระผู้เป็นเจ้า โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ปรากฏตัวร่วมกับของบรรดานักกอรี และนักขับลำนำ อีกทั้งบรรดานักกวีทั้งหลายในงาน “สานรักสัมพันธ์กับอัลกุรอาน” ซึ่งใช้เวลานานถึง 3 ชั่วโมง ด้วยกัน
ในการพบปะกันครั้งนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในความต้องการที่จำเป็นอย่างยิ่งของประชาชาติในวันนี้ คือ การใกล้ชิดกับอัลกุรอานและการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอัลกุรอาน โดยท่านยังได้เน้นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของโลกอิสลาม ดั่งเช่น ในสถานการณ์ที่เลวร้ายต่อปาเลสไตน์ และอาชญากรรมของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันที่ผ่านมานั้น ล้วนมาจากผลของการที่ประชาชาติอิสลามได้ห่างไกลจากอัลกุรอาน โดยท่านกล่าวว่า “ บัยตุลมุก็อดดัส(เยรูซาเล็ม) นั้น เป็นเมืองหลวงของปาเลสไตน์ และด้วยกับการประทานเตาฟีก(ความสำเร็จ)จากพระเจ้า จะทำให้ปาเลสไตน์นั้นถูกปลดปล่อยจากเงื้อมมือของศัตรู ในขณะที่สหรัฐและสมุนทาสรับใช้ก็ไม่อาจที่จะทำผิดพลาดต่อความจริงและ
จริยวัตรอันนี้ของพระองค์ได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ตั้งข้อสังเกตถึงความจำเป็นในการให้ความสนใจอย่างมากต่ออัลกุรอานในทุกมิติของการดำเนินชีวิตทั้งหมดและท่านก็ยังได้ชี้ถึงความโศกเศร้าและการทดสอบที่เกิดขึ้นในโลกอิสลาม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประชาชนชาวปาเลสไตน์โดยกล่าวว่า “พวกท่านทั้งหลายได้เห็นถึงอาชญากรรมต่างๆที่เกิดขึ้นโดยระบอบรัฐเถื่อนที่ชั่วร้ายไซออนิสต์ในการสังหารชาวปาเลสไตน์หลายสิบคนจนเสียชีวิตและอีกหลายพันคนก็ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ บางคนกลับฟ้องว่า ทำไมสหรัฐจึงไม่แสดงจุดยืนในเรื่องนี้ ในขณะที่สหรัฐและส่วนมากของรัฐบาลในประเทศตะวันตกนั้นมีส่วนร่วมในอาชญากรรมเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงความจำเป็นของประชาชาติอิสลาม รัฐบาลของประเทศอิสลาม และในระบอบการปกครองของอิสลามที่จะต้องแสดงจุดยืนต่ออาชญากรรมเหล่านี้ โดยกล่าวว่า “ อัลกุรอานได้สอนให้เรารู้ว่าจำเป็นที่จะต้องยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูทางศาสนาและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา และจะต้องมีการปฏิบัติด้วยกันในระหว่างพวกท่านด้วยกับความเมตตา แต่ทว่าด้วยกับการห่างไกลจากอัลกุรอานจึงทำให้เราได้เห็นว่าในโลกอิสลลามนั้นเกิดสงครามและการสร้างความแตกแยกในระหว่างบรรดามุสลิมด้วยกัน อีกทั้งในการยอมจำนนต่อการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ปฏิเสธ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงความเป็นศัตรูกับอิสลามนั้นยังไม่หมดสิ้นไป โดยกล่าวเสริมว่า “หากว่าประชาชาติอิสลามได้เข้าใกล้ชิดยังอัลกุรอาน ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวไว้ ซึ่งไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า พวกเขาจะพิชิตเหนือศัตรูได้ เพราะว่านี่คือ พันธสัญญาของพระเจ้า”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การจัดงานมัจญลิสของอัลกุรอานนั้นเป็นบทเบื้องต้นในการเข้าใจ การคิดพินิจพิเคราะห์และการปฏิบัติตามอัลกุรอาน โดยท่านยังได้กล่าวถึงบรรดาเยาวชนนักการปฏิวัติของอิหร่านว่า “การสร้างความผูกพันธ์และการเข้าใจในอัลกุรอานนั้นจะต้องเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน เพราะว่าการเข้าใจในอัลกุรอานและการปฏิบัติตามอัลกุรอาน จะเป็นเหตุให้พวกท่านนั้นมีความเข้มแข็ง และมีอำนาจ อีกทั้งยังมีเกียรติและศักดิ์ศรี”
ในช่วงท้ายของการพบปะ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวขอการอภัยโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าไปยังเหล่าชะฮีดชาวปาเลสไตน์ที่เสียชีวิตเมื่อหลายวันก่อน และยังได้เรียกร้องให้เหล่านักสู้ในแนวทางแห่งสัจธรรมได้ยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง โดยท่านเน้นว่า “ สหรัฐและเหล่าพันธมิตรในการเผชิญหน้ากับจริยวัตรที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงนี้ จะต้องพบกับความพ่ายแพ้และการยอมจำนน”
ในการจัดงานสานรักสัมพันธ์กับอัลกุรอานครั้งนี้ บรรดาคณาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิ บรรดนักกอรี คณะอานาชีด และบรรดานักขับลำนำ ได้ร่วมกันแสดงผลงานในงานครั้งนี้อย่างเต็มที่
และในช่วงท้ายของการจัดงานดังกล่าว ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามก็ได้นำนมาซมักริบและอิชาอ์ ร่วมกันประชาชนอีกด้วย