สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำได้พบปะบรรดานักศึกษาหลายพันคนพร้อมทั้งคณาจารย์

พฤติกรรมที่น่ารังเกียจและอ่อนแอของทรัมป์คือสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ปรากฏตัวในมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอนและพบปะบรรดานักศึกษาหลายพันคนพร้อมทั้งคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย

 

เมื่อช่วงเช้าของวันพุธที่ผ่านมา ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เนื่องในวโรกาสสัปดาห์วันครูแห่งชาติ ได้ปรากฏตัวในมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน และเข้าพบปะกับบรรดานักศึกษาหลายพันคน รวมทั้งบรรดาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย โดยท่านผู้นำถือว่า ฐานะภาพอันสูงส่งของครูทั้งหลายก็เสมือนดั่งกับการดำรงชีพของพวกเขานั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากและมีความต้องการในการเอาใจใส่อย่างสมบูรณ์ การดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนดในหลักสูตรการเรียนการสอน คือ สิ่งที่จำเป็น และยังเป็นองค์ประกอบในการปฏิรูปของหน่วยงานอันยิ่งใหญ่นี้ อีกทั้งยังเป็นการกำหนดชะตากรรมทางประวัติศาสตร์ของประเทศ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับสหรัฐกับข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยท่านได้เน้นถึงเกียรติยศ ความยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่าน และความไม่ประสบผลสำเร็จของแผนการร้ายของเหล่าศัตรู โดยกล่าวว่า “เราได้กล่าวไปแล้วหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า “อย่าไว้ใจต่อสหรัฐ” และนี่คือผลลัพท์ของมัน ส่วนในกรณีของการเจรจากับ 3 ประเทศยุโรปนั้น เราก็จะกล่าวเช่นกันว่า อย่าได้ไว้ใจพวกเหล่านั้น และสำหรับสัญญาข้อตกลงอันใดก็ตาม พวกท่านก็จะต้องเอาหลักประกันอย่างแน่นอนในทางปฏิบัติ มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีการดำเนินการอีกต่อไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงคำพูดที่อ่อนแอและไร้สติ เมื่อคืนที่ผ่านมาของทรัมป์ โดยท่านกล่าวว่า “นายคนนี้ นอกเหนือจากคำพูดที่เต็มไปด้วยกับคำโกหกที่มากกว่า 10 คำแล้ว ยังได้พูดจาข่มขู่ต่อประชาชาติอิหร่านและสาธารณรัฐอิสลามอีกด้วย ข้าพเจ้าจะขอพูดกับเขาในนามตัวแทนของประชาชาติอิหร่านว่า คุณกำลังทำผิดพลาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเด็นสหรัฐ เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องมีความจริงจังและจะต้องไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัว โดยกล่าวว่า “ความเป็นศัตรูอย่างต่อเนื่องที่ลึกซึ้งในการบ่อนทำลายของพวกสหรัฐนั้นมิได้เฉพาะกับข้าพเจ้าหรือเจ้าหน้าที่คนใดก็ตามของรัฐบาล แต่พวกเขานั้นยังเป็นปรปักษ์กับระบอบสาธารณรัฐอิสลามและกับประชาชาติที่ได้รับเลือกและขับเคลื่อนไปตามวิถีของระบอบนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “แม้ว่าในสมัยรัฐบาลของโอบามาก็ได้เขียนจดหมายและมีการพูดคุยกันมาแล้ว โดยพวกเขานั้นต้องการในการบ่อนทำลายเรา แต่ทว่าพวกเขากลับพูดโกหกว่า เป้าหมายของเรา มิใช่การบ่อนทำลายแต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้วิเคราะห์ในช่วงเวลาอันสั้นของข้อตกลงนิวเคลียร์โดยกล่าวเสริมว่า ในช่วงแรกของปัญหานิวเคลียร์และมาตรการคว่ำบาตร บางคนของผู้ที่มีชื่อเสียงในประเทศได้บอกกับข้าพเจ้าว่า ทำไมท่านต้องยืนกรานในปัญหานิวเคลียร์ด้วย? ท่านจงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเถอะ เพื่อว่าพวกสหรัฐจะได้ไม่ก่อความชั่วร้ายและความเป็นปรปักษ์อีก”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “แน่นอนยิ่ง คำพูดเช่นนี้นั้นมีหลายมุมมองที่ผิดพลาด หนึ่งก็คือ พลังงานนิวเคลียร์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเทศนั้นมีความต้องการอย่างแท้จริง และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อิหร่านก็จะมีความต้องการพลังงานนิวเคลียร์ถึง 20,000 เมกะวัตต์ด้วยกัน”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวในประเด็นนี้อีกว่า “พวกท่านได้กล่าวว่า สำหรับในการขจัดความต้องการให้เราต้องพึ่งพายังพลังงานน้ำมันมาทดแทน แต่พลังงานน้ำมันนั้นจะมีตลอดไปเชียวหรือ? ในขณะที่น้ำมันได้หมดลง เราก็เพิ่งจะค้นหาพลังงานอื่นมาทดแทนกระนั้นหรือ? และชนรุ่นต่อไป จะไม่กล่าวสาปแช่งต่อพวกเราหรือที่เราทำไมไม่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ให้ตรงต่อเวลา?”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ในเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า ประเด็นพลังงานนิวเคลียร์นั้นคือข้ออ้าง หากว่าเราได้ยอมอ่อนข้อในเรื่องนี้ พวกสหรัฐก็จะหาเรื่องอื่นมาเป็นข้ออ้างอีก พวกเขาบอกว่า ไม่ มันมิได้เป็นเช่นนั้น แต่ขณะนี้พวกท่านได้เห็นแล้วว่ามันเป็นเช่นนั้นและสิ่งที่เราได้กล่าวไปก็บังเกิดขึ้น”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “เราได้ยอมรับในปัญหานิวเคลียร์ตามที่ฝ่ายต่อต้านอิหร่านเสนอมา แต่ความเป็นปรปักษ์และข้อกล่าวอ้างก็ยังไม่หมดสิ้นไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงข้ออ้างของสหรัฐเกี่ยวกับความสามารถทางทหารและการปรากฏตัวของอิหร่านในภูมิภาค โดยเน้นว่า “หากว่าในวันพรุ่งนี้ พวกท่านจะประกาศว่า เราจะไม่ผลิตขีปนาวุธอีก หรือว่าเราจะกำหนดเรดาห์ในระยะพิกัดที่ชัดเจน ถือว่าปัญหานี้นั้นจบลงแล้ว แต่ทว่าแน่นอนว่าจะมีเรื่องอื่นเป็นข้ออ้างตามมาอีก เพราะว่าการพิพาทของพวกเขากับเรานั้น เป็นประเด็นหลัก และสหรัฐก็ได้ต่อต้านต่อหลักการของสาธารณรัฐอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลหลักในการเป็นศัตรูอย่างรุนแรงนี้ ก็คือ ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามและการจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลาม อีกทั้งการทำให้มือของพวกสหรัฐนั้นสั้นลง โดยกล่าวเสริมว่า “พวกเขาต้องการทำลายระบอบการปกครองนี้และพวกเขายังต้องการที่จะปกครองอิหร่านอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเสบียงที่สำคัญและเป็นจุดยุทธศาสตร์อีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “พวกสหรัฐนั้นต้องการทาสรับใช้เยี่ยงผู้นำบางคนในประเทศทั้งหลายในภูมิภาคที่ได้ปฏิบัติตามพวกเขา แต่สาธารณรัฐอิสลามด้วยกับเกียรติยศของตนและประชาชาติอิหร่านจะเปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาออกมา ขณะที่พวกเขานั้นไม่อาจที่จะอดทนอดกลั้นต่อความยิ่งใหญ่และความภาคภูมิใจอันนี้ได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงจดหมายที่ทรัมป์ได้เขียนส่งถึงเหล่าผู้นำของประเทศอ่าวเปอร์เซีย โดยกล่าวเสริมว่า “ประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกคำสั่งในจดหมายนั้นว่า ประเทศทั้งหลายจะต้องปฏิบัติอย่างนั้น อย่างนี้ และพวกเขาก็ต้องการที่จะกระทำแบบนี้กับรัฐอิสลามด้วยเช่นกัน แต่ทว่าพวกเขานั้นไม่สามารถ เพราะว่าสาธารณรัฐอิสลามได้เปลี่ยนมาจากระบอบประชาชาติที่ถูกเหยียดหยามเกียรติยศ และศักด์ศรีในยุคกอญัรและชาฮ์ปาห์ลาวี เป็นการยืนหยัดในระบอบที่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรีและอิสระเสรี อีกทั้งจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผลประโยชน์ของประเทศแต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อถึงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจและอ่อนแอของทรัมป์ว่าเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้แล้ว และท่านยังได้ชี้ถึงความต่อเนื่องของความชั่วร้ายของเหล่าเจ้าหน้าที่ทุกคนของสหรัฐในตลอดเวลาหลังจากการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “เหล่าผู้ที่พวกเขานั้นเป็นปรปักษ์กับประชาชาติอิหร่าน บัดนี้ กระดูกของพวกเขานั้นได้กลายเป็นผุยผงบนพื้นดินแล้ว แต่สาธารณรัฐอิสลามก็ยังยืนหยัดอยู่ นายคนนี้(ทรัมป์) ในวันหนึ่ง ร่างกายของเขาก็จะถูกฝังลงบนดิน แต่สาธารณรัฐอิสลามก็ยังคงยืนหยัดและมีความภาคภูมิใจอย่างมากอีกด้วย”

ส่วนสำคัญของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติที่เกี่ยวกับประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์โดยเฉพาะ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงข้อตักเตือนหลายครั้งในการประชุมสาธารณะและส่วนตัวต่อบรรดาเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการอย่าไว้ใจต่อสหรัฐ โดยกล่าวเสริมว่า “เราได้กล่าวกับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก่อนที่จะทำสัญญาข้อตกลงว่า ให้เอาหลักประกันจากฝ่ายตรงข้ามและอย่าไว้ใจต่อคำพูดของพวกเขา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงเงื่อนไขในการยอมรับข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยกล่าวว่า “เงื่อนไขหนึ่ง ก็คือ การเอาหลักประกันที่เป็นลายลักษณ์อักษรและลายเซ็นรับรองของประธานาธิบดีสหรัฐในเวลานั้น ในการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด แต่ทว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่เคารพรักได้พยายามแล้วแต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ ขณะที่ได้ผ่านมา 2ปีครึ่งแล้วที่อิหร่านได้ปฏิบัติตามข้อตกลงทั้งหมด แล้วประธานาธิบดีสหรัฐกลับประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์และมาพูดจาคุกคามต่ออิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงถ้อยคำที่สำคัญส่วนหนึ่งของท่านเกี่ยวกับคำพูดของบางคนในการดำเนินการต่อในข้อตกลงนิวเคลียร์กับ ทั้ง 3 ประเทศยุโรป โดยกล่าวเสริมว่า “ข้าพเจ้าก็ไม่ไว้ใจต่อประเทศทั้งสาม และขอกล่าวว่า พวกท่านอย่าไว้ใจพวกเหล่านั้น หากว่าพวกท่านต้องการตกลงข้อสัญญาใดก็ตาม จะต้องเอาหลักประกันที่แท้จริงทางการปฏิบัติเสียก่อน หามิเช่นนั้นแล้ว ในวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็จะทำเช่นนี้เหมือนดั่งที่สหรัฐได้กระทำ แต่จะเป็นอีกวิธีการหนึ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังตั้งข้อสังเกตว่า “บางทีพวกเขาอยู่ในสภาพที่ยิ้มแย้ม ขณะที่เอามือของเขาถือมีดดาบมาจี้ที่หน้าอกของฝ่ายตรงกันข้าม ด้วยกับการเยินยออย่างผิวเผินโดยที่เรานั้นรู้ว่าพวกท่านจะไม่ถอนตัวออกจากข้อตกลงนี้เป็นอันขาด พวกเขาก็จะดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองต่อไป”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงการกระทำกับพวกยุโรป โดยกล่าวเสริมว่า “ประเด็นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก หากว่าพวกท่านสามารถเอาหลักประกันอย่างแท้จริงและไว้ใจได้ แต่เรื่องนี้ยังอีกไกลมากๆ ซึ่งก็ไม่เป็นปัญหาใดๆทั้งสิ้น หากพวกท่านจะดำเนินการต่อไป หามิเช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องดำเนินการอีกต่อไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงการทดสอบอันยิ่งใหญ่ของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐฯโดยกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ทั้งหลายกำลังตกอยู่ในสภาพของการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาสามารถจะรักษาเกียรติยศและอำนาจของประชาชาตินี้ได้หรือไม่ อีกทั้งก็จำเป็นที่จะต้องรักษาเกียรติยศและผลประโยชน์ของประเทศชาติด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “แต่ช่างโชคดียิ่งนัก ที่เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนั้นได้กล่าวถึงการรักษาผลประโยชน์ของประเทศด้วยกับประเด็นนี้ แต่ในการบรรลุยังเป้าหมายก็จำเป็นที่จะต้องมีความระมัดระวังกันอย่างละเอียด มีความฉลาดหลักแหลมและมีสติในการปฏิบัติกับพวกยุโรปและอย่าได้ไว้ใจในคำพูดของเจ้าหน้าที่ยุโรป เพราะว่าเพียงคำพูดนั้นไม่มีคุณค่าใดๆ ขณะที่พวกเขาอยู่ในโลกทางการทูตที่มีการปฏิบัติอย่างไร้คุณธรรม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงอีกส่วนหนึ่งในการปราศรัยของท่าน จากการพบปะกับคณะอาจารย์ทั้งหลาย โดยถือว่าเป็นหนึ่งในการพบปะที่รู้สึกอบอุ่นมากที่สุด และท่านยังชี้ถึงประโยคหนึ่งของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)ที่รู้จักกันว่า “ครู คือ อาชีพของบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย” โดยกล่าวว่า

“ช่างน่าเสียใจอย่างยิ่งนัก ในขณะนี้ ฐานะภาพของครูในสังคมยังไม่เป็นที่เด่นชัดนักและในแวดวงสาธารณะก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น ฉะนั้นการงานนี้จะเป็นไปไม่ได้ที่เกิดขึ้นเพียงคำพูดอย่างเดียว แต่จะต้องมีการวางแบบแผนและการงานทางศิลปะในด้านต่างๆ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงการอบรมสั่งสอนโดยทั่วไป จะต้องเกิดขึ้นจากความยุติธรรมและการอบรมให้มนุษย์เป็นผู้ที่มีความยุติธรรม สร้างความยุติธรรม และเรียกร้องสู่ความยุติธรรม โดยกล่าวเสริมว่า “ทิศทางและเป้าหมายในการศึกษาในช่วงเวลา 12 ปีของการศึกษานั้น จะต้องทำให้นักศึกษานั้นมีฐานะภาพในกองคาราวานของการขับเคลื่อนไปยังความก้าวหน้า มีความรู้สึกในการรับผิดชอบหน้าที่ การปลุกจิตวิญญาณทางความคิดที่เป็นอิสระ ซื่อสัตย์ มีความพยายามอุตสาหะ กล้าหาญ เสียสละ ความละอายใจ และความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การอบรมเยาวชนที่สูงส่งด้วยกับเจตนามุ่งมั่นและความพยายาม คือสงครามอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง โดยกล่าวเสริมว่า “บางคนต้องการเพียงร้องเพลงกล่อมเพื่อให้เรานอนหลับโดยทีไม่สนใจต่อสงครามนี้ ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐอิสลามต่างพยายามอย่างหนักหน่วงในการใช้วิธีการต่างๆนานาเพื่อเป็นอุปสรรคต่อการอบรมของเยาวชนด้วยกับลักษณะเช่นนี้”

ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ชี้ถึงการมีแบบอย่างที่สูงส่งอย่างมากมายในสังคม โดยกล่าวว่า “สำหรับการอบรมเยาวชนที่ต้องตรงตามแบบอย่างในเป้าหมาย อุดมการณ์และทิศทางของรัฐอิสลามนั้น เรามีแบบอย่างที่เพียงพอแล้วโดยที่ไม่ต้องการแบบอย่างของบุคคลในประวัติศาสตร์ของต่างชาติด้วยหรอก แต่ทว่า เรานั้นมีแบบอย่างที่ยิ่งใหญ่ เฉกเช่น บรรดาชะฮีดนักวิชาการทางด้านนิวเคลียร์ ชะฮีดชัมรอน ชะฮีดอาวีนี และชะฮีดฮุญะญี โดยที่พวกเขาเหล่านั้นได้รู้สึกรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ด้วยการมีอำนาจและเกียรติยศในการสร้างความภาคภูมิใจให้กับประชาชาติด้วยกับการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับศัตรู”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อโดยเน้นถึงความจำเป็นในการศึกษา “วิชาการที่มีประโยชน์” ในกระทรวงศึกษาธิการ และกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการจะต้องมีวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนกันกับหน่วยงานและสำนักงานอื่นๆ เพราะว่า หน่วยงานนี้มีโอกาสที่ไม่เหมือนใครซึ่งในระยะเวลาถึง 12 ปีในการเคลื่อนย้ายทางอุดมการณ์ของการปฏิวัติอิสลามอย่างถูกต้องและการสร้างอัตลักษณ์ของชาติให้กับเด็กและยุวชนทั้งหลายอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า “กระทรวงศึกษาธิการในการบรรลุยังเป้าหมายอันสูงส่งนั้น จำเป็นที่จะต้องมีความต้องการในโครงสร้างที่ใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าโครงสร้างอันใหม่นี้จะเกิดขึ้นมาจากการมีหลักสูตรที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษา”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การบังเกิดหลักสูตรที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง คือ ความจำเป็นมากที่สุด โดยกล่าวว่า “ด้วยกับการดำเนินการไปแล้วนั้น แต่ทว่าจากการรายงานแสดงให้เห็นว่า จนถึงขณะนั้นมีเพียงจำนวนที่น้อยกว่า 10 เปอร์เซ็นที่มีอยู่ในหลักสูตรของการเรียนการสอน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นว่า “ประเด็นหลักของข้าพเจ้าที่มีไปยังกระทรวงศึกษาธิการในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอน ก็คือ การกำหนดเวลาอย่างถูกต้องในการดำเนินการตามหลักสูตรนี้”

ท่านผู้นำสูงสุด ยังถือว่า หนึ่งในการกระทำที่จำเป็นในการเกิดขึ้นของหลักสูตรในการเปลี่ยนแปลงของกระทรวงศึกษาธิการ ก็คือ การเข้าใจในโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการพร้อมกับหลักสูตรการเรียนการสอนนี้ โดยเฉพาะในฝ่ายผู้บริหารของกระทรวงนี้ โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเคยเน้นย้ำมาหลายครั้งแล้วเกี่ยวกับการบริหารในกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งยังหวังว่า รัฐมนตรีที่เป็นเคารพรักยิ่งของกระทรวงนี้ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีเจตนามุ่งมั่นและความสดใส จะมีการดำเนินการและติดตามประเด็นนี้อย่างจริงจัง”

อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามเน้นถึง ก็คือ การให้ความสนใจอย่างเหมาะสมและเชี่ยวชาญในประเด็นการทดสอบทางด้านไหวพริบและสถาบันการศึกษาในการแข่งขันทางด้านไหวพริบ โดยที่ไม่ต้องมีการแบ่งแยกชนชั้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวต่อเกี่ยวกับในกรณีหลักสูตร 2030 โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้กล่าวเมื่อปีที่แล้วอย่างเป็นทางการถึงการห้ามนำหลักสูตรอันนี้มาใช้เป็นอันขาด ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ให้การตอบรับอย่างดีทีเดียว แต่ข้าพเจ้ายังได้ยินมาอีกว่า ในภาคส่วนต่างๆได้มีการนำบางประการจากหลักสูตร 2030 นี้มาใช้นั้นหมายความว่า การนำส่วนสำคัญที่สุดของประเทศให้อยู่ในการควบคุมของต่างชาติแล้ว”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ไม่มีความหมายใดเลยที่ประเทศหนึ่งประเทศใดเหมือนกับอิหร่านที่มีวัฒนธรรมอันเก่าแก่และมีระบอบการปกครองที่มีอำนาจ จะต้องนำหลักสูตรการเรียนการสอนของต่างชาติมาใช้ด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงประเด็นมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอนและมหาวิทยาลัยครู โดยกล่าวว่า “ในมหาวิทยาลัยนั้น จะต้องมีการอบรมคุณภาพและการขยายวงกว้างในปริมาณของครู เพราะว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะมีครูจำนวนมากที่ต้องเกษียณอายุและจะเกิดวิกฤติความขาดแคลนครูในประเทศ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึง อาชีพครู คือ อาชีพที่มีศิลปะ มีความเชี่ยวชาญและยังมีความต้องการในการอบรมสั่งสอน โดยท่านตั้งข้อสังเกตว่า “ช่างน่าเสียใจยิ่งนักที่มหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอนและมหาวิทยาลัยครูยังไม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ขณะที่มีความต้องการบรรดาอาจารย์ งบประมาณ สถานศึกษา ซึ่งถือว่านี่เป็นปัญหาหลัก”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเรียกร้องให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และองค์กรในการบริหารจัดการประเทศ อีกทั้งองค์กรในการสรรหาอาชีพให้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการเพื่อที่จะขจัดปัญหาเหล่านี้ และยังจะต้องมีการเพิ่มคณะกรรมการด้านการศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงประเด็นการสอนของครูในมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน โดยกล่าวว่า “ บรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนี้ จะต้องเป็นบุคคลที่มีความคิดสร้างสรร ความรู้ การเคร่งครัดต่อศาสนาและมีจิตวิญญาณในการปฏิวัติอิสลาม นอกเหนือจากนั้น จะมีคุณลักษณะพิเศษที่ตรงตามมาตราต่างๆของหลักสูตรการเรียนการสอนอีกด้วย”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นถึงการไม่ละเลยในการมีความระมัดระวังต่อตัวเลือกหลักในมาตราเหล่านี้ และท่านยังกล่าวเตือนให้บรรดาอาจารย์ นิสิต นักศึกษาของมหาวิทยาลัยครูนั้นมีความผูกผันธ์กับผลงานการประพันธ์ของท่านชะฮีดมุเฏาะฮะรี

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่าน ถือว่า อนาคตอันสดใสของประเทศนั้นขึ้นอยู่กับบรรดาเยาวชน ผู้มีเกียรติทั้งหลายในแผ่นดินแห่งนี้ โดยเน้นว่า “อนาคตอิหร่านของพวกเรานั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะมีความก้าวหน้ากว่าในวันนี้อย่างแน่นอน”

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นาย ฮูเซน คะนีฟัร อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน นาง อาดิลี อธิการบดีมหาวิทยาลัยพัรดีซ สาขานะซีเบฮ์ นางสาว ซุฮ์เรฮ์ อิสลามีนิยอ นักศึกษาครูมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน ดร.ซุฮ์รอบ มะรูวะตี อาจารย์อบรมครูมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน และนาย รอมีน นะซีรี อาจารย์ดีเด่นของประเทศ เป็นตัวแทนของนิสิต นักศึกษาและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอนได้กล่าวรายงานและเสนอทัศนะต่างๆของตนเองให้ท่านผู้นำสูงสุดได้รับทราบ

โดยประเด็นทั้งหลายนั้น มีดังต่อไปนี้ :

ความจำเป็นในการสนับสนุนอย่างเหมาะสมต่อมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอนและการปรับปรุงปริมาณและคุณภาพ

ความจำเป็นในการวางหลักการทางความรู้ ความศรัทธา การสร้างงานและความเชี่ยวชาญให้กับนักศึกษา

การวิจารณ์ในการไม่ปฏิบัติตามหลักสูตรของการเปลี่ยนแปลงในหลักการของกระทรวงศึกษาธิการ

ความจำเป็นในการใส่ใจต่อการดำรงชีพและสถานภาพทางสังคมของครู

ความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างในการดึงดูดคณะกรรมการทางวิชาการและพลังงานมนุษย์ในมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน

ความจำเป็นในการดึงดูดและการเพิ่มจำนวนครูโดยมุ่งเน้นต่อการเพิ่มจำนวนของนักศึกษาและการเกษียณอายุของครูจำนวนมากในอีกหลายปีข้างหน้า

ความจำเป็นในการสร้างความยุติธรรมทางการศึกษาและมุ่งเน้นนักศึกษาในเขตชุมชนที่ด้อยโอกาสและพวกที่เร่ร่อน

นอกเหนือจากนี้ อีกเช่นกัน พณฯท่าน บัฏฮาอีย์ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวในการรายงานว่า “ครู คือ องค์ประกอบหลักที่สำคัญในโครงสร้างของระบบการศึกษา และยังกล่าวเสริมว่า “การวางรูปแบบแผนและการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาโดยพึ่งพายังหลักสูตรการเรียนการสอนที่ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง การติดตามแก้ไขปัญหาของผลกระทบทางสังคม การปรับปรุงคุณภาพของโรงเรียนแห่งรัฐฯและการเพิ่มดุลอำนาจ การผลักดันทางการศึกษา การแผ่ขยายของความเชี่ยวชาญทางวิชาการอาชีพ ถือว่าเป็นการดำเนินการที่สำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ”

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามจะเข้าเยือนมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน ท่านได้ปรากฏตัวร่วมกับคณะเจ้าหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการจำนวนหนึ่งและบรรดาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยฟัรฮังกิยอน และชะฮีดรอญาอีย์ รวมทั้งบรรดาตัวแทนของครูในจังหวัดต่างๆ

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวสั้นๆโดยเน้นถึงค่าใช้จ่ายในแหล่งทางความรู้ ซึ่งในความจริงนั้นคือการลงทุนให้กับประเทศและท่านยังกล่าวเสริมว่า “หากว่ายังไม่มีการลงทุนในวันนี้ ในวันพรุ่งนี้ สาธารณชนก็จะได้รับความเสียหาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อคำพูดที่ผิดพลาดที่ว่า หน่วยงานดั่งเช่นกระทรวงศึกษาธิการนั้นได้กลืนกินงบประมาณของประเทศ โดยกล่าวว่า “อย่าทำให้แนวคิดที่หันเหอันนี้สร้างข้อสงสัยและปัญหาให้กับระบบการศึกษาด้วยกับวิธีการต่างๆ แต่ทว่า ในระบบการศึกษาจะต้องมีการบริหารจัดการเหมือนในอดีตที่ผ่านมาโดยผ่านรัฐบาล”

 

700 /