เมื่อช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐฯ ทุตานุทูตของประเทศอิสลามและประชาชนเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า การโจมตีซีเรียของสหรัฐและสองประเทศชาติตะวันตก เมื่อช่วงเช้าของวันนี้นั้น คือ การก่ออาชญกรรม และท่านยังถือว่าข้ออ้างของพวกเขาที่ต่อต้านการใช้อาวุธเคมีนั้นคือ การพูดวาจาที่โกหก โดยกล่าวเน้นว่า “สาธารณรัฐอิสลาม ก็เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา ได้ยืนเคียงข้างกับกลุ่มมุกอวะมัตมาโดยตลอด ขณะที่สหรัฐอเมริกาก็จะประสบกับความล้มเหลวในการบรรลุยังเป้าหมายของพวกเขาในภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน”
ในการเข้าพบปะครั้งนี้ ซึ่งตรงกับวันสำคัญทางศาสนา ก็คือ วันอีดมับอัษ (วันแห่งการแต่งตั้งศาสดามูฮัมมัด เป็นศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเป็นทางการ) โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งถือว่าเป็นวันแห่งการย้อนกลับยังหลักเตาฮีด (เอกภาพ)และการปกครองของความรู้ การพลังอำนาจ ความโปรดปรานและการชี้นำของพระผู้เป็นเจ้าต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์และการเผชิญหน้ากับระบอบจอมเผด็จการ ทั้งหมดนี้คือ สาส์นหลักที่สำคัญที่สุดของการบิอ์ษัต โดยกล่าวว่า “ หลักเตาฮีด คือ การไม่ยอมตกอยู่ใต้การกดขี่ทั้งหลาย ขณะที่ฝ่ายสัจธรรมได้มีการต่อสู้กับฝ่ายอธรรมมาโดยตลอด ซึ่งการต่อสู้นี้จะทำให้บั้นปลายของฝ่ายอธรรมนั้นประจักษ์ชัดยิ่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของประชาชาติอิสลาม คือ การย้อนกลับมายังสาส์นของบิอ์ษัต (การแต่งตั้งศาสดา) หมายถึง หลักเตาฮีด โดยกล่าวว่า “หากว่าเรามีศรัทธาในหลักเตาฮีดแล้วไซร้ เราจะไม่ยอมตกอยู่ใต้การกดขี่และเราจะสนับสนุนผู้ถูกกดขี่ และด้วยเหตุผลนี้เอง ไม่ว่าสถานที่ใดก็ตามที่ผู้ถูกกดขี่ต้องการขอความช่วยเหลือ สาธารณรัฐอิสลามจะให้การช่วยเหลือ”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงปรัชญาของการยืนกรานของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในการสนับสนุนประเด็นปาเลสไตน์ว่าอยู่ในกรอบอันนี้ โดยกล่าวเสริมว่า "การยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับผู้กดขี่นั้นย่อมจะนำไปสู่ความก้าวหน้า ซึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน ก็คือ ประชาชาติปาเลสไตน์ซึ่งในช่วงเริ่มแรกนั้นพวกเขาถือว่าเป็นชนชาติที่อ่อนแอ แต่ขณะนี้ด้วยผลของการยืนหยัด ทำให้ชนชาติที่เคยอ่อนแอนั้นได้กลายเป็นปาเลสไตน์ที่มีความเข้มแข็งที่กำลังคุกคามระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และระบอบนี้กำลังรู้สึกถึงความอ่อนแอและไร้ความสามารถในการเผชิญหน้ากับประชาชาติปาเลสไตน์”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นว่า “ในการเผชิญหน้ากันนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาวปาเลสไตน์นั้นจะมีชัยชนะเหนือรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และดินแดนปาเลสไตน์จะกลับคืนมาสู่ประชาชาติของพวกเขา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปรากฏตัวของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในเอเชียตะวันตกและยืนเคียงข้างกลุ่มมุกอวะมัตและการปรากฏตัวในซีเรียนั้น อยู่ในกรอบของการสนับสนุนต่อผู้ถูกกดขี่ โดยกล่าวว่า “การที่มีผู้กล่าวหาว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านต้องการที่จะขยายอำนาจนั้น เป็นคำพูดที่โกหกและขัดแย้งกับความจริง ในขณะที่อิหร่านนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการขยายอำนาจ ไม่ว่าจะในภูมิภาคและในที่ใดในโลกก็ตาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “เหตุผลในการปรากฏตัวของอิหร่านในซีเรียและในภูมิภาคเอเชียตะวันตกนั้นคือ การให้ความช่วยเหลือกลุ่มมุกอวะมัต ที่กำลังเผชิญหน้ากับการกดขี่ และการดำรงอยู่ของแนวรบของกลุ่มดังกล่าวนี้ ด้วยกับการช่วยเหลือและการสนับสนุนต่างๆที่เกิดขึ้น และด้วยกับความกล้าหาญของบรรดากองกำลังซีเรียที่สามารถพิชิตเหนือกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาและประเทศชาติตะวันตกและสมุนทาสรับใช้ของพวกเขา อย่างเช่น ซาอุดิอาระเบีย จนทำให้พวกเหล่านั้นได้รับความปราชัย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงคำพูดในช่วงเช้าวันเสาร์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่กล่าวอ้างว่าได้จัดการกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิสและได้ทำลายมันจนหมดสิ้นลงในซีเรีย โดยกล่าวว่า “คำพูดเหล่านี้คือการมดเท็จอย่างชัดเจน และเป็นเรื่องที่น่าอดสูอย่างยิ่ง เพราะว่า พวกสหรัฐฯได้สร้างกลุ่มชั่วร้ายเหล่านี้ขึ้นมาในอิรักและในซีเรียด้วยกับเงินของซาอุดิอาระเบียและชาติอื่นๆ อีกทั้งพวกเขาก็จะให้การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้ายในทุกที่เมื่อเห็นว่ามีความจำเป็น และเมื่อใดก็ตามที่สมาชิกหลักของกลุ่มไอซิสถูกปิดล้อม พวกเขาก็จะให้การช่วยเหลือพวกนั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นว่า “ด้วยกับการสนับสนุนจากสหรัฐและเหล่าพันธมิตรต่อกลุ่มก่อการร้ายในซีเรีย แต่กลุ่มมุกอวะมัตก็ยังสามารถที่จะช่วยเหลือซีเรียและอิรักให้รอดพ้นจากกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ได้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การโจมตีต่อซีเรียในช่วงเช้าของวันนี้ เป็นการก่ออาชญากรรมอันหนึ่ง โดยกล่าวเสริมว่า "ข้าพเจ้าขอประกาศอย่างชัดแจ้งว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีฝรั่งเศสและนายกรัฐมนตรีอังกฤษนั้นเป็นอาชญากร"
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นถึงการไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆของสหรัฐฯ จากอาชญากรรมที่ก่อขึ้นในซีเรีย เฉกเช่นเดียวกับชะตากรรมของอิรักและอัฟกานิสถาน โดยกล่าวว่า “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่งประกาศเมื่อไม่นานมานี้ว่า ได้ใช้จ่ายไปในเอเชียตะวันตกถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ และยังไม่มีสิ่งใดที่ย้อนกลับคืนมายังพวกเขาเลย คำพูดนี้เป็นความจริง และนับจากนี้เป็นต้นไป ก็เช่นกัน ไม่ว่า สหรัฐอเมริกาจะใช้ความพยายามและค่าใช้จ่ายมากสักเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็จะไม่ได้รับสิ่งใดกลับคืนจากภูมิภาคนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังย้ำเตือนถึงความจำเป็นในความเฉลียวฉลาดและการตื่นตัวของประชาชาติ ประเทศและรัฐบาลอิสลามทั้งหลาย ในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาไม่ใช่แค่เพียงซีเรีย อิรักและอัฟกานิสถานเท่านั้น แต่ทว่าพวกเขากำลังหาทางที่จะสร้างความเสียหายต่อประชาชาติมุสลิมและโลกอิสลาม ดังนั้น รัฐบาลอิสลามเหล่านี้ไม่ควรที่จะนำตัวเองเข้าไปรับใช้เป้าหมายต่างๆ ของสหรัฐฯ และบางประเทศชาติตะวันตกผู้รุกราน”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอีกว่า "สำหรับประเทศอิสลามอย่างซาอุดิอาระเบียนั้นไม่ถือว่าเป็นที่น่าภาคภูมิใจนักที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวอย่างเปิดเผยเกี่ยวถึงพวกเขาในระหว่างการรณรงหาเสียงเลือกตั้งว่า เป็นดั่ง"โคนม" ซึ่งไม่มีความอัปยศอดสูใดที่จะเลวร้ายไปยิ่งกว่านี้แล้วที่พวกเขาได้เอาเงินของประเทศหนึ่งไปแล้วกล่าวหากับประเทศนั้นด้วยสำนวนคำพูดเช่นนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงคำพูดมดเท็จที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวอ้างว่าการโจมตีซีเรียเป็นการต่อต้านการใช้อาวุธเคมี โดยกล่าวเสริมว่า "พวกเขาไม่ได้คัดค้านใดๆ กับการใช้อาวุธเคมีหรืออาวุธอื่นใดเพื่อต่อต้านประเทศอิสลามและประเทศอื่นๆที่ถูกกดขี่ ดังเช่นที่พวกเขาได้ให้การสนับสนุนการทิ้งระเบิดเป็นรายวันต่อประชาชนชาวเยเมน และในช่วงสงครามการป้องกันศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน โดยพวกเขาให้การสนับสนุนต่อซัดดัม ฮุสเซน ผู้เป็นอาชญากร ในการเข่นฆ่าสังหารประชาชนชาวอิรักและอิหร่านหรือทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บหลายแสนคน โดยการใช้อาวุธเคมีในการทำลายล้าง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พฤติกรรมต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาและบางประเทศตะวันตกนั้นเป็นผลมาจากเป้าหมายในการล่าอาณานิคมและการเป็นเผด็จการสากลของพวกเขา โดยกล่าวว่า "แน่นอน บรรดาจอมเผด็จการจะไม่ประสบความสำเร็จในทุกๆที่ในโลกและสหรัฐอเมริกาก็จะล้มเหลวในเป้าหมายต่างๆ ของตนในภูมิภาคนี้"
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการยืนหยัดของประชาชาติอิหร่านและความมั่นคงที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งเกิดจากประสบการณ์ใน 40 ปีของการยืนหยัดและความอดทน โดยกล่าวว่า “ประสบการณ์เหล่านี้ได้สอนเราว่า การล่าถอยคือ การส่งเสริมศัตรู ขณะที่การยืนหยัดก็จะทำให้พวกเขานั้นล่าถอยออกไป”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นในช่วงท้ายถึงเหตุผลในการล่าถอยของชาติมหาอำนาจและบรรดาเผด็จการผู้กดขี่ของโลกนั้นมาจากการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับพวกเขา ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแบบแผนของพระเจ้าและท่านยังแสดงความหวังว่า ประชาชนชาวอิรัก อัฟกานิสถาน ซีเรีย ชาวปาเลสไตน์ผู้ถูกกดขี่ เมียนมาร์และประชาชนชาวแคชเมียร์ ในอนาคตอันใกล้นี้ จะทำให้เหล่าศัตรูนั้นล่าถอยด้วยกับการยืนหยัดต้านทานของพวกเขาทั้งหลาย”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม พณฯท่าน โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่านได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันอีดมับอัษต่อบรรดามุสลิมทุกคน โดยกล่าวว่า “ในวันนี้ โลก และภูมิภาคของเรา ต่างประสบกับวิกฤติที่ปราศจากจริยธรรม ซึ่งวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นทางการเมือง ทหารและความมั่นคงนั้นล้วนมาจากวิกฤติทางจริยธรรมทั้งสิ้น”
ประธานาธิบดีโรฮานี ถือว่า การโจมตีซีเรียครั้งล่าสุดของสหรัฐฯและชาติตะวันตก คือ การละเมิดฝ่าฝืนกฏหมายระหว่างประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า “ ขณะที่มีกลุ่มหนึ่งจากองค์กรสหประชาติจะเข้ามาตรวจสอบการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย แต่มีการโจมตีต่อประเทศที่มีระบอบการปกครองที่เป็นเอกราชและมีประชาชนที่มีความรู้ ความเข้าใจ อีกทั้งยังมีอารยธรรมที่เก่าแก่อีกด้วย”
ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังอธิบายถึงการไม่รับเอาเป็นบทเรียนของสหรัฐฯ รัฐเถื่อนไซออนิสต์และบางประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 17ปีที่ผ่านมา โดยกล่าวเสริมว่า “การละเมิดของสหรัฐฯยังอัฟกานิสถาน อิรักและลิเบีย ถือว่า ผลลัพท์ที่ได้ คือ การบุกเข้าทำลายและการสังหารผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น”
ประธานาธิบดี โรฮานี ถือว่า เป้าหมายของสหรัฐฯในการละเมิดนี้ บ่งบอกถึงการปรากฏตัวของตนในภูมิภาค โดยกล่าวเสริมว่า “พวกเขาต่างรู้สึกโกรธที่กลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาในเขตโกตา ตะวันออกต้องประสบกับความล้มเหลว ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องทำการละเมิดในรูปแบบต่างๆ”
ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังเน้นว่า “อิหร่านนั้นก็เหมือนดั่งในอดีตที่ผ่านมาในการสนับสนุนต่อเหล่าผู้ถูกกดขี่ในภูมิภาคและในโลกมาโดยตลอด และในทางตรงกันข้าม เมื่อรัฐบาลใดก็ตามในอิสลามที่ต้องการความช่วยเหลือในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย อิหร่านก็จะรีบเร่งให้การช่วยเหลือ”
ท่านโรฮานี ยังเน้นถึงการยืนหยัดของประชาชนจะทำให้แผนการร้ายของสหรัฐที่มีต่ออิหร่านนั้นล้มเหลวลง โดยกล่าวเสริมว่า “เหล่าศัตรูล่าสุดนั้นต่างพยายามสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนโดยไม่ให้มีความไว้ใจต่ออนาคตของประเทศ แต่ทว่ารัฐบาลได้จัดการวางแบบในการดำเนินการต่อการเผชิญหน้านั้นไว้เป็นอย่างดี”
ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังกล่าวอีกว่า “ข้าพเจ้าจะขอประกาศอย่างชัดแจ้งว่า รัฐบาลและรัฐอิสลามของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้มีการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในประเด็นทางเศรษฐกิจ การเมือง การทูต และเช่นกันในประเด็นนิวเคลียร์ และจะกำจัดแผนการร้ายของศัตรูที่เกิดจากที่มาอันชั่วร้ายอีกด้วย”
ทั้งนี้ ท่านโรฮานี ยังได้กล่าวขอบคุณต่อความสามัคคีและเอกภาพของหน่วยงานทั้งหลายๆและสื่อต่างๆในการจัดระเบียบเศรษฐกิจของประเทศ และการเผชิญหน้ากับแผนการสมรู้ร่วมคิดของศัตรูครั้งล่าสุดที่ผ่านมา โดยเน้นว่า “เรานั้นรับการสนับสนุนและการชี้แนะจากท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามมาโดยตลอดในการช่วยเหลือต่อรัฐบาลและประชาชาติและก็จะเกิดขึ้นต่อไปอย่างแน่นอน”