เมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประชาชนชาวเมืองตับรีซหลายพันคนเข้าพบปะท่านผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า การเข้าใจอันลึกซึ้งต่อการปฏิวัติอิสลามของประชาชาติกับความแตกต่างระหว่างการปฏิวัติอิสลามและรัฐอิสลามกับการกระทำของสถาบันต่างๆ คือ หนึ่งในเหตุผลหลักในการปรากฏตัวของประชาชนในการรวมตัวทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 22 บะฮ์มันที่ผ่านมา และท่านผู้นำยังได้กล่าวถึง 4 ประเด็นที่สำคัญ คือ การปฏิวัติอิสลามและหน้าที่หลักของการปฏิวัติอิสลาม ผลกระทบของการปฏิวัติอิสลาม ลำดับความสำคัญของการปฏิวัติ และอนาคตของการปฏิวัติอิสลาม
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกัน ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงการประจวบเหมาะกับช่วงสัปดาห์นี้เป็นวันคล้ายวันชะฮาดัตของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ ซะฮ์รอ (ซ) โดยท่านผู้นำถือว่า ฐานันดรอันสูงส่งของท่านหญิงนั้น คือ ความประเสริฐของท่านในฐานะประมุขของสตรีในสรวงสวรรค์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของบรรดามุสลิมทุกคน ไม่ว่าพี่น้องซุนนีหรือชีอะฮ์ ก็ตาม โดยท่านกล่าวว่า “บทเรียนอันยิ่งใหญ่ของท่านหญิง ก็คือ บทเรียนแห่งความกล้าหาญ การเสียสละและการมีมะอ์รีฟัตที่แท้จริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนเมืองตับรีซในวันที่ 29 บะฮ์มัน ปี1356(ปฏิทินอิหร่าน) เป็นการชี้ชะตากรรมแห่งประวัติศาสตร์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “หากว่าไม่มีการลุกขึ้นต่อสู้อันยิ่งใหญ่นี้ เป็นไปได้ว่า เหตุการณ์ในวันที่ 19 เดย์ จะถูกลืมเลือนอย่างหมดสิ้น และจะทำให้วิถีของประวัติศาสตร์ในประเทศนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้เอง ชาวเมืองตับรีซ ด้วยกับการลุกขึ้นต่อสู้และการมีความเข้าใจอย่างถูกต้องและมีดำเนินการอย่างทันท่วงที โดยได้สามารถทำให้เกิดการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ การเคลื่อนไหวของประชาชนในวันที่ 22 บะฮ์มัน ปี 57 และในที่สุดก็คือ การได้รับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึง การเดินขบวนของประชาชนในวันที่ 22 บะฮ์มันในปีนี้นั้นมีความแตกต่างกับหลายปีที่ผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า “การเข้าร่วมเฉกเช่นนี้ของประชาชนในการปกป้องในการปฏิวัติอิสลามในช่วง 40 ปี แห่งการปฏิวัติอิสลามนั้น เป็นเสมือนดั่งปาฏิหาริย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในการปฏิวัติทั้งหลายในโลกนี้เลย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุผลและแรงจูงใจในการเข้าร่วมของประชาชนในการเดินขบวนในปีนี้ ก็คือ การปรากฏของศัตรูในการเป็นปรปักษ์อย่างหลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐและประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศที่ไม่ซื่อสัตย์ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในความจริงนั้น ประชาชนยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ในบางปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ และเราก็ตระหนักดีถึงคำวิจารณ์อย่างสมบูรณ์และข้อร้องเรียนของพวกเขา แต่ทว่า เมื่อใดก็ตามที่เรื่องของการปฏิวัติอิสลามและรัฐอิสลามถือเป็นเรื่องหลัก เมื่อนั้นประชาชนจะออกมาสู่ภาคสนามในการปกป้องรัฐอิสลามและการปฏิวัติอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเข้าร่วมของประชาชนโดยการใช้สติอย่างชาญฉลาดนั้น เกิดมาจากการมีความเข้าใจในการปฏิวัติและความสมบูรณ์ทางการเมือง อีกทั้งความสามารถในการแยกแยะระหว่างรัฐอิสลามในการปฏิวัติของประชาชาติและอิมามัต กับการจัดตั้งหน่วยงานของประเทศ โดยท่านกล่าวว่า “ไม่ใช่เฉพาะกับรัฐบาล ตุลาการสูงสุด หรือรัฐสภา แม้แต่กับบุคคลอย่างข้าพเจ้าก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ได้เช่นกัน แต่ทว่า การวิพากษ์วิจารณ์นั้นไม่ได้ขัดแย้งกับการยืนหยัดของรัฐอิสลามและการปฏิวัติอิสลามที่เกิดขึ้นจากการยืนหยัดของประชาชาติและการเสียสละของบรรดาชะฮีดหลายแสนคน และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ประชาชนต้องทำการปกป้องในการปฏิวัติอิสลามด้วยกับความเต็มใจของพวกเขา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ต่อไปถึงคุณลักษณะเด่นที่ผ่านมาของชาวเมืองตับรีซในการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านถือว่า การพบปะกันครั้งนี้นั้นเป็นโอกาสที่ดียิ่งในการอธิบายถึงหลายปัญหาหลัก โดยเฉพาะในหน้าที่ของการปฏิวัติ ผลกระทบในการปฏิวัติ ลำดับความสำคัญและในช่วงท้าย ก็คือ อนาคตของการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงความยิ่งใหญ่และมิติต่างในการเข้าใจต่อการปฏิวัติอิสลาม และความพยายามอย่างมากมายของเหล่าศัตรูในการปฏิเสธหน้าที่และการรับใช้ในการปฏิวัติอิสลาม และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการกระทำของการปฏิวัติอิสลาม คือ การเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการที่กดขี่เป็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยท่านกล่าวว่า ประชาธิปไตย หมายถึง ในทุกๆภาคส่วนประชาชนจะต้องเป็นหลัก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเลือกตั้งและการลงคะแนนเสียงของประชาชนในการกำหนดโดยตรงหรือโดยอ้อมในการพิจารณาผู้นำสูงสุด ประธานาธิบดี หรือเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหลาย คือ ส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย โดยกล่าวเสริมว่า ประชาธิปไตย หมายถึง ประชาชนนั้นมีหน้าที่ในการเลือกสรรและการตัดสินใจด้วยตนเอง ซึ่งตรงกันข้ามกับการไร้ประโยชน์ของประชาชนและเผด็จการของระบอบทรราชที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนที่จะมีการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงการครอบงำและการแทรกซึมของต่างชาติในระบอบเผด็จการภายในซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงกลางของยุคสมัยในการปกครองของกษัตริย์ กอญอร และในช่วงของการปกครองของชาฮ์ ปาเลวี การกระทำทั้งหมดนั้นปฏิบัติโดยสหรัฐอเมริกา โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ประชาธิปไตยจะไม่อนุญาตให้มีการครอบงำโดยระบอบเผด็จการและการเข้ามามีอำนาจของต่างชาติ นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหลักการในโครงสร้างทางการเมืองของประเทศ ซึ่งผลที่ได้รับนั้นก็คือการให้บริการในเมือง ชนบท และการปลูกฝังทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ เช่น การจัดตั้งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (ซิพอฮ์) องค์กรญิฮาดเพื่อการดำรงชีพ กองกำลังอาสาสมัคร (บะซีจ)”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงผลกระทบอันมากมายของประชาธิปไตยในการพัฒนาการทางศักยภาพของประชาชน โดยในตัวอย่างหนึ่ง เช่น ในส่วนของสุขภาพ โดยท่านกล่าวว่า “ในช่วงของการปกครองของระบอบเผด็จการ ประชาชนนั้นไม่มีความสามารถในการรักษาโรค โดยต้องมีการส่งแพทย์มาจากอินเดียและฟิลิปปินส์เพื่อมารักษาโรคให้กับพวกเขา แต่ทว่าในวันนี้ อิหร่านได้มีการพัฒนาทางด้านสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพในภูมิภาคและเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านวิทยาศาสตร์ที่หายากและเพิ่งเกิดใหม่ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นผลที่เกิดมาจากประชาธิปไตยทั้งสิ้น และการเชื่อมั่นต่อประชาชนจะทำให้ประชาชนรู้สึกในการมีเชื่อมั่นต่อตนเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เกียรติยศ ศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ของประชาชนอิหร่าน คือหนึ่งในผลงานของการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวว่า “ในวันนี้ ประเทศหนึ่งในภูมิภาคนี้ด้วยกับการขายน้ำมันวันต่อวันถึง 10 ล้านบาร์เรล และยังมีกองคลังต่างๆมากมายทางการเงิน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ล้าหลังอยู่ ไม่มีการพูดคุยหรือกล่าวถึงประชาชนของพวกเขาในโลก แต่ด้วยกับผลของการมีประชาธิปไตยทางศาสนาในมุมมองทั่วไปของประเทศ ประชาชนอิหร่านจึงถือว่าเป็นผู้ที่มีการพัฒนาในการปฏิวัติอย่างแท้จริง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “ด้วยเหตุผลของความเป็นจริงนี้ จึงเกิดความปรปักษ์ของเหล่าศัตรูต่อประชาชนอิหร่าน มิใช่ว่า พวกสหรัฐจะเป็นปรปักษ์กับข้าพเจ้าหรือเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น เพราะว่า ทุกๆการกระทำที่เกิดขึ้นได้สร้างความโกรธและไม่พอใจให้กับพวกเขานั่นก็คือ การกระทำของประชาชาติอิหร่าน”
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การพัฒนาของประเทศ อันเป็นผลมาจากการมีประชาธิปไตยทางศาสนา และท่านยังชี้ถึงการตั้งชื่อช่วงทศวรรษที่สี่สิบของการปฏิวัตินี้ว่า เป็นทศวรรษแห่งการพัฒนาก้าวหน้าและความยุติธรรม โดยท่านกล่าวว่า การพัฒนาในหลายภาคส่วน ถือว่าได้เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ในด้านความยุติธรรมนั้นเรายอมรับว่ายังล้าหลังอยู่
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงความจำเป็นในการขอโทษต่อพระผู้เป็นเจ้าและประชาชนในความล่าช้าของความยุติธรรม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ขอพระองค์ทรงประสงค์ ด้วยกับความพยายามและอุตสาหะของบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งบุรุษและสตรีที่มีศรัทธา จะต้องมีการพัฒนาการทางด้านนี้อย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า การพัฒนา หมายถึง การที่ประเทศชาติหนึ่งด้วยกับการพึ่งพาในการตัดสิน เจตนารมณ์ การมีศักยภาพไปสู่ระดับแนวหน้า นั่นคือ ความเป็นจริงที่เราเห็นได้ชัดในอิหร่าน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงผลของการพัฒนาการของอิหร่านในแวดวงต่างๆ ทางการแพทย์ นิวเคลียร์ นาโน เทคโนโลยีชีวภาพ การป้องกันประเทศ โดยเน้นว่า “ถ้าเราให้ความสำคัญกับเหล่าเยาวชนมากขึ้นซึ่งพวกเขานั้นมีความสามารถ ความคิดสร้างสรรและการเตรียมความพร้อม แต่เรานั้นไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ต้องมีความพยายามให้มากยิ่งขึ้น”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า เหล่าศัตรูของอิหร่านนั้นตระหนักถึงการพัฒนาของอิหร่านในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา แต่ทว่าประชาชาติมิได้เข้าใจในการพัฒนาการอันนี้ เพราะว่าในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่นั้นยังมีจำนวนที่น้อยมากและยังขาดในการปฏิบัติการณ์อีกมาก ซึ่งจะต้องมีการชดเชยในเรื่องนี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเตือนต่อเจ้าหน้าที่ในประเด็นนี้ว่า “จะมีการดำเนินการในภาคปฏิบัติอย่างถูกต้อง มิใช่เพียงแค่การรายงานด้วยวาจาเท่านั้น และจะต้องมีการกล่าวถึงรายละเอียดในการพัฒนาต่างๆของประเทศเพื่อที่จะให้บางคนที่ไม่รับรู้ได้เข้าใจในความเป็นจริงนี้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวสรุปในส่วนนี้ว่า การปฏิวัติได้ทำให้ประเทศพ้นจากวิกฤติและประชาชาติเปลี่ยนสภาพจากความต่ำต้อยและไร้เกียรติ โดยทำให้ประชาชนนั้นเป็นผู้ที่มีความภาคภูมิใจและมีเกียรติยิ่ง ทั้งยังมีผลต่อทุกภาคส่วนของประเทศ ซึ่งถือว่า นี้เป็นผลผลิตอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการปฏิวัติอิสลาม
ในส่วนที่สองของคำปราศรัยที่สำคัญของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงประเด็นผลกระทบของการปฏิวัติอิสลาม
โดยท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ผลกระทบที่สำคัญที่สุดในการปฏิวัติทั้งหลายก็คือ ปฏิกิริยาตอบสนอง หมายถึง ความอ่อนแอ การนิ่งเฉย และการกลับสู่สภาพเดิม โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “ในการปฏิวัติเกือบทั้งหมดในโลกที่ผ่านมานั้นได้ประสบกับปัญหาเหล่านี้”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนหยัดอย่างมั่นคงและต่อเนื่องในสโลแกนหลักของการปฏิวัติอิสลามในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา คือ สิ่งที่ไม่เสมอเหมือนผู้ใด และท่านผู้นำยังกล่าวเตือนอีกว่า “อันตรายที่จะเกิดขึ้นในการปฏิวัติ ก็คือผลกระทบที่มีต่อการปฏิวัตินั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การก้าวไปสู่ชนชั้นสูง และการให้ความสนใจไปยังกลุ่มชนที่มั่งคั่งแทนที่กลุ่มชนที่ด้อยโอกาสและอ่อนแอ การพึ่งพิงต่อต่างชาติแทนที่การพึ่งพิงประชาชน คือ ตัวอย่างของการขับเคลื่อนที่ย้อนกลับ โดยท่านเน้นว่า “บรรดาอัจฉริยบุคคลจะต้องพึงสนใจในเรื่องเหล่านี้โดยเฉพาะบรรดาผู้บริหารประเทศควรที่จะมีการระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งประชาชนจะต้องสังเกตในการกระทำของเจ้าหน้าที่และบรรดาผู้บริหารเพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนที่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองในประเทศได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเข้ามาของบุคคลที่แต่เดิมนั้นอยู่ในการปฏิวัติ แต่หลังจากที่ได้เข้ามา เขาก็มีการเปลี่ยนเส้นทางในการปฏิวัติ ก็คือ หนึ่งในความหมายของปฏิกิริยาตอบสนอง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติไม่ได้เกิดขึ้นสำหรับบางคนที่จะออกไป และเราจะเข้ามา แต่การปฏิวัติ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแนวทางและการขับเคลื่อนไปยังเป้าหมายที่สูงส่ง หากว่า มีการลืมเลือนในเป้าหมายเหล่านี้ ฉะนั้นการปฏิวัติก็ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปฏิวัติอิสลามในปีที่ 57(พ.ศ. 2522) คือ จุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนสู่การปฏิรูปทางสังคม โดยกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติอิสลามในปีที่ 57นั้นยังไม่จบสิ้น แต่ทว่าเป็นการเริ่มต้นในการขับเคลื่อนที่ลึกซึ้งอย่างกว้างขวาง และชาญฉลาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงบุคคลที่มีมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับคำว่า “การปฏิวัติอิสลาม” โดยกล่าวเสริมว่า “จะต้องมีการให้เกียรติต่อระบอบในการบริหารของประเทศ และรัฐธรรมนูญ อีกทั้งอย่าได้คิดว่า การปฏิวัติอิสลามจะไม่มีระบอบนี้เกิดขึ้น”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นว่า นี่คือความผิดพลาดของบางคนที่คิดว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อการปฏิวัติในทุกๆสิ่ง และทุกๆเหตุการณ์ และในภาคส่วนต่างๆของรัฐอิสลาม เพราะว่า การปฏิวัติอิสลาม หมายถึง ระบอบรัฐอิสลาม ประชาธิบไตยทางศาสนา ระบอบของประชาชาติและอิมามัต ด้วยกับเป้าหมายและการกำหนดทิศทางในการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามยังรู้สึกยินดีต่อการเป็นที่รู้จักของสกุลเงินของการปฏิวัติและความเป็นนักปฏิวัติในหมู่ประชาชน และการปรากฏตัวของผู้บริหารที่มีใจรักในการปฏิวัติ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ห่างไกลจากมุมมองของเผด็จการที่มีต่อประชาชน และก็ยังห่างไกลต่อเจ้าหน้าที่อีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงช่วงท้ายของส่วนนี้ในคำปราศรัยของท่านว่า การเป็นชนชั้นสูงและการให้สิทธิพิเศษกับเจ้าหน้าที่ การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยต่อทรัพย์สินของรัฐ การไม่สนใจต่อกลุ่มชนผู้ด้อยโอกาส คือ การขับเคลื่อนที่ต่อต้านในการปฏิวัติอิสลาม และในทุกๆหน่วยงานของรัฐจะต้องมีมุมมองนี้ที่ขับเคลื่อนไปยังเป้าหมายของการปฏิวัติอิสลาม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในส่วนที่สามของการปราศรัย ท่านได้ชี้ถึง ความสำคัญอันดับแรกของประเทศ นั้นคือ ปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การพึ่งพาขีดความสามารถภายในประเทศและประชาชน คือ แนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยท่านกล่าวเสริมว่า เศรษฐกิจต้านทานที่เราได้กล่าวย้ำมาหลายครั้ง และเจ้าหน้าที่ทั้งหลายก็ยอมรับในนโยบายอันนี้ มิได้หมายถึง การจำกัดภายในเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการผลิตในประเทศโดยได้รับมาจากต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่กล่าวว่า เราจะมีความสัมพันธ์กับโลก เพราะว่า การเชื่อมโยงกับโลกนั้นมีอยู่ในเศรษฐกิจต้านทาน แต่ทว่า ในการเชื่อมั่น เราจะต้องเชื่อมั่นต่อประชาชน ไม่ใช่การพึ่งพิงต่างชาติ
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพและการลงทุนในประเทศนั้นก็ต้องการความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศนั้นต้องการในการส่งออกที่ดีและการนำเข้าที่มีความต้องการ การตอบรับในการลงทุนของต่างชาติ แต่ทว่าในการบิรหารจัดการจะต้องอยู่ในการบริหารของเจ้าหน้าที่ในประเทศ โดยจะไม่ให้ต่างชาติเข้ามาก้าวก่ายในเรื่องนี้แต่อย่างใด”
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจและผลกระทบมากมายในช่วงสิบทศวรรษที่ผ่านมาของบางประเทศในเอเชียตะวันออกถือว่าเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ผลกระทบที่นำไปสู่ความยากจนและความทุกข์ยากนั้นเป็นผลมาจากการพึ่งพาการลงทุนจากตะวันตกนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึง การไม่ได้รับประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นจากการพึ่งพาและเชื่อมั่นต่อต่างชาติในข้อตกลงสัญญานิวเคลียร์ (JCPOA) และการเจราจาในเรื่องนี้ โดยกล่าวเสริมว่า “เราได้เห็นผลลัพท์ของการพึ่งพายังต่างชาติในประเด็นข้อตกลงนิวเคลียร์ และในการเจรจา ซึ่งเราก็ยังเชื่อใจต่อพวกเขา แต่เรานั้นไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆเลย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เจ้าหน้าที่ของเราได้ปฏิบัติเป็นอย่างดีในเรื่องนี้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่ข้าพเจ้าจะต้องขอกล่าวขอบคุณต่อเขา ที่มีต่อความชั่วร้ายของพวกอเมริกาและการทุบโต๊ะของพวกยุโรป แต่ในทางการปฏิบัติเรานั้นได้ปฏิบัติอย่างดีทีเดียวและจะต้องมีการปฏิบัติในแนวทางนี้อีกต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “เราจะต้องใช้ประโยชน์จากต่างชาติ แต่อย่าได้เชื่อใจต่อพวกเขา เพราะว่าพวกเขาต้องการที่จะเข้ามาครอบงำในการชี้ชะตากรรมของประเทศ และเจ้าหน้าที่ก็จะต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สี่สิบปีของการปฏิวัติที่ประชาชนได้อดทนต่อสถานการณ์ในการคว่ำบาตร และแรงกดดัน เหมือนกับการเดินอยู่บนก้อนหินที่ขรุขระเป็นอย่างมาก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยกับการมีอยู่ของสถานการณ์เช่นนี้ เราก็ได้มีการพัฒนา ซึ่งในความเป็นจริงนั้น แสดงถึงศักยภาพของประชาชาติและประเทศชาติ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึง สิ่งสำคัญอันดับแรกในขณะนี้ ก็คือ การบริหารแบบญิฮาดีที่อยู่เหนือการบริหารจากองค์กรทั้งหลาย โดยกล่าวเสริมว่า “สภาการบริหาร และตุลาการสูงสุด ซึ่งในทุกภาคส่วนนั้นจะต้องมีการบริหารในรูปแบบญิฮาดี หมายถึง การพยายามอย่างหนักพร้อมกับความรอบคอบและการทำงานอย่างสุจริตทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อความก้าวหน้า”
การให้ความสำคัญกับประชาชนเหนือผลประโยชน์และเป้าหมายของกลุ่มและพรรค การให้ความสำคัญต่อการบริการต่อกลุ่มชนที่ด้อยโอกาส และชุมชนที่ขาดแคลนการช่วยเหลือ ถือว่า นี่คือสองหลักที่สำคัญที่ท่านผู้นำสูงสูดได้กล่าวเตือนต่อเจ้าหน้าที่
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงการป้องกันประเทศ และความต่อเนื่องในการพัฒนาโดยวิธีการใหม่ อุปกรณ์และ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ประเทศมีความต้องการในวันนี้ และในวันหน้าถือว่านี่คือสิ่งที่สำคัญ โดยท่านกล่าวเสริมว่า "หากไม่มีข้อสงสัยใดๆ ประเทศจะต้องมีการขับเคลื่อนไปในทิศทางที่มีความต้องการในการป้องกัน แม้ว่าโลกทั้งโลกจะต่อต้านมันก็ตาม "
ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อเหล่าศัตรูที่คุกคามมนุษย์ด้วยกับสงครามทางสื่อ แต่ก็ได้ต่อต้านในศักยภาพขีปนาวุธของอิหร่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า "สิ่งนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกคุณเลย ขณะที่พวกคุณต้องการให้อิหร่านไม่มีขีปนาวุธและสิ่งอำนวยความสะดวกในการป้องกันตัวเอง เพื่อที่จะทำการกลั่นแกล้งและรังแกได้ "
ท่านผู้นำสูงสุด เสริมว่า "แน่นอนว่า ในประเด็นต่างๆเช่น อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามทางศาสนา แต่สิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา ไม่ว่าจะสิ่งใดก็ตาม เราจะกระทำมันอย่างสุดความสามารถ"
ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงความต้องการในความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศตะวันออกและผู้ที่มีความสนใจจะร่วมมือกันกับอิหร่านและท่านเน้นย้ำถึง "การสร้างงานและการผลิต" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจถือว่าเป็นอันดับแรก และท่านยังชี้ในการตั้งชื่อปีนี้ว่าเป็นปี "เศรษฐกิจต้านทาน การผลิตและการสร้างงาน โดยกล่าวว่า “ในเรื่องนี้ ตามการดำเนินการและสถิติที่ได้รับ แต่สิ่งที่จะให้เกิดขึ้นต้องใช้ความพยายามมากยิ่งขึ้น"
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ เรียกร้องให้เยาวชนและยุวชนทั้งหลายของประเทศได้เตรียมความพร้อมทางด้านความศรัทธา วิทยาศาสตร์และการปฏิวัติ โดยกล่าวว่า "เยาวชนเป็นเครื่องยนตร์ในการพัฒนาทั้งในปัจจุบันและอนาคตของประเทศและเยาวชนในปัจจุบัน, ซึ่งมีเจตนาและความมุ่งมั่นและความเข้าใจที่ลึกซึ้งที่มากกว่าในช่วงแรกของการปฏิวัติและจะต้องเตรียมตัวเพื่อรีบเร่งในความก้าวหน้าของประเทศ"
ในช่วงสุดท้ายของคำปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านถือว่า ความต่อเนื่องและการยืนหยัดอย่างเข้มแข็งในการปฏิวัติอิสลาม แม้จะย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ก็ตาม และแผนการร้ายในการสมรู้ร่วมคิดของรัฐบาลเผด็จการนั้นเป็นเหตุผลให้สาธารณรัฐอิสลามเกิดความเข้มแข็งและมีอำนาจเพิ่มขึ้น โดยท่านเน้นว่า "เรารู้ถึงภัยคุกคามและคำพูดต่างๆและแผนการที่ปกปิดและเปิดเผยของเหล่า แต่เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า รัฐอิสลามที่พึ่งพาประชาชนจะมีการเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ดั่งที่ท่านอิมามโคมัยนี เคยกล่าวไว้ 'สหรัฐไม่สามารถทำสิ่งที่ผิดพลาดได้ "
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านฮุจญตุลลอิสลาม อาลิฮาชิม ตัวแทนของผู้นำสูงสุดในแคว้นอาเซอร์ไบจานตะวันออกและอิมามญุมอัตในจังหวัดตับรีซ ได้ชี้ถึง ในแคว้นนี้ได้มีชะฮีดจำนวน 10,000 คนรวมถึง 19 คนที่เสียชีวิตในการปกป้องฮะรัมศักดิ์สิทธิ์จากกลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีย์ ในซีเรียและอิรักโดยกล่าวเสริมว่า "วันที่29 บะฮ์มัน ปีที่ 56 ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในปฏิทินของชาวอาเซอร์ไบจานเท่านั้น แต่เป็นการย้อนไปยังรากเหง้าในการให้สัตยาบันของชาวอาเซอร์ไบจานตะวันออกกับการปฏิวัติอิสลาม”
ท่านฮุจญตุลอิสลาม อาลิฮาชิม ยัง เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐให้ความสำคัญกับปัญหาของ ทะเลสาปอูรูมีเยะฮ์ และกล่าวว่า "ในทุกๆกรณี ชาวอาเซอร์ไบจานนั้นก็ปิดกั้นเส้นทางของผู้ที่ฉวยโอกาสและยังคงรักษาความโดดเด่นในความภาคภูมิใจและความน่าเชื่อถือของตนไว้"