คณะผู้บัญชาการกองทัพอากาศและหน่วยการป้องกันภัยทางอากาศ เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี
“ระบอบสหรัฐ เป็นระบอบที่กดขี่ไร้ซึ่งความปราณีมากที่สุดในโลกยิ่งกว่ากลุ่มก่อการร้ายไอซิสเสียอีก”
เมื่อช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา คณะผู้บัญชาการกองทัพอากาศพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันภัยทางอากาศเข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งตรงกับปีแห่งประวัติศาสตร์ในการให้สัตยาบันของกองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 19 บะฮ์มัน ปี 1357 กับท่านอิมามโคมัยนี
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามในการพบปะกันครั้งนี้ ถือว่า ช่วงนี้เป็นสัปดาห์แห่งพระผู้เป็นเจ้าที่มีวโรกาสสำคัญในการปฏิวัติอิสลาม อันเป็นรากฐานที่มั่นคงและความแข็งแกร่งของระบอบรัฐอิสลาม โดยท่านเน้นว่า “ในปีนี้ด้วยกับความโปรดปรานแห่งพระผู้เป็นเจ้า ในวันที่ 22 บะฮ์มัน จะเป็นวันที่มีความประทับใจมากกว่าในปีก่อนๆ”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเคลื่อนไหวของประชาชาติในวันที่ 19 บะฮ์มัน ปี 1357(ปฏิทินอิหร่าน) และวโรกาสอื่นๆที่สำคัญในการปฏิวัติอิสลามนั้นคือ ความทรงจำอันภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง โดยกล่าวว่า “ทั้งหมดของวันต่างๆแห่งพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นวโรกาสต่างๆในช่วงแรกของปฏิวัติอิสลามหรือวโรกาสในช่วง 39 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการจัดเตรียมเพื่อเพิ่มเสบียงและเป็นทุนให้กับการปฏิวัติ ซึ่งเป็นเหตุทำให้รากฐานของการปฏิวัติอิสลามนั้นมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปฏิวัติอิสลาม คือ ความจริงอันหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่ และท่านยังเน้นถึงความมั่นคงและความแข็งแกร่งที่มากกวาสของการปฏิวัติอิสลามในวันนี้กับช่วงวันแรกๆของการปฏิวัติ โดยท่านกล่าวว่า “นักปฏิวัติอิสลามทั้งหลายในวันนี้ ได้มีการยืนหยัด มีความเข้าใจ มีบะศีรัต(การประจักษ์แจ้งเห็นจริง)มากกว่านักปฏิวัติในช่วงแรกๆของการปฏิวัติอิสลามเสียอีก ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้มีการพัฒนาและความสมบูรณ์ที่มากกว่า”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา คือส่วนหนึ่งขององค์ประกอบในการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ขณะนี้การปฏิวัติกำลังจะย่างก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 แล้ว แต่ก็ยังคงรักษาโครงสร้างและหลักการของการปฏิวัติอิสลามไว้ เปรียบดั่งต้นไม้ที่สูงสง่า แต่ก็ยังมีผลผลิตใหม่ๆที่มากมายอยู่อย่างต่อเนื่อง”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วิธีการหลักในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรูในการปฏิวัติอิสลาม ก็คือการยับยั้งมิให้เกิดผลผลิตที่ใหม่ในการยืนหยัดของการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวว่า ความหมายของคำว่า เหล่าศัตรู คือ ผู้ที่รัฐบาลภายใต้การปกครองของเขาในภูมิภาคนี้ต้องล้มสลาย โดยมีแกนนำหลักก็คือ รัฐบาลสหรัฐ นั่นเอง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงวิธีการหลากหลายที่เหล่าศัตรูได้ใช้ในการเผชิญหน้ากับการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวว่า พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากนักคิดจอมปลอม ผู้เชี่ยวชาญที่ถูกกุขึ้นมา เหล่านักข่าวและนักเขียนที่เป็นทาสรับใช้ และทุกสิ่งทุกอย่างในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับประชาชน แต่ทว่า ในช่วงวันต่างๆแห่งพระผู้เป็นเจ้า เหมือนในวันที่ 22 เดือนบะฮ์มัน หรือวันที่ 9 เดือนเดย์ ปี88 หรือวันที่ 9 เดือนเดย์ในปีนี้ ได้มีการเดินขบวนของประชาชนตามท้องถนนเป็นจำนวนมาก โดยกล่าวสโลแกนคำขวัญอันเดียวกัน ซึ่งได้ทำให้วิธีการคำนวญของเหล่าศัตรูต้องพบกับความผิดพลาด
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความพยายามของผู้ที่ประสงค์ไม่ดีต่อประชาชาติอิหร่านจากการปฏิบัติการณ์ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยท่านกล่าวว่า “พวกเขาก็ใช้วิธีการคว่ำบาตรอีกเช่นกัน เพื่อที่จะให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยกับประชาชนเหล่านี้ที่มีความรักต่อการปฏิวัติอิสลาม ก็ได้ออกมาตามท้องถนนกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นเหตุให้ในการปฏิวัติอิสลามนั้นมีความมั่นคงและมีความแข็งแกร่ง”
ท่านผู้นำสูงสุดการรปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเดินขบวนในวันที่ 22 เดือนบะฮ์มัน ปีนี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของประชาชนในการแสดงความรักต่อการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “ปีนี้ด้วยกับการหลอกลวงของเจ้าหน้าที่บางคนของสหรัฐและพวกอื่นที่ไม่ใช่สหรัฐ จะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าศัตรูได้หลบซ่อนตัวเพื่อที่จะแสดงความเป็นปฏิบักษ์ออกมา ด้วยเหตุนี้เอง ด้วยกับพลังอานุภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า จะทำให้ประชาชนได้ออกมาเดินขบวนในวันที่ 22บะฮ์มัน ในปีนี้ ที่มีจำนวนที่มากกว่าและทุกๆคนก็จะต้องออกมาอีกด้วยเช่นกัน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกถึงนโยบายหลักของรัฐอิสลามที่ได้นำมาจากการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวว่า “หนึ่งในนโยบายหลักของรัฐอิสลาม คือ ความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมืองและความมั่นคง การมีอิสระเสรี และการพัฒนาทางด้านวัตถุและจิตวิญญาณในทุกๆมิติ ซึ่งในบางครั้ง จะเป็นองค์ประกอบในการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความยุติธรรมทางสังคมเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “จุดมุ่งหมายของการมีความยุติธรรมทางสังคม ก็คือ การขจัดช่องว่างระหว่างหมู่ประชาชน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ในทางปฏิบัตินั้นยังมีน้อยมากและเราก็ยังล้าหลังอยู่ในเรื่องนี้ และสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องกระทำ ซึ่งในขณะนี้ก็ยังไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด แต่ทุกๆคนพึงทราบเถิดว่า ไม่มีผู้ใดปฏิเสธนโยบายหลักต่างๆนี้ได้และจะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังอีกด้วย”
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า หนึ่งในวิธีการที่จะให้เกิดความยุติธรรมทางสังคม ก็คือ การต่อสู้กับการกดขี่และความชั่วร้าย โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การต่อสู้กับการกดขี่และความชั่วร้ายเป็นการกระทำที่ความยากลำบากเป็นอย่างมาก เหมือนดั่งเช่นที่ข้าพเจ้าเคยกล่าวไปแล้วเมื่อหลายปีก่อนว่า การมีอยู่ของความชั่วร้ายเปรียบเสมือนกับงูพิษที่มีทั้งเจ็ดหัว ซึ่งถือว่าเป็นเหมือนดั่งนิยายปรัมปราที่ไม่อาจจะจำกัดมันได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องมีการปราบปรามมันไปให้ได้ในที่สุด”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เน้นว่า “จะต้องมีการดำเนินการกับการกดขี่และความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลให้มากกว่าอย่างจริงจัง อีกทั้งเจ้าหน้าที่รัฐฯและผู้บริหารประเทศจำต้องสนใจในเรื่องนี้อย่างเป็นพิเศษ”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนหยัดต่อการกดขี่และความชั่วร้ายในระดับนานาชาติและการเปิดเผยมันนั้น คือหนึ่งในนโยบายหลักของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านเน้นว่า “ในวันนี้ ระบอบสหรัฐคือระบอบที่กดขี่ ไร้ซึ่งความปราณีมากที่สุดในโลก แม้ว่าจะมีความเลวร้ายและป่าเถื่อนยิ่งกว่ากลุ่มก่อการร้ายไอซิสเสียอีก”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงประเด็นที่สหรัฐฯเป็นผู้สร้างกลุ่มไอซิสขึ้นมาโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันได้ชี้ถีงเรื่องนี้ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ผ่านมา โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “นอกจากที่สหรัฐได้สร้างกลุ่มไอซิสขึ้นมาแล้ว ยังให้การสนับสนุนและให้การฝึกอบรมวิธีการอันป่าเถื่อนเหมือนกับที่เกิดขึ้นในแบล็กวอเตอร์ Black water แต่รัฐบาลสหรัฐฯด้วยกับความไร้ซึ่งความปราณีและใจหิน หยาบกระด้าง ในการโฆษณาชวนเชื่อโดยอ้างถึงการสนับสนุนต่อสิทธิมนุษยชนและผู้ถูกกดขี่และสิทธิของสัตว์ทั้งหลายที่จะต้องรักษาสิทธิของมัน ก็จะถูกเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การสนับสนุนให้มีการกดขี่ต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์กว่า 70 ปี และเช่นกัน การสนับสนุนให้มีการการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ประชาชนชาวเยเมน และการกดขี่ข่มเหงต่อพวกเขา คือ ตัวอย่างที่เด่นชัดในการกดขี่ของสหรัฐฯ โดยท่านยังกล่าวเสริมว่า “อาคารบ้านเรือนของชาวเยเมนและการสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันโดยกองกำลังพันธมิตรสหรัฐจากการทิ้งระเบิดด้วยกับอาวุธของอเมริกา ทว่ารัฐบาลสหรัฐฯก็ไม่ได้สนใจใยดีอะไรในเรื่องนี้เลย แต่กลับกล่าวหาโดยอ้างอย่างไม่มีเหตุผลว่าอิหร่านนั้นเป็นผู้ส่งขีปนาวุธให้กับเยเมน”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “ขณะที่ประชาชนชาวเยเมนถูกปิดล้อมในทุกด้าน เป็นไปได้อย่างไรหรือที่จะมีการส่งมอบขีปนาวุธให้?”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตามหลักการคำสอนของอิสลาม จำเป็นที่จะต้องต่อสู้กับผู้กดขี่และให้การช่วยเหลือกับผู้ที่ถูกกดขี่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงตัวอย่างของการยืนหยัดของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในสถานการณ์ต่างๆในภูมิภาค โดยกล่าวว่า “ในเหตุการณ์การยืนหยัดต้านทาน (มุกอวิมัต) ในภูมิภาคเอเชียตะวันตก พวกอเมริกาตัดสินใจที่จะกำจัดกลุ่มมุกอวิมัต แต่ทว่าเราก็ได้ยืนหยัดและเรายังกล่าวอีกว่า จะไม่อนุญาตอย่างเด็ดขาด และในวันนี้เราก็ได้พิสูจน์ให้โลกได้เห็นแล้วว่า พวกอเมริกาต้องการแต่ก็ไม่มีความสามารถ ขณะที่เราก็ต้องการแต่เรามีความสามารถ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวต่อถึงประเด็นสำคัญหนึ่ง หมายถึง ประเด็นของประชาชน โดยถือว่า ความพิเศษอันยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติอิสลาม ก็คือ การเข้าร่วมของประชาชนและการดำรงไว้ซึ่งศาสนาในการปฏิวัติ โดยท่านกล่าวว่า “ในการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเป็นการปฏิวัติโดยประชาชน และประชาชนเชื่อว่า จำเป็นที่จะต้องมีการปกป้องอิสลามในทุกๆสภาวะ เช่น ในการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ และการเป็นชะฮีดของบุตรหลานของพวกเขา ซึ่งก็จะต้องขอขอบคุณต่อพวกเขาอีกด้วยเช่นกัน เพราะว่าการป้องกันและการพลีชีพนี้ คือแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าที่มาได้รับมาจากท่านอิมามฮูเซน (อ)
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงการใส่ใจต่อประชาชนเป็นอันดับแรกในการดำเนินการ โดยกล่าวว่า “ชื่อของประชาชนได้ถูกนำมากล่าวถึงหลายครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งการกล่าวชื่อประชาชนและการพึ่งพาพวกเขาในคำพูดของบรรดาเจ้าหน้าที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็จะต้องรู้จักถึงประชาชนและเราก็จะต้องมีความรู้จักต่อพวกเขา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงการดำเนินการของนักคิดในยุคเผด็จการโดยมีการกล่าวอ้างถึงประชาชนด้วยเช่นกัน โดยท่านกล่าวว่า” ระบอบเผด็จการที่ตรงกันข้ามกับเหล่านักคิดก็ที่ไม่ถือว่าพวกเขานั้นมีความสำคัญต่อระบอบนี้ เพราะว่า พวกเขาไม่เข้าใจคำพูดของประชาชนและประชาชนก็ไม่เข้าใจในคำพูดของพวกเขา แต่เมื่อท่านอิมามโคมัยนี ผู้ทรงเกียรติได้เข้ามาสู่ภาคสนามในการต่อสู้ โดยท่านนั้นเข้าใจประชาชนและประชาชนก็เข้าใจต่อท่าน ท่านจึงต้องเข้ามาสู่ภาคสนาม”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกครั้งถึงการรู้จักประชาชน โดยกล่าวเสริมว่า “ประชาชนคือผู้ใดกันหรือ? ประชาชนคือผู้ที่สร้างวีรกรรมในวันที่ 22 เดือนบะฮ์มัน ในทุกๆปี ประชาชนคือผู้ที่หลังจากการเข้ามาของพวกก่อความวุ่นวาย แม้นว่าจะไม่ยอมรับกับพวกเขาก็ตาม จึงได้ออกห่างและไม่ขอยุ่งเกี่ยวในทันที และพวกเขาคือผู้คนที่ในวันที่ 9 เดือนเดย์ได้ออกมา พวกเขาคือประชาชนพวกนี้ พวกท่านอย่าได้ทำผิดพลาดต่อพวกเขาและจะต้องรู้จักถึงพวกเขา และจะต้องรับใช้ต่อประชาชนด้วยกับความบริสุทธิ์ใจและการแสวงหาความพึงพอใจจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่า พระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำให้เรานั้นได้เป็นผู้ที่รับใช้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง”
ท่านผู้นำยังเน้นว่า คำพูดของประชาชน คือ การฟ้องร้องในการมีอยู่ของสิ่งที่ชั่วร้ายและการแบ่งชนชั้น ในขณะที่ประชาชนได้อดทนต่อปัญหาต่างๆอย่างมากมาย แต่ก็มีการฟ้องร้องในเรื่องความชั่วร้ายและการแบ่งชนชั้น ซึ่งพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะอดทนต่อไปอีกได้ ฉะนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งสามสภาจึงจำเป็นที่จะต้องมีการต่อสู้ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำได้กล่าวถึงกองกำลังทุกเหล่าทัพว่า อันดับแรกคือการขัดเกลาตนเองและจะต้องสร้างกองกำลังที่มีความศัรทธา ความกล้าหาญ การเสียสละ การเป็นนักบริหาร มีการยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับศัตรู แต่จะไม่มีความหยิ่งทรนงกับเหล่ามิตรสหาย”
ท่านผู้บัญชาสูงสุดการกองกำลังทุกเหล่าทัพ ยังชี้ถึงบทบาทของกองทัพอากาศในการต่อสู้อย่างพอเพียงและการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยกล่าวเสริมว่า บางประเทศมีเพียงทุนทรัพย์และเงินตราเท่านั้น แต่ก็ไม่มีศาสนา จริยธรรม สติปัญญา ความสามารถและความเชี่ยวชาญ ขณะที่พวกท่านนั้นเป็นเยาวชนที่มีความสามารถทางความคิดและการผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีขีดสามารถในผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และการบริหารในกองทัพอากาศ ซึ่งพวกท่านจะต้องรู้ไว้ถิดว่า ชัยชนะนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกท่าน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึง ในทุกๆสถานการณ์ในหลายปีที่ผ่านมา ด้วยกับเตาฟีก(ความโปรดปราน)ของพระเจ้าที่ทำให้กองกำลังในการปฏิวัติอิสลามได้รับชัยชนะ และในอนาคตก็เช่นเดียวกัน ด้วยกับความมืดบอดของศัตรู จะทำให้ชัยชนะนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกท่านและประชาชาติอิหร่าน
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม นายพล ชาฮ์ซะฟี ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ถือว่า การจัดตั้งการหน่วยต่อสู้อย่างพอเพียงในกองทัพอากาศ คือ วิธีการและยุทธศาสตร์ที่สำคัญของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในปี 1358 และเขายังกล่าวรายงานถึงขีดความสามารถของกองทัพอากาศในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์และศักยภาพในการป้องกันประเทศและการต่อสู้กับศัตรู โดยกล่าวว่า “กองทัพอากาศ ได้ให้การช่วยเหลือกับประชาชนผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในจังหวัดเคอร์มานชาห์และการช่วยเหลือกับบรรดามุสลิมที่ถูกกดขี่และการยืนหยัดต่อต้านโดยมีการเข้าร่วมอย่างจริงจัง และเราได้ตรียมพร้อมในการให้สัตยาบันจากความเป็นทหารโดยการกำจัดรัฐเถื่อนไซออนิสต์และกลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีย์ในภูมิภาคนี้ให้หมดสิ้นไป”