เมื่อวันพุธที่ผ่านมา บรรดาเจ้าหน้าที่และสมาชิกของสภาองค์การความร่วมมือในการเผยแพร่อิสลาม เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำได้ชี้และวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อความพยายามอย่างไม่หยุดนิ่งของสหรัฐฯในการสร้างความคลุมเครือให้กับประชาชาติอิสลามและยังได้ยึดเอาความหวังและความเชื่อมั่นต่อตนเองจากประชาชาติไป โดยการร่วมมือกับบางคนที่เดินตามเป้าหมายของศัตรูซึ่งจะกระทำอย่างจงใจหรือไม่ก็ตาม และท่านยังเน้นถึง การวิเคราะห์และการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่าศัตรูในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา ในการทำให้สาธารณรัฐอิสลามต้องพบกับความปราชัยและความอ่อนแอ โดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ด้วยความเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า การยึดถือตนเองและการยืนหยัดของประชาชน เราจะทำให้แผนการณ์ต่างๆของศัตรูต้องลงไปลากถูกับพื้นดิน อีกทั้งความพยายามอย่างทวีคูณของบรรดาเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ รวมทั้งปัญหาในการดำรงชีพและเศรษฐกิจของประชาชน ที่จะต้องมีดำเนินการอย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาและความภาคภูมิใจอย่างเต็มที่”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวโรกาสครบรอบวันแห่งการถือกำเนิดของอิมามฮะซัน อัสกะรี (อ) และการเทิดเกียรติต่อวีรกรรมของประชาชนในวันที่ 9 เดือนเดย์ ปีที่ 1388 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยท่านถือว่า การเผยแพร่นั้นเป็นหน้าที่สำคัญของสภาองค์การความร่วมมือในการเผยแพร่อิสลาม และท่านยังชี้ถึงที่มาจากอัลกุรอานของการเผยแพร่ โดยกล่าวว่า “การเผยแพร่ในอิสลาม หมายถึง การส่งนำสารให้กับประชาชนและสาธารณชนอย่างถูกต้องพร้อมด้วยความเหมาะสมและมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจให้กับพวกเขา จนกระทั่งพวกเขานั้น รู้สึกรับผิดชอบในหน้าที่และมีการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่สูงส่ง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “การเผยแพร่ในอิสลามนั้น ตรงกันข้ามกับการโฆษณาชวนเชื่อของตะวันตกอย่างสิ้นเชิง โดยเป้าหมายของพวกเขาก็คือ การเข้าไปถึงเงินตราและการมีอำนาจ ซึ่งมีการหลอกลวงต่อสาธารณชนด้วยกับการโกหกและการแสดงละครตบตา”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การให้ความหวัง ความเชื่อมั่นต่อตนเองของประชาชน การรู้จักโอกาสและภัยคุกคาม อีกทั้งการรู้จักมิตรและศัตรู คือ ภารกิจที่สำคัญในการเผยแพร่ของอิสลาม โดยกล่าวว่า “สงครามจิตวิทยาในวันนี้ของศัตรูก็คือ การทำให้ประชาชาติอิหร่านหมดหวังและขาดความเชื่อมั่นต่อตนเองนั่นเอง”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังอธิบายว่า การเผยแพร่ก็เหมือนกับเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมที่เป็นเสมือนสมรภูมิรบหนึ่ง โดยกล่าวว่า “บางคนเคยกล่าวว่า พวกเขาไม่ชอบสงครามในการเผยแพร่หรือสงครามทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมเลย แต่พวกเขากลับมาพูดถึง การเจรจากันอย่างสันติวิธี ในขณะที่สงครามของศัตรูกับประชาชาติได้เกิดขึ้นในมิติต่างๆ หากว่าเราได้เพิกเฉยต่อความจริงนี้ ฝ่ายตรงกันข้ามจะมีความระมัดระวังและมีการวางแผนการณ์อย่างต่อเนื่องต่อไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ ยังเน้นว่า ทว่าในวันนี้ ไม่มีสงครามทางการทหารเกิดขึ้น เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องการทำสงครามทางทหาร และพวกเขาจะพบกับความผิดพลาด หากว่าคิดจะทำสงครามทางทหารกับเรา
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า สงครามทางจิตวิทยานั้นอันตรายยิ่งกว่าสงครามทางทหาร และยังได้อธิบายถึงเหตุผลหลักของศัตรูที่มีต่อรัฐอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “ในตลอดระยะเวลาสี่สิบปี การปฏิวัติอิสลามได้ทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอันผิดพลาดของระบอบการปกครองของโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประชาชาติหนึ่งสามารถที่จะเป็นผู้ปกครองได้ มิใช่ยอมรับในการปกครองของผู้อื่น และไม่ยอมรับต่อการกดขี่และการตกอยู่ภายใต้การกดขี่ใด”
ท่านผู้นำสูงสุด ยังกล่าวถึง แผนการสมคบคิดและการบีบบังคับ ไม่ว่าจะเกิดจากสงครามหรือการคว่ำบาตร การข่มขู่และการกล่าวหา การแทรกซึม อีกทั้ง การสร้างความแตกแยกในประเทศ ในการเผชิญหน้ากับประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวว่า “ประชาชาติอิหร่านได้ยืนหยัดอย่างมีอำนาจในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมา และยังสามารถพิชิตเหนือแผนการณ์ร้ายต่างๆของเหล่าศัตรู และยังได้ก้าวผ่านอุปสรรคอันมากมายถึงแม้แต่ประชาชาติอื่นๆก็ไม่อาจจะก้าวผ่านจุดนั้นไปได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงชะตากรรมของการตื่นตัวในโลกอิสลามที่ได้เกิดขึ้นในบางประเทศกลุ่มชาติอาหรับและทางตอนเหนือของแอฟริกา ที่เป็นเหตุให้เกิดสงครามในประเทศและการแตกแยกทางนิกายและเผ่าพันธุ์ โดยกล่าวว่า “ขณะที่ประชาชาติอิหร่านได้ก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านั้นมาอย่างภาคภูมิใจ และเมื่อได้เปรียบเทียบระหว่างสาธารณรัฐอิสลามกับวิกฤตการตื่นตัวในโลกอิสลามที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ต้องถือว่าเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับเราได้เป็นอย่างดี”
ท่านผู้นำ ยังเน้นอีกถึงความต่อเนื่องของเหล่าศัตรูกับประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญในทุกๆช่วงสมัย เราจะต้องเข้าใจในแผนการณ์และบทบาทของศัตรูในด้านต่างๆ ซึ่งเราจะต้องมีการป้องกันและจู่โจมก่อนที่จะถูกโจมตียังเรา”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า แผนการที่สำคัญที่สุดของเหล่าศัตรูในการเผชิญหน้าก็คือ การทำให้ประชาชนหมดหวังจากอนาคตและการไม่มีความเชื่อมั่นต่อตนเองในการแก้ไขปัญหาอันใหญ่โดยทำให้ปัญหานั้นเป็นเรื่องเล็กและมีความอ่อนแอ โดยกล่าวเสริมว่า “ในวันนี้ โลกไซเบอร์ได้มีการเตรียมที่จะกระหน่ำยิงกระสุนมายังอิหร่าน ซึ่งเราจะต้องระมัดระวังสื่อทางโซเชียลมีเดีย และต้องไม่ให้ศัตรูใช้อิหร่านเป็นเป้าหมายให้ได้”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเผยแพร่สถิติที่ผิดพลาด การกล่าวหาที่หลอกลวง การทำลายบุคคลที่ประชาชนยอมรับ และการปฏิเสธความสำเร็จของการปฏิวัติอิสลาม คือ ส่วนหนึ่งของการดำเนินการทางสังคมในโลกไซเบอร์ เพื่อทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อเยาวชนและยุวชนโดยกล่าวว่า “เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่ผู้ซึ่งไร้ความยำเกรงได้กล่าวหาบุคคลและหน่วยงานต่างๆ ทั้งความพยายามเพื่อสร้างความถูกต้องในการโกหกหลอกลวงของต่างชาติ ซึ่งภารกิจนี้ คือภารกิจของเหล่าศัตรู”
ท่านผู้นำสูงสุด ยังกล่าวเสริมว่า “บุคคลเหล่านี้ ควรที่จะทำให้การเมืองของเขานั้นมีความเคร่งครัดต่อศาสนา เขาได้ทำให้ศาสนาของเขาเป็นเครื่องมือของการเมือง เพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายที่เลวร้าย”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า “บุคคลเหล่านี้ ไม่ได้สนใจในพระเจ้า ศาสนาและความยุติธรรม พวกเขากลับพูดตามเป้าหมายของศัตรู ซึ่งพวกเขาทำให้ศัตรูรู้สึกดีใจด้วยการทำให้ประชาชนและเยาวชนทั้งหลายต้องหมดหวังลง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า” บุคคลที่เมื่อวานนี้พวกเขาได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมายและในวันนี้ พวกเขาผู้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ในการครอบครอง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงตัวเป็นฝ่ายค้านและต่อต้านประเทศ แต่พวกเขาจะต้องเป็นผู้ให้คำตอบกับประชาชน ซึ่งประชาชนได้รับรู้แล้ว และในการกระทำของพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงการบริการที่สำคัญของบรรดาผู้บริหารของสาธารณรัฐอิสลาม ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขณะนี้ โดยกล่าวว่า “แน่นอนยิ่ง ในการบริหารเหล่านี้ย่อมมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ต้องขอบคุณต่อการบริหารที่ดี และการวิจารณ์อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อข้อผิดพลาดจะต้องมิใช่การวิจารณ์ด้วยการใส่ร้ายป้ายสีและการดูถูกเหยียดหยาม เพราะว่า เขาจะต้องยอมรับในการถูกวิจารณ์ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น แต่การดูถูกเหยียดหยาม ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บุคคลใดที่ได้กล่าวหามาครั้งแล้วครั้งเล่าและยังได้โจมตีต่อหน่วยงานต่างๆ กระทำเช่นนี้มิใช่เป็นศิลปะ เพราะว่า เด็กๆทุกคนก็สามารถที่จะหยิบก้อนหินมาปาใส่กระจกจนแตกหักได้ แต่ศิลปะก็คือ มนุษย์ที่เขานั้นมีพระเจ้าอยู่ในจิตใจของเขาและพูดตรงตามสติปัญญาและตรรกะ อีกทั้งยังต้องออกห่างจากการพูดตามอำเภอใจและผลประโยชน์ส่วนตัวและการเข้ามามีอำนาจของตนเอง เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า คือผู้ที่จะตอบแทนในทุกๆถ้อยคำที่ได้มีการกล่าวเอ่ยออกไป”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึง ความแตกต่างระหว่างการเป็นแสดงตัวเป็นนักปฏิวัติและการเป็นนักปฏิวัติที่แท้จริงโดยกล่าวว่า “การเป็นนักปฏิวัติที่แท้จริงนั้น ถือว่าเป็นภารกิจที่ยากเป็นอย่างมาก เพราะว่าจะต้องมีการยืนหยัดและมีการเคร่งครัดในศาสนา มิใช่ว่า มนุษย์ผู้ที่เขารับผิดชอบต่อประเทศทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่งและเวลาต่อมาเขาจะกลายเป็นผู้ต่อต้านประเทศไป”
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ยังเน้นอีกว่า วันที่เก้า เดือนเดย์ ถือว่าเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ เป็นวันที่ให้คำตอบของประชาชาติต่อการแสดงเช่นนี้และการปกป้องคุณค่าของการปฏิวัติอิสลาม แต่ในวันนี้ยังมีการพูดถึงการรักษาคุณค่าของมันอีกด้วย
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลลาม กล่าวว่า “ในเวลานั้น เราได้ยืนหยัดและปกป้องในการเลือกตั้งและเราได้ประกาศเช่นกันด้วยกับสถานการณ์ที่บีบบังคับว่า เราจะไม่ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะอย่างเด็ดขาด”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงถ้อยคำที่เต็มเปี่ยมด้วยวิทยปัญญาของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฎ) ซึ่งตั้งบนพื้นฐานของ อัตราเปรียบเทียบในปัจจุบันก็คือปัจเจกบุคคล โดยกล่าวว่า “เราทั้งหมดทุกคน จำต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะว่าไม่มีผู้ใดยืนยันถึงความถูกต้องของเราได้ ตราบจนถึงวินาทีสุดท้ายแห่งความตาย”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่อไปถึงหน้าที่ๆสำคัญของหน่วยงานในการเผยแพร่และสื่อมวลชนในการตอบจากข้อสงสัยที่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายศัตรู โดยกล่าวเสริมว่า “อย่าทำให้เยาวชนรู้สึกถึงความงุนงนและกังวล ซึ่ง จะต้องมีการขจัดความคลุมเครือต่างๆให้ออกไปจากพวกเขาอย่างเด็ดขาด”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การแสดงออกอย่างใหญ่หลวงของสื่อต่างๆจากศัตรู เช่น การให้คำสัญญาในการทำลายสาธารณรัฐอิสสลาม ซึ่งพวกเขาต้องพบกับการสูญเปล่าและยังเป็นการโกหกหลอกลวง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในวันแรกของการปฏิวัติอิสลาม พวกเขากล่าวว่า รัฐอิสลามจะมีอายุอยู่ไม่ถึง 6 เดือน และหลังจากที่ผ่านพ้น 6 เดือน พวกเขาก็บอกว่า อีก 2 ปี และหลังจากนั้นพวกเขาก็พูดจาเช่นนี้ซ้ำซาก แต่ทว่าหลังจากที่ผ่านไป 40 ปี สาธารณรัฐอิสลามก็ยังคงดำเนินตามวิถีชีวิตที่สวยงามต่อไปอย่างต่อเนื่อง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า ทุกคนพึงรู้ไว้เถิดว่า ในช่วงเวลานี้ สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรคือผู้ก่ออาชญากรรม ซึ่งเราจะทำให้พวกเขาติดกับดักของตนเองที่ได้วางไว้อย่างแน่นอน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ระบอบเผด็จการสหรัฐ คือระบอบการปกครองที่เลวร้ายและกดขี่ฉ้อฉลมากที่สุดในโลก โดยท่านกล่าวเสริมว่า “การสนับสนุนต่อกลุ่มก่อการร้ายไอซิสและกลุ่มตักฟีรีย์ต่างๆ การร่วมมือกับเหล่าผู้ปกครองจอมเผด็จการที่ฉ้อฉลเยี่ยงราชวงศ์อาลิซาอูด และการสนับสนุนต่อรัฐเถื่อนอิสราเอลในการก่ออาชญากรรม และอาชญากรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในทุกๆวันในเยเมนที่มีต่อประชาชนชาวเยเมน คือ หนึ่งในตัวอย่างอันเป็นอัตลักษณ์แห่งความชั่วช้าของระบอบสหรัฐฯนี้”
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึง การเหยียดสีผิวของสหรัฐและระบบการพิพากษาของประเทศนี้ โดยกล่าวว่า “ในขณะที่พวกเขายังมีปัญหาต่างๆทางระบบในการพิพากษา แต่ยังกลับมากล่าวหาระบบการพิพากษาที่เคร่งครัดต่อศาสนาของอิหร่าน”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ทว่า ในระบบการพิพากษาของเราก็ยังมีข้อบกพร่อง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ละเลยต่อปัญหาของระบบตุลาการ ศาลสูงสุดและการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งจะต้องนำเอาทั้งจุดบวกและจุดลบมารวมกันโดยอย่าได้มองเพียงจุดเดียวเท่านั้น”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นว่า การที่สหรัฐได้ทุ่มงบอย่างมหาศาลในการวางแผนการณ์เพื่อสร้างความร้าวฉานทางการเมือง นิกาย เผ่าพันธุ์และภาษา ในอิหร่าน ถือว่าไร้ประโยชน์และต้องพบกับความพ่ายแพ้ โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ด้วยอานุภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า ประชาชาติอิหร่านและรัฐอิสลามจะทำให้ทุกมิติของสหรัฐในการแทรกซึมต้องพบกับความล้มเหลวอย่างแน่นอน”
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เปรียบเทียบในช่วงสมัยการเป็นประธานาธิบดีเรแกนกับประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่า “เรแกนถือว่าเป็นนักแสดงที่ดีกว่าคนนี้ มีความแข็งแกร่งกว่า มีสติปัญญามากกว่า ได้ปฏิบัติการณ์เพื่อต่อต้านประชาชนอิหร่าน โดยการดักยิงเครื่องบินของเรา ซึ่งปัจจุบัน เขากำลังได้รับการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งสาธารณรัฐอิสลามจะมีการพัฒนาและมีอำนาจอย่างต่อเนื่อง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า สมัยของประธานาธิบดีคนปัจจุบันก็ยังมีความหวังที่จะทำลายเรา และเป็นความหวังในหัวใจที่ทำลายเราและอิสลามลง แต่ทว่า เราจะทำให้พวกเขาพบกับความสิ้นหวัง
ท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า “ เจ้าหน้าที่บางคนของสหรัฐฯ กับการกระทำที่นุ่มนวลโดยผิวเผิน และการปกปิดด้วยการสวมใส่ถุงมือหลากสี สามารถที่จะทำให้บางคนของพวกเรากลับรู้สึกดีได้ แต่ในไม่ช้านัก พวกเขาก็จะต้องถูกตรวจสอบ และในวันนี้ เจตนาที่แท้จริงของอเมริกาในการเผชิญหน้ากับอิสลามและรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้ว”
ในช่วงท้ายของการปราศรัย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วิธีการในการรอดพ้นจากการเป็นตกเป็นเครื่องมือของเหล่าศัตรูก็คือ การเสริมสร้างเศรษฐกิจในประเทศโดยยึดถือตามแนวทางเศรษฐกิจต้านทาน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในเศรษฐกิจต้านทานจะต้องมีความจริงจัง ซึ่งไม่เพียงพอเพียงคำพูดเท่านั้น และพึงสนใจว่า เศรษฐกิจต้านทานด้วยการนำเข้าสินค้าที่ไม่ตรงตามความต้องการและความอ่อนแอนั้นมันขัดแย้งกับการผลิตในประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุด ยังเน้นอีกว่า การซื้อสินค้าที่มีความต้องการในการผลิตในประเทศ จะทำให้ประชาชนกลับมาสนใจที่จะซื้อผลผลิตในประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า “สิ่งเหล่านี้จะทำลายกลหลวงศัตรู แต่จำต้องใช้เวลาอย่างมาก ซึ่งอาจจะเป็น 6 หรือ1ปี ก็จะยังไม่ได้รับคำตอบ แต่นี่คือ วิธีการรอดพ้นที่แท้จริง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การมีความฉลาดหลักแหลมในการเผชิญหน้ากับวิธีการต่างๆของศัตรู เช่น การแทรกซึมในหน่วยงานหลักของรัฐบาล คือ สิ่งที่จำเป็น โดยกล่าวว่า “จะต้องรู้จักแผนการณ์ของศัตรู และการประจบสอพลอ การแสดงความรักแบบหลอกๆ การเชิญชวนให้มีการเจรจากัน ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ อย่าคิดว่าพวกเขานั้นมีความจริงจังกับเรา”
คำพูดสุดท้ายของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ก็คือ “ หากว่าเรามีความระมัดระวังต่อสิ่งเหล่านี้ แน่นอนยิ่ง สาธารณรัฐอิสลามจะมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้า และปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ การดำรงชีพและเศรษฐกิจของประชาชนที่ข้าพเจ้าได้รับข้อมูลมานั้น ด้วยกับความพยายามและอุตสาหะของเจ้าหน้าที่จะทำให้ปัญหาเหล่านั้นถูกขจัดออกไปและพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้แก้ไขปมนี้อย่างแน่นอน”
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ ญันนะตี ประธานสภาองค์การความร่วมมือในการเผยแพร่อิสลาม ได้กล่าวรายงานและชี้ถึงหน้าที่ของสภานี้ในการจัดพิธีกรรมต่างๆ โดยกล่าวว่า “สภาองค์การความร่วมมือในการเผยแพร่อิสลามนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของประชาชนทุกคน ที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใดทั้งทางการเมือง อีกทั้งในทุกแผนงานและสโลแกนคำขวัญ อีกทั้งคำแถลงการณ์ต่างๆต้องปฏิบัติตามแนวทางในการปฏิวัติอิสลามของประชาชนอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ ญันนะตี ถือว่า วีรกรรมวันที่ 9 เดย์ เป็นวันแห่งพระเจ้าและเป็นปฏิหาริย์ของพระองค์ โดยกล่าวว่า “ประชาชนนักปฏิวัติของอิหร่านในเข้าร่วมสู่ภาคสนามมากว่า 40 ปี แล้ว” และกล่าวเสริมอีกว่า “เราจะมีการจัดงานรำลึกครบรอบปีที่สิบแห่งชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามที่จะใช้ประโยชน์จากศักยภาพของกองกำลังในการปฏิวัติทั้งหมดอย่างภาคภูมิใจ”