สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ในทุกสถานการณ์ที่จำเป็นต่อเราในการเผชิญหน้ากับชาติมหาอำนาจเราจะเข้าไปช่วยเหลือในทันที

บรรดาแขกผู้เข้าร่วมในการประชุมเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ

เมื่อช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา บรรดาแขกผู้ที่เข้าร่วมในการจัดประชุม”ผู้ที่รักต่ออะฮ์ลุลบัยต์และปัญหาตักฟีรีย์”เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี โดยท่านผู้นำถือว่า เอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชาติอิสลามในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ คือ สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด และท่านผู้นำยังกล่าวว่า “สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับแผนการณ์สมรู้ร่วมคิดของฝ่ายชาติมหาอำนาจและไซออนิสต์เพื่อที่จะสร้างความแตกแยกและสงครามระหว่างบรรดามุสลิมด้วยกัน และเราจะยังคงยืนหยัดต่อไปด้วยกับพระกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเราจะได้รับชัยชนะเหมือนดั่งที่ต้นไม้ที่ชั่วร้ายได้ถูกตัดขาดและโค่นล้มในอิรักและซีเรียมาแล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอีกว่า “ถึงแม้ว่า กลุ่มก่อการร้ายไอซิสจะถึงจุดจบในอิรักและซีเรียแล้วก็ตาม แต่ทว่า เราอย่าได้เพิกเฉยต่อแผนการณ์ที่หลอกลวงของเหล่าศตรูเป็นอันขาด เพราะว่า อเมริกาและรัฐเถื่อนไซออนิสต์และพันธมิตรของมันจะไม่ยอมลดละในความปฏิบักษ์กับอิสลามอย่างแน่นอน และเป็นไปได้ว่า จะมีการวางแผนการณ์ร้ายใหม่ที่เหมือนกับกลุ่มไอซิสและกลุ่มอื่นๆที่คล้ายคลึงกันในภูมิภาคนี้อีกเช่นกัน

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า อย่าไม่ให้ความสนใจต่อศัตรู ซึ่งจำเป็นที่เราจะต้องมีการตื่นตัวและมีความฉลาดหลักแหลมเป็นอย่างยิ่ง โดยกล่าวเสริมว่า “หนึ่งในลักษณะของการตื่นตัวนี้ ก็คือ การมีความรักและการเป็นมิตรกันระหว่างประชาชาติอิสลาม และสิ่งที่จำเป็นในความรักนี้ คือ การเผชิญหน้ากับปัจจัยต่างๆที่เป็นศัตรูกับโลกอิสลามหรือให้ช่วยเหลือกับเหล่าศัตรูของอิสลาม”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์เป็นหนึ่งในโอกาสในการสร้างเอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบรรดามุสลิม โดยกล่าวว่า “หน้าที่ๆสำคัญที่สุดของบรรดาผู้ที่มีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์(อ) ในประเทศต่างๆก็คือ การให้ความเข้าใจต่อชาวมุสลิมทั้งหลายเกี่ยวกับความเป็นจริงของโลกอิสลามและการเกิดขึ้นในการตื่นตัวและความฉลาดหลักแหลมในการเผชิญหน้ากับแผนการสมรู้ร่วมคิดของเหล่าศัตรูเพื่อที่จะสร้างความแตกแยกในโลกอิสลาม

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บรรดามุสลิมในประเทศต่างๆนั้นคือ ความเป็นจริงหนึ่งที่จะต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายมหาอำนาจและฝ่ายผู้ปฏิเสธ โดยท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า “โลกอิสลามในวันนี้ สามารถที่จะยืนหยัดต่อการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจและผู้ปฏิเสธได้ ในขณะที่รัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้นต้องการที่จะทำให้ชะรีอัต(กฏหมายบัญญัติ)ของอิสลามเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสื่อที่จะทำให้มีชัยชนะเหนือเหล่าศัตรูได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงแผนการณ์ร้าย การบีบบังคับและการคว่ำบาตรในช่วงตลอดเวลาเกือบสี่สิบปีมาแล้วที่ได้เกิดขึ้นจากฝ่ายอเมริกาและรัฐเถื่อนไซออนิสต์ในการต่อต้านรัฐอิสลาม โดยกล่าวว่า “ด้วยกับการบีบบังคับในทุกๆด้าน แต่ทว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านก็ด้วยกับความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าได้มีความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย และยังมีความสามารถและพลังในการเผชิญหน้ากับฝ่ายมหาอำนาจอีก และเราขอประกาศอย่างชัดเจนว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจะเข้าร่วมในการเผชิญหน้ากับฝ่ายผู้ปฏิเสธและมหาอำนาจและช่วยเหลือต่อผู้กดขี่ทั้งหมดทั่วโลก อีกทั้งในประเด็นนี้จะไม่มีความเกรงใจผู้ใดอีกต่อไป”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า ประเด็นปาเลสไตน์เป็นปัญหาแรกของโลกอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า กุญแจแห่งชัยชนะเหนือเหล่าศัตรูของอิสลาม ก็คือ ประเด็นปาเลสไตน์ เพราะว่าฝ่ายศัตรูชาติมหาอำนาจและผู้ปฏิเสธ รัฐเถื่อนไซออนิสต์ด้วยกับการยึดครองประเทศอิสลามของปาเลสไตน์ และได้เปลี่ยนแปลงให้เป็นฐานในการเกิดช่องว่างทางความมั่นคงของประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้ และเราจะต้องกำจัดกับก้อนเนื้อร้ายของมะเร็งอิสราเอลนี้อย่างแน่นอน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เป้าหมายหลักของเหล่าศัตรูจากการสร้างความแตกแยกในหมู่ชาวมุสลิม คือ การสร้างความมั่นคงให้กับรัฐเถื่อนไซออนิสต์ โดยกล่าวว่า “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า วันหนึ่งจะมาถึงซึ่งเป็นวันที่ชาวปาเลสไตน์ได้เป็นเจ้าของแผ่นดินของพวกเขาและเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองของโลกอิสลามอย่างแท้จริง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกว่า ในวันที่ปาเลสไตน์จะกลับสู่อ้อมแขนของชาวปาเลสไตน์ จะเป็นวันที่การทุบตีสันหลังของมหาอำนาจเกิดขึ้นอย่างแท้จริงและเราจะพยายามเพื่อที่จะให้ถึงในวันนั้น

ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ดร.วิลายะตี เลขาธิการสมาพันธ์การตื่นตัวโลกอิสลาม ถือว่า สโลแกนของการจัดประชุมนานาชาติ ภายใต้หัวข้อ “ผู้ที่มีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์และปัญหาตักฟีรีย์” (การกล่าวหาผู้อื่นว่า เป็นผู้ปฏิเสธ) คือ การมีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์เป็นความหวังในเอกภาพและการฟื้นฟูอารยธรรมอิสลาม โดยกล่าวว่า “เหล่าศัตรูอิสลาม ในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดต้องการที่จะทำลายผลลัพท์ของการตื่นตัวในโลกอิสลาม ด้วยกับการใช้กลยุทธ์ทั้งสองก็คือ การสร้างความแตกแยกระหว่างนิกายและความหวาดกลัวต่ออิสลาม”

ในช่วงท้ายของการเข้าพบปะ บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนได้พูดคุยกับท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามอย่างใกล้ชิด

 

700 /