สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

เยาวชนและชนชั้นนำทางความคิดแห่งชาติหลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ

เมื่อใดก็ตามที่ข้อตกลงฉบับนี้ถูกฉีก เราก็จะฉีกมันให้เป็นชิ้นๆ

เมื่อช่วงเช้าของวันพุธที่ผ่านมา บรรดาเยาวชนและชนชั้นนำทางความคิดหลายร้อยคน เข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  ท่านผู้นำถือว่า พวกเขาคือความหวังแห่งชาติเพื่ออนาคตของอิหร่าน และท่านยังชี้ถึงความจำเป็นในการระมัดระวังต่อแผนการหลอกลวงจากซาตานตัวใหญ่ ที่มีต่อประชาชน เจ้าหน้าที่ นักการเมืองและบรรดาสื่อมวลชน โดยท่านยังเน้นถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในกรณีของข้อตกลงนิวเคลียร์

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การพึ่งพาทางการเมือง คือสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างมากและเป็นเหตุให้ประชาชาติต้องพบกับความตกต่ำและท่านยังชี้ถึงการตัดความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ของอิหร่านกับอเมริกาโดยกล่าวว่า “ศัตรูนั้นมีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศอิหร่านให้เป็นประเทศที่ล้าหลังและต้องพึ่งพาผู้อื่น ในขณะที่พวกเขากังวลและไม่พอใจต่อการพัฒนาก้าวหน้า ทางการเมือง การป้องกัน และวิทยาการความรู้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อเมริกาเป็นศัตรูต่อประชาชาติอิหร่านมาตั้งแต่ช่วงแรกของชัยชนะในการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า  “ในเวลานั้น ไม่มีการพูดคุยกันในประเด็นพลังงานนิวเคลียร์และขีปนาวุธหรือการแทรกแซงในภูมิภาค แต่ทว่าอเมริกานั้นเข้าใจดีว่า ด้วยชัยชนะในการปฏิวัติอิสลามได้ทำให้อิหร่านเป็นประเทศที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด” 

 ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้อีกว่า “เราไม่ต้องการจะทำลายเวลาที่มีประโยชน์ของบรรดาเยาวชนและชนชั้นนำทางความคิด เพื่อการตอบคำถามของประธานาธิบดีอเมริกา”  และท่านยังกล่าวเสริมว่า “ สิ่งที่ต้องพึงสนใจก็คือ ความจำเป็นในการรู้จักศัตรู หากประชาชาติใดก็ตามที่ไม่รู้จักศัตรู และเอามาเป็นมิตรหรือไม่เลือกข้าง แน่นอนที่สุด เขาก็จะพบกับอันตรายจากการข่มขู่และภัยคุกคามจากศัตรู”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ท่านอะมีรุลมุมินีนได้กล่าวไว้ในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่หลับนอนจนกว่าจะเข้าใจได้ว่า รอบๆข้างของข้าพเจ้านั้นเกิดอะไรขึ้น”  ฉะนั้นประชาชนและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของอิหร่านก็จะต้องไม่หลับนอนและเพิกเฉย  เพราะว่าศัตรูจะฉวยโอกาสในการโจมตีเราได้อย่างแน่นอน

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงคำตอบที่ดีและเหมาะสมของเจ้าหน้าที่รัฐฯต่อความบ้าระห่ำของประธานาธิบดีอเมริกาและคณะของเขา ที่ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของอิหร่านและภูมิภาคจนเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมทางปัญญา และท่านยังกล่าวเสริมว่า  “พวกเขาต้องการให้อิหร่านที่เป็นเยาวชนคนหนุ่มสาวและนักปฏิวัติส่วนมากซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าอยู่นั้น ต้องถอยหลังออกไปอีก 50 ปี   แต่ทว่า การกระทำเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ โดยที่พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้าใจในบริบทที่แท้จริงต่อประเด็นดังกล่าวได้ เนื่องจากความล้าหลังของพวกเขาเอง ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พวกเขาเกิดความผิดพลาดในการคิดคำนวณและได้รับความล้มเหลวต่อประชาชาติอิหร่านอีกด้วย”

ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อเมริกาจอมเผด็จการที่ชั่วร้ายที่ท่านอิมามโคมัยนีเรียกว่า ซาตานตัวใหญ่และซาตานที่ยิ่งใหญ่ โดยกล่าวเสริมว่า ระบอบการปกครองของอเมริกาเป็นระบอบของเครือข่ายที่อันตรายยิ่งและความชั่วร้ายของนโยบายต่างประเทศไซออนิสต์นั้น เป็นศัตรูกับนานาประเทศซึ่งมีอิสรภาพและเสรีภาพ อิสราเอลคือชนวนเหตุที่ก่อให้เกิดสงครามทั้งในภูมิภาคและในโลกนี้ เปรียบเสมือนกับปลิงที่กำลังจะดูดเลือดเนื้อของประเทศชาติต่างๆ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงคำพูดของทรัมป์ในการต่อสู้การเลือกตั้ง โดยอ้างถึงการสร้างขบวนการไอซิสโดยสหรัฐ และกล่าวเสริมว่า “เป็นเรื่องธรรดาที่เหล่าผู้นำสหรัฐ กล่าวหากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติว่า และไอซิสว่าเป็นอันตรายต่อสหรัฐในภูมิภาคนี้ จนพวกเขา ได้ตะโกนออกมาในการปราศรัยของพวกเขาเอง” 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความล้มเหลวของแผนการร้ายของอเมริกาในภูมิภาค ทั้งในซีเรีย เลบานอนและอิรัก เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐโกรธอย่างรุนแรง และท่านยังกล่าวเสริมว่า “สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ทำลายแผนการที่เลวร้ายต่างๆของอเมริกาไปแล้ว”

หลังจากที่ท่านผู้นำสูงสุดได้อธิบายถึงสาเหตุของความโกรธกริ้ว และความสิ้นหวังของพวกอเมริกา ท่่านได้กล่าวถึงคำชี้แนะที่สำคัญทั้ง 7 ประการ ให้กับประชาชน บรรดาเจ้าหน้าที่ นักการเมือง และสื่อสารมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุด

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เน้นคำชี้แนะประการแรกว่า “ทุกคนจะต้องมีความเชื่อมั่นว่า ในครั้งนี้นั้น อเมริกากำลังจะพ่ายแพ้ต่อประชาชาตินักปฏิวัติของอิหร่าน”

คำชี้แนะประการที่สองของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ ก็คือ “ อย่าหลงลืมต่อกลลวงและเล่ห์อุบายของอเมริกา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวว่า “อย่าลืมความกักขฬะของประธานาธิบดีอเมริกา และอย่าลืมการให้ร้ายต่อเรา อย่ายอมรับความต่ำต้อย ทว่า ทุกๆคนจะต้องมีความระมัดระวังและเตรียมตัวให้พร้อมในภาคสนามนี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าการสู้รบทางทหารจะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาที่สำคัญไม่น้อยกว่าสงครามอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง เราจะต้องมีการคาดการณ์ล่วงหน้าและควรมีการระมัดระวังอีกด้วย”

ในคำชี้แนะที่สาม ท่านผู้นำสูงสุด ยังชี้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของอเมริกาต่อปัจจัยทางอำนาจของอิหร่าน โดยเน้นว่า “ในประเด็นนี้  เราจะยิ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับปัจจัยเหล่านั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า วิทยาการความรู้และศักยภาพในการป้องกัน คือ หนึ่งในปัจจัยทางอำนาจของประชาชาติอิหร่านที่สำคัญ และกล่าวเสริมว่า ศักยภาพทางขีปนาวุธ จะต้องทำให้สายตาของศัตรูนั้นมืดบอดเพิ่มขึ้นในทุกวัน

 ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า เศรษฐกิจคืออีกหนึ่งปัจจัยทางอำนาจของอิหร่านและเน้นว่า “จำเป็นที่จะต้องลดอัตราการพึ่งพาและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจภายในอย่างจริงจัง”

ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติ ยังกล่าวเตือนในประเด็นนี้ว่า “ เราได้กล่าวมาหลายครั้งต่อหลายครั้งแล้วว่า เราไม่ได้มีปัญหากับการลงทุนของต่างชาติ รวมทั้งชาติตะวันตก แต่ทว่า เศรษฐกิจของประเทศไม่ควรที่จะพึ่งพากลุ่มชนที่ยอมให้คนอย่างทรัมป์มาตะโกนใส่หน้าได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ กล่าวเสริมว่า “เศรษฐกิจของอิหร่านควรที่จะพึ่งพาโครงสร้างจากอำนาจและศักยภาพภายใน และมีการติดตามผลพร้อมดำเนินตามนโยบายเศรษฐกิจต้านทานที่ได้ประกาศใช้ออกไป

“ไม่สนใจต่อข้อเรียกร้องจากศัตรู” คือ คำชี้แนะที่สำคัญประการที่สี่ของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุด

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวว่า  “ในข้อตกลงนิวเคลียร์ ศัตรูได้เรียกร้องว่า หากมีการตกลง ความเป็นศัตรูก็จะหมดไป แต่เมื่อเราได้ยอมรับ ความเป็นศัตรูยิ่งเพิ่มมากขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นอีกว่า “ในวันนี้ อย่ามีการวิจารณ์ต่อประเด็นต่างๆเลย ว่าถ้าหากเราไม่เห็นด้วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็จะเกิดเช่นนั้นเช่นนี้ ในความเป็นจริงสิ่งนี้ คือแผนการของศัตรู ซึ่งเราจะต้องไม่สนใจต่อข้อเรียกร้อง และเราควรสนใจต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและอย่าได้ฟังเสียงศัตรู”

คำชี้แนะที่ห้าของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ก็คือ การเพิ่มความเข้มแข็งในการป้องกันโดยผ่านประสบการณ์ของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ (สงคราม 8ปี) 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวว่า  “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เตหะรานได้อยู่ใต้การทิ้งระเบิดของซัดดัมและเหล่าผู้สนับสนุนจากชาติตะวันตก จนไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ และทำให้เยาวชนของประเทศได้เริ่มต้นในการแก้ปัญหานี้จากศูนย์ และมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ จนสามารถพอที่จะยุติบทบาทศัตรูลง เมื่อเห็นถึงศักยภาพในการป้องกันของเรา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกว่า  “บัดนี้ เราจะต้องเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการป้องกันเพื่อไม่ให้เหล่าศัตรูมาย่ำยีและโจมตีเราได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ ในคำชี้แนะอีกประการหนึ่งได้กล่าวถึง ปฏิกิริยาของยุโรปในสถานการณ์ล่าสุด

โดยท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า ยุโรปเข้าใจในข้อตกลงนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นผลดีต่อพวกเขาและพวกอเมริกา พวกเขาจึงออกมาคัดค้านคำพูดของประธานาธิบดีอเมริกา ที่จะฉีกข้อตกลงนี้ ถือว่าเป็นจุดยืนที่ดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ กล่าวอีกว่า “ตราบใดที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ฉีกข้อตกลงฉบับนี้ เราก็จะยังไม่ฉีกมันเช่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้อตกลงฉบับนี้ถูกฉีกขาดแล้วก็ เราก็จะฉีดมันให้เป็นชิ้นๆ” 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกว่า “ยุโรปควรที่จะต่อต้านการกระทำของรัฐบาลสหรัฐ รวมถึงการละเมิดข้อตกลงนิวเคลียร์ เหมือนกับการคว่ำบาตรที่คาดว่าจะออกมาจากสภาคองเกรส และจะต้องปลีกตัวจากการเป็นเสียงเดียวกับพวกสหรัฐในประเด็นต่างๆ อาทิ  การมีศักยภาพของอิหร่านในการป้องกันและการเข้าร่วมของอิหร่านในภูมิภาค เพราะว่าเราไม่ยอมรับเสียงยุโรปที่เป็นเสียงเดียวกับผู้ฉ้อฉลอย่างอเมริกา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “พวกเขามีขีปนาวุธ และอาวุธนิวเคลียร์ได้ แต่ห้ามไม่ให้ประชาชาติอิหร่านมีขีปนาวุธที่มีศักยภาพ 2ถึง 3พันกิโลเมตร ประเด็นนี้หรือประเด็นอื่นของเรา ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกท่านหรือ? 

คำชี้เแนะสุดท้ายของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ ก็คือ “การให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจต้านทานและหลักการของมัน” รวมทั้ง การผลิตภายในประเทศ การห้ามนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็น การป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าและการสร้างงาน

ท่านผู้นำสูงสุด ยังกล่าวอีกว่า “ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว และจะต้องพยายามเพิ่มความพยายามให้บรรลุเป้าหมายและชดเชยความล้าหลังที่เกิดจากวาทกรรมช่วงเลือกตั้ง เพื่อที่จะทำให้เศรษฐกิจอิหร่านไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่างเดียว แต่เปลี่ยนไปสู่การผลิต”

อีกส่วนหนึ่งของการปราศรัยในการเข้าพบของเยาวชนคนหนุ่มสาว และชนชั้นนำทางความคิด ซึ่งท่านถือว่า เป็นการพบปะที่มีประโยชน์อย่างยิ่งและพวกเขาคือ ความหวังของชาติในอนาคตและเน้นถึงบรรดาชนชั้นนำทางความคิด คือ ความโปรดปรานของพระเจ้า จึงต้องสำนึกในบุญคุณอันนี้ และกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายอมรับอย่างแน่วแน่ในความเป็นอัจฉริยบุคคล และเจ้าหน้าที่ก็ต้องเชื่อว่า เรานั้นมีอัจฉริยบุคคลที่พวกเขาเหล่านั้นมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เป็นแหล่งที่มาของอำนาจในประเทศและท่านยังกล่าวว่า "ประเทศของเราแม้จะมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ได้สูญเสียไปในช่วงการปกครองของต่างชาติ ซึ่งจะต้องมีการชดเชยในความล้าหลังนี้”

ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วิธีการหลักในการหลีกเลี่ยงในวิถีการดำเนินชีวิตของตะวันตก คือการกำจัดการพึ่งพาของประเทศและท่านวยังเน้นอีกว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ คือองค์ประกอบของการไม่พึ่งพา และในแนวทางของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ควรมีอุปสรรคใดจากหน่วยงานต่างๆมาขัดขวางได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความเชื่อมั่นในศักยภาพอันพิเศษของประเทศเป็นการเตรียมพร้อมสู่ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ท่านยังแสดงความรู้สึกพึงพอใจในการดำเนินการของมูลนิธิชนชั้นนำทางความคิด และรองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์ โดยกล่าวเสริมว่า แน่นอนยิ่ง เราไม่ควรหยุดเพียงแค่นี้ในความก้าวหน้า เพราะการบรรลุเป้าหมายที่เหมาะสมยังมีช่องว่างอีกมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการปราศรัยของท่านยังได้ชี้ถึงประเด็นหลักที่สำคัญโดยกล่าวว่า “ในการพัฒนาของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการที่มุ่งเน้นเพื่อให้มีประโยชน์ต่อประเทศและกำหนดวิธีการบริหารในรัฐต่างๆ อย่าได้หยุดชะงักในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงหลายประเด็นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

“การเพิ่มคุณภาพของบริษัททางวิทยาศาสตร์ความรู้” “ความจำเป็นในการเพิ่มงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” “การบริหารจัดการทรัพยากรทางการเงินในส่วนนี้อย่างเหมาะสม” และ “ความจำเป็นในการปรับปรุงคุณภาพของบทความทางวิทยาศาสตร์” ทั้งหมดคือ ประเด็นต่างๆที่ท่านผู้นำของการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึง

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเรียกร้องให้รองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์และมูลนิธิชนชั้นนำทางความคิด ใช้ประโยชน์จากศักยภาพของหน่วยงานต่างๆให้มากยิ่งขึ้น

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอีกว่า “จะต้องมีการวางแนวคิดพื้นฐานทางอุตสาหกรรมของประเทศ เพราะว่า อุตสาหกรรมจะต้องมีนวัตกรรมใหม่ หากไม่มีนวัตกรรมก็เท่ากับว่า การขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์จะถูกยุติลง ในสถานการณ์เช่นนี้จะไม่มีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ท่านผู้นำสูงสุดยังชี้ถึงความจำเป็นในการดูแลกิจกรรมทางวัฒนธรรมของรองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์และมูลนิธิ โดยกล่าวเสริมว่า “สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าการลอบสังหารที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนบรรดานักวิชาการของเราหลายคนได้เป็นชะฮีด คือการตกเป็นทาสทางความคิดและวัฒนธรรม ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาอัจฉริยบุคคลจำต้องมีการระมัดระวังตนเองเป็นอย่างยิ่ง

ท่นผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในส่วนสุดท้ายของการปราศรัยของท่าน ถือว่า สถานการณ์ในปัจจุบันและการกำหนดทิศทางของประเทศ คือโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับบรรดาเยาวชนเพื่อที่จะเพิ่มศรัทธาของพวกเขา ความพยายามทางวิทยาศาสตร์เพื่อความก้าวหน้าและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พวกท่าน เยาวชนคนหนุ่มสาว จะมีความก้าวหน้าที่ดียิ่งขึ้นตลอดไป”

ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะ ดร.ซัตตารี รองประธานาธิบดีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และประธานมูลนิธิชนชั้นนำทางความคิดแห่งชาติ ได้ชี้ถึงความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมัน ไปสู่เศรษฐกิจจากทรัพยากรมนุษย์ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีศรัทธามั่น อีกทั้งมีความเชื่อมั่นในตนเอง โดยเขากล่าวว่า “การวางรูปแบบการศึกษาที่ประสบความสำเร็จ การเสริมสร้างศักยภาพของอัจฉริยบุคคล การดึงดูดชาวอิหร่านในต่างประเทศ และการสร้างเครือข่ายอัจฉริยบุคคล ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการดำเนินการและแนวทางที่สำคัญของมูลนิธิชนชั้นนำทางความคิดแห่งชาติ”

ในช่วงแรกของการเข้าพบ ตัวแทนของบรรดาอัจฉริยบุคคลและเด็กที่มีความเก่ง ได้กล่าวรายงานและอธิบายถึงคำเสนอแนะต่อท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม 

สุภาพบุรุษ:

- มุฮัมมัด ซาลารี นะซับ – วิศวกรเครื่องกลและได้รับเลือกจากมหกรรมคอรัซมีในปี 90

- มุฮัมมัดอะมีน ซอดิกี – ปริญญาเอกคอมพิวเตอร์และเจ้าของรางวัลเหรียญทองแดงคอมพิวเตอร์โลก

- มุฮัมมัด ฮักเชนอซ –นักศึกษาปริญญาเอก การบริหารจัดการและรางวัลชนะเลิศเอนทรานซ์ของประเทศ

- ซัยยิด ริซา กาซิมี – ปริญญาโท ปรัชญาวิทยาศาสตร์และกรรมการผู้จัดการบริษัทความรู้พื้นฐาน

- อีซา ซาริอ์พูร – ปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์

และ ฟาฏิมะฮ์ คูชนะวีซอน – ปริญญาเอก สาขาการบริหารจัดการและรางวัลยอดเยี่ยมแห่งชาติมูลนิธิอัจฉริยบุคคล

ประเด็นที่นำเสนอ:

- ความจำเป็นในสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายห่างจากความตึงเครียดในศูนย์วิทยาศาสตร์และการศึกษา

- ความจำเป็นในใช้ประโยชน์จากอัจฉริยบุคคลในอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

-ความจำเป็นในการเปลี่ยนแนวทางของมหาวิทยาลัยสู่การวิจัยเชิงประยุกต์และท้องถิ่น

- ความจำเป็นในการเผชิญกับการนำเข้าของสังคมออนไลน์ด้วยการผลิตเนื้อหาที่ดีและในประเทศ

- ความจำเป็นในการปฏิรูปกฎหมายของบริษัทความรู้พื้นฐานและธุรกิจใหม่ๆ

 

700 /