เมื่อช่วงบ่ายของวันพุธที่ผ่านมา คณะนักศึกษาจำนวนหนึ่งเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม ท่านอยาตุลลอฮ์คาเมเนอี ซึ่งในการพูดคุยกันนั้นได้ใช้เวลานานถึงสามชั่วโมง โดยท่านผู้นำยังได้รับฟังทัศนะและความคิดเห็นของนักศึกษาในประเด็นต่างๆทางวิชาการ ,การเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศ โดยท่านถือว่า นักศึกษาจะต้องอยู่ระดับแนวหน้าในการต่อสู้อย่างต่อเนื่องของรัฐอิสลามกับระบบมหาอำนาจผู้คุกคาม อีกทั้งท่านยังเน้นถึง การมีวิสัยทัศน์ในการวิจารณ์และการตอบรับข้อเรียกร้องของนักศึกษาในประเด็นต่างๆ โดยท่านยังถือว่า การมีอุดมการณ์และการไม่สิ้นหวังต่อความล้มเหลวในระยะสั้น เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และท่านยังเน้นถึงความจำเป็นในการมองถึงข้อเท็จจริงและบทบาทของชมรมต่างๆของนักศึกษาแห่งการปฏิวัติ และการให้ความสำคัญในการอธิบายและความสำเร็จในการเสวนาเกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในมหาวิทยาลัยต่างๆ และท่านยังกล่าวอีกว่า องค์ประกอบหลักของมหาวิทยาลัย ก็คือ องค์ความรู้ และถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของมหาวิทยาลัย ก็คือ การผลิตนักวิชาการ และองค์ความรู้ รวมทั้งการกำหนดทิศทางที่ถูกต้องให้กับทั้งสอง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึง เหตุการณ์การก่อการร้ายในกรุงเตหะราน โดยเน้นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อเจตนารมณ์ของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ แต่อย่างใด และประชาชาติอิหร่านก็จะยังคงขับเคลื่อนในวิถีทางของตนต่อไปข้างหน้าอย่างผู้ที่มีอำนาจ
ในช่วงเริ่มต้นของการปราศรัยของท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ท่านถือว่า คำพูดของนักศึกษาในการพบปะกันครั้งนี้ เป็นถ้อยคำที่ถูกต้องมีความแข็งแรงและอยู่ในระดับสูงต่อการอธิบายและยังแนะนำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยออซอดอิสลาม จะต้องใช้ประโยชน์จากแนวคิดเหล่านี้ของบรรดานักศึกษา โดยกล่าวว่าเนื้อหาทั้งหมดที่ได้กล่าวไปนั้น บ่งบอกถึงการพัฒนาทางด้านความคิดของนักศึกษา เมื่อเทียบกับในปีแรกของการปฏิวัติอิสลามหรือแม้กระทั่งในหลายปีที่ผ่านมาและนี่คือ สิ่งที่เรานั้นมีความต้องการ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้เริ่มต้นการปราศรัยของท่าน โดยกล่าวถึง คำว่า ระบอบมหาอำนาจ และกล่าวเสริมว่า "ระบอบมหาอำนาจ หมายถึง หนึ่งระบอบแต่มีสองขั้ว ขั้วแรก คือ การมีอำนาจและอีกขั้วหนึ่งก็คือ การอยู่ภายใต้อำนาจ
ผู้นำสูงสุดของปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึง สองขั้วของระบอบมหาอำนาจ โดยกล่าวว่า สองขั้วในการก้าวหน้ากับล้าหลัง และสองขั้วในนวัตกรรมใหม่และการเลียนแบบ ,สองขั้วในความเป็นอิสระเสรีทางการเมืองและการพึ่งพา สองขั้วในความเชื่อมั่นตนเองและ้การไม่เชื่อมั่น ทั้งหมดนั้นคือ สองขั้วที่ได้เกิดขึ้นในช่วงสองหรือสามศตวรรษที่ผ่านมาและประเทศมหาอำนาจต่างได้วางแผนการทางวิชาการอย่างละเอียดอ่อนและมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการเปลี่ยนแปลงโลกทรรศน์, วัฒนธรรมและอุปนิสัยของพวกเขามาสู่ประเทศที่อยู่ภายใต้อำนาจของตนอย่างสม่ำเสมอและตลอดไป
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึง บางประเทศที่ได้รับการปลดปล่อยจากการปกครองบางส่วนของมหาอำนาจ โดยเสริมว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ การปฏิวัติอิสลามได้กลายเป็นเกราะคุ้มกันในการเผชิญหน้ากับระบอบมหาอำนาจ และก็ยังสามารถที่ทำให้อิหร่านนั้นได้ออกจากกับดักที่ศัตรูได้วางไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าจะมีบางคนจะกล่าวว่า สาธารณรัฐอิสลามได้ออกจากอำนาจของระบอบมหาอำนาจอย่างสมบูรณ์นั้นได้อย่างไร ในขณะที่ยังเห็นถึงร่องรอยของวัฒนธรรมตะวันตกอยู่
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ในคำตอบนี้ จำต้องกล่าวว่า การออกห่างจากระบอบมหาอำนาจทั้งหมดในการบริหารจัดการทางวัฒนธรรม,การเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งมีความแตกต่างกับวิถีทางของระบอบ
มหาอำนาจ และในสาธารณรัฐอิสลามก็มีกฏหมายที่ใช้ในการปฏิบัติกันซึ่งอาจจะมีการฝ่าฝืนอยู่บ้าง แต่ประเด็นนี้กับการไม่มีข้อกฏหมายหรือมีกฏหมายที่ขัดแย้งกันนั้นถือว่ามีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงความไม่ถูกต้องของถ้อยคำที่กล่าวหาว่าการปฏิบัติงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของกระทรวงว่าการ กระทรวงหนึ่ง โดยเน้นว่า เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดของการมีประสิทธิภาพของรัฐอิสลามก็คือ ความต่อเนื่องและการคงอยู่ของระบอบนี้ หากว่าระบอบรัฐอิสลามนั้นไม่มีประสิทธิภาพจริง บัดนี้ก็จะต้องถูกกลืนกินไปแล้ว
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การประกาศจุดยืนอย่างเปิดเผยของรัฐอิสลามในการเผชิญกับอำนาจต่างๆคือเหตุการณ์ที่สำคัญเป็นอย่างมาก และเน้นว่า ประเด็นนี้ คือ หนึ่งในการมีประสิทธิภาพอย่างเปิดเผยของระบอบอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึง เยาวชนผู้ศรัทธา ,นักปฏิวัติ และฮิซบุลลอฮ์ จะไม่ควรลืมนึกถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าต่างๆมากมายของรัฐอิสลาม อีกทั้งท่านยังกล่าวเสริมว่า การปฏิวัติอิสลามได้ยืนหยัดกับการเผชิญกับระบอบมหาอำนาจ ซึ่งสามารถสร้างอัตลักษณ์ให้กับประชาชาติอิหร่านได้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การไม่ถูกกลืนกินในโลกของประชาชาติอิหร่านก็คือ อัตลักษณ์อันโดดเด่นของอิหร่านและชาวอิหร่าน โดยกล่าวว่า อัตลักษณ์ของประชาชาติอิหร่านและการมีอุดมการณ์ที่มากมายของประชาชาตินี้ ที่ทำให้ระบอบมหาอำนาจอยู่ตรงกันข้ามกับการปฏิวัติอิสลาม ถือว่าเป็นการต่อสู้อย่างแข็งแกร่งของการปฏิวัติอิสลามกับมหาอำนาจที่มีอิทธิพลต่อโลก
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึง วิธีการของมหาอำนาจที่ใช้วิธีการในรูปแบบรุนแรงและกึ่งรุนแรงและรูปแบบที่ละเอียดอ่อน ที่ได้ครอบงำนักศึกษาและมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลางหลักในการต่อสู้ และท่านยังกล่าวว่า ในหลายปีที่ผ่านมา พวกเขานั้นมีความพยายามที่จะทำให้มหาวิทยาลัยออกจากกระบวนการในการต่อสู้
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึง การมีอิทธิพลของแนวร่วมในการต่อต้านการปฏิวัติอิสลามในมหาวิทยาลัยในช่วงหลายปีแรกๆของการปฏิวัติ โดยกล่าวว่า ในหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยได้กลายเป็นสนามของสงครามและเป็นสงครามในการอภิปราย แต่ในท้ายที่สุด บรรดานักศึกษาชาวมุสลิมและนักปฏิวัติก็เป็นผู้ที่ทำให้มหาวิทยาลัยนั้นได้รับชัยชนะทั้งสิ้น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงผลกระทบในช่วงเวลานั้น โดยกล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่าเสียใจ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ได้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างหมู่นักศึกษามุสลิมด้วยกัน ทำให้นักศึกษาบางคนได้พิชิตเหนือมหาวิทยาลัยที่ได้กลายเป็นรังซ่องสุมของสายลับตะวันตก และด้วยการวิเคราะห์ที่อ่อนหัดและไม่มีเนื้อหาที่ถูกต้อง อีกทั้งในการปฏิบัติอย่างสุดโต่งจึงทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อมหาวิทยาลัย
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าววิจารณ์ถึงการกระทำของบางคนในประเทศที่มีความพยายามในการมุ่งร้ายต่อการปฏิวัติ โดยกล่าวว่า บางคนได้ช่วยเหลือในการสร้างความอ่อนแอทางจิตวิญญาณในการเป็นฮิซบุลลอฮ์ของมหาวิทยาลัยทั้งหลาย
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวสรุปในส่วนหนึ่งของคำปราศรัยของท่านถึงหน่วยงานของมหาวิทยาลัยจะต้องใจรักในการปฏิวัติและอิสลามในทุกๆสภาพการณ์ โดยเน้นว่า จำเป็นที่จะต้องให้มหาวิทยาลัยอยู่ในระดับแนวหน้าในการต่อสู้ของรัฐอิสลามกับระบอบมหาอำนาจ และพวกท่านจะต้องรู้สึกถึงหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบในความเป็นมนุษย์ ,ชาติและศาสนา อีกทั้งหน้าที่ต่างๆทั่วไปอีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกถึงการมีมุมมองในเชิงวิจารณ์และข้อเรียกร้องของบรรดานักศึกษาในการแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยกล่าวว่า อย่าทำให้การแสดงวิสัยทัศน์เช่นนี้หมดไปในสังคมของมหาวิทยาลัย
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีวิสัยทัศน์ที่มีอดุมการณ์ที่เคียงข้างการมีมุมมองในเชิงวิจารณ์ คือ สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านเน้นว่า พวกท่านจะต้องมีข้อเรียกร้องเกี่ยวกับอุดมการณ์และคุณค่าต่างๆอย่างจริงจัง และจะต้องตั้งคำถามเพื่อป้องกันการผิดพลาดและอย่าได้สิ้นหวังจากความพ่ายแพ้ในระยะสั้น
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า หากว่าเราหมดหวังจากความพ่ายแพ้หรือความล้มเหลว เราก็จะต้องหมดหวังตั้งแต่ในช่วงการต่อสู้หรือในระหว่างสงครามศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว แต่ในช่วงเวลานั้น เราก็ไม่เคยหมดหวังเลยจากความพ่ายแพ้ เเพราะความสิ้นหวังนั้นไม่สามารถจะได้รับชัยชนะได้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังแนะนำให้นักศึกษาได้สนใจในผลผลิตของรัฐอิสลามและยังเน้นถึงความรู้สึกในความภาคภูมิใจของการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า ในวันนี้ นโยบายการเมืองของอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในเอเชียตะวันตกได้พบกับความล้มเหลว และพวกเขาก็ยอมรับว่าสาเหตุของความล้มเหลวนี้ ก็คือ อิทธิพลและการมีอำนาจของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ข้อเรียกร้องของการปฏิวัติได้เกิดขึ้น แต่ข้อเรียกร้องของอเมริกาและพลพรรคของพวกเขายังไม่เกิดขึ้น นี่แหละคือผลผลิตที่แท้จริงของการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงหนึ่งในกลยุทธ์ของศัตรูคือ การใช้คำว่า "การไม่มีประโยชน์" "การไร้ซึ่งความสามารถ" และการไม่สามารถที่จะกระทำได้" โดยกล่าวเสริมว่า: เป็นสิ่งที่น่าเสียใจก็คือ ได้มีบางคนในประเทศมีความคิดแบบเดียวกับที่ศัตรูต้องการสังคมชักจูง อีกทั้งมีการกล่าวซ้ำอย่างเสียงดังในการพูดคุย ,หนังสือพิมพ์และในโลกสังคมออนไลน์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวกับบรรดานักศึกษาว่า: ในการแก้ไขปัญหาภายในประเทศจะต้องมีจิตวิญญาณในการวิจารณ์จากการตั้งคำถาม ที่จะต้องได้รับการแก้ไข ในขณะที่การเผชิญกับศัตรูจำต้องมีความชัดเจนและโปร่งใสในความเป็นศัตรูของพวกเขา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า หน่วยงานต่างๆของมหาวิทยาลัยในการเผชิญกับศัตรูที่อยู่นอกประเทศนั้นต้องมีเสรีภาพและการพิจารณาในการเจรจาต่อรองเป็นหน้าที่ของนักการทูต แต่นักศึกษาจะต้องมีจุดยืนอย่างแน่วแน่ในประเด็นกรณีปัญหาต่างประเทศ
ในส่วนหนึ่งของคำปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ โดยท่านถือว่า "ความรู้" คือองค์ประกอบหลักของมหาวิทยาลัย และเน้นว่า หน้าที่ๆสำคัญที่สุดของหน่วยงานต่างๆของมหาวิทยาลัยก็คือ การอบรมและผลิตนักวิชาการ,การผลิตความรู้และการกำหนดทิศทางที่เหมาะสมกับทั้งสอง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงความจำเป็นที่จะก้าวไปข้างหน้าในเวทีของวิชาการ โดยกล่าวว่า การขับเคลื่อนทางวิชาการที่เหมาะสมกับระบบรัฐอิสลามยังไม่เกิดขึ้น และจะต้องตัดเส้นเขตแดนของความรู้ เพราะว่า ความก้าวหน้าทางวิชาการ คือ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตและเป็นสิ่งที่น่าสนใจจากโลกอีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ว่า ทุกหน่วยงานของมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี ,อธิการบดีมหาวิทยาลัย ,ผู้อำนวยการ ,คณาจารย์ และตำราเรียน จะต้องอยู่ในกรอบของกระบวนการในการศึกษา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึง เก้าหลักการ ถือว่าเป็นข้อเสนอแนะให้กับชมรมต่างๆของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่จะต้องนำมาปฏิบัติ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงบางชมรมที่ได้หยุดในการปฏิบัติงานหรือบางชมรมที่อยู่ตรงกันข้ามกับการปฏิวัติ โดยกล่าวว่า ผู้ฟังในการพูดคุยกันในครั้งนี้ มิใช่ชมรมในรูปแบบนั้น แต่หมายถึงชมรมต่างๆที่มีความเชื่อในการปฏิวัติและระบอบรัฐอิสลาม อีกทั้งยังมีการต่อสู้กับบรรดาศัตรูด้วย
"การมีอุดมการณ์" คือ ข้อเสนอแนะที่หนึ่งในการจัดตั้งชมรมในมหาวิทยาลัยที่ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวย้ำ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังอธิบายถึงอุดมการณ์อันทรงคุณค่าของการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า การทำให้สังคมมีความยุติธรรม, มีอิสระเสรี, มีความก้าวหน้า, มีความศรัทธา, มีความเข้มแข็ง และมีความมั่นคง ทั้งหมดนั้นคือ อุดมการณ์ที่ทำให้ชีวิตมนุษย์นั้นมีคุณค่าในความรอดพ้นของประเทศและประชาชนทั้งหลาย
"การมีมุมมองถึงข้อเท็จจริง" คือข้อเสนอแนะที่สองเป็นท่านผู้นำของการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งท่านได้ชี้ถึงบางคนได้คิดว่า การมีมุมมองถึงข้อเท็จจริง จะเฉพาะกับการสนใจในอุปสรรคเท่านั้น และท่านยังกล่าวเสริมว่า การมีมุมมองในข้อเท็จจริง หมายถึง การมองถึงข้อเท็จจริงในเชิงบวก
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า "เยาวชนที่มีความสามารถ ,ทรัพยากรทางธรรมชาติ ,สถานการณ์ทางภูมิศาสตร์และการพัฒนาก้าวหน้าในสาธารณรัฐอิสลาม" คือ ข้อเท็จจริงที่สำคัญของประเทศ และกล่าวว่า การมีอุดมการณ์ หมายถึง ในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค จะต้องค้นหาแนวทางและหาทางออกโดยผ่านการร่วมมือกันในการแสดงความคิดเห็น
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังให้คำแนะนำอีกแก่นักศึกษา โดยเรียกร้องให้พวกเขาต้องมีบทบาทที่โดดเด่นในเหตุการณ์ต่างๆที่ขมขื่นและหอมหวานก็ตาม และจงอย่าทำให้นักศึกษานั้นเป็นเพียงแค่ผู้รับที่ชมเท่านั้น
“การพยายามอย่างหนักแน่นในการจัดเสวนาวิชาการเกี่ยวกับการปฏิวัติอิสลามในมหาวิทยาลัย” ก็คือ อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามได้เน้นย้ำ และด้วยกับความไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดความสิ้นหวังในการปฏิวัติได้ โดยท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามยังกล่าวว่า สิ่งนี้นั้นมิได้เฉพาะกับมหาวิทยาลัย แต่ในทุกหน่วยงานที่มีการใช้ความคิดทั่วประเทศนั้นจะต้องมีการปฏิบัติอีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า : ในบางครั้ง องค์กรต่างๆทางความคิด ,วัฒนธรรม และการเมือง เกิดความบกพร่องและได้หยุดระงับในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ จะต้องมีเจ้าหน้าที่ในสงครามเย็นที่มีองค์ความรู้ในหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจและปฏิบัติการณ์
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึง ชมรมต่างๆของนักศึกษาจะต้องมีการเชื่อมสัมพันธ์อย่างแท้จริงโดยต้องผ่านการจัดสัมนาวิชาการ การจัดพิมพ์นิตยสารและการจัดเสวนาและอย่าได้ยึดติดเพียงแค่เนื้อหาจากสื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียว และจะต้องไม่ลืมคำสำคัญหลายคำ เช่น "ความเป็นอิสระภาพ", "บทบาทของประชาชนในการปกครอง” " เสรีภาพ 'และ' การปฏิเสธของระบบมหาอำนาจ" ซึ่งจะต้องมีการอธิบายอย่างถูกต้อง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า "ประชาธิปไตย" คือ คำหนึ่งที่สำคัญโดยชี้ถึงความประหลาดใจและคำฟ้องร้องของนักการปฏิวัติที่ดีบางคน โดยเน้นให้ประชาชนได้เข้าร่วมในการเลือกตั้งและการประกาศผลของการเลือกตั้ง ซึ่งท่านยังกล่าวเสริมว่า ความโศกเศร้าก็คือ วันที่ประชาชนได้หันหลังให้กับการเลือกตั้ง และสิ่งที่ศัตรูต้องการก็คือในวันที่ประชาชนกว่า 90 เปอร์เซ็นนั้นไม่ยอมเข้าร่วมในการลงคะแนนเสียง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามยังกล่าวกับนักศึกษาว่า การลงคะแนนเสียงถือว่า เป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ซึ่งพวกท่านจะต้องทำให้เกิดผลตามมาอย่างถูกต้องและมีการยอมรับอีกด้วย มิใช่ว่าจะเป็นการขัดขวางในการออกมาใช้สิทธิ์ของประชาชน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเด็นความเป็นอิสระเสรี เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก และประเด็นเอกสาร2030 จะต้องมีการตรวจสอบ โดยกล่าวว่า บางคนกล่าวว่า มีการปกป้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ และกล่าวว่าบางส่วนของมันนั้นไม่ถูกยอมรับ แม้ว่าจะไม่มีประเด็นใดที่ขัดแย้งกับอิสลาม แต่ระบบการศึกษาของเราจะต้องไม่ให้ต่างชาติเป็นผู้กำหนด ในขณะที่มีหลายกรณีที่ขัดแย้งกับอิสลามในเอกสารฉบับนี้ และบางคนมีความคิดว่า เรานั้นไม่ได้รับรายงานที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกว่า ในสถานที่แห่งนี้ คือ สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ประชาชาตินี้ก็เป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ แล้วทำไมจึงจะต้องให้คนไม่กี่คนในองค์กรยูเนสโกหรือสหประชาชาติเป็นผู้กำหนดระบบการศึกษาของเราด้วย?
คำแนะนำที่เจ็ดของท่านผู้นำสูงสุดที่มีต่อชมรมต่างๆของนักศึกษา ก็คือ "การเคร่งครัดในศาสนาทั้งในคำพูดและการกระทำ" โดยท่านยังเรียกร้องให้พวกเขาได้ปฏิบัติในสิ่งที่สอดคล้องกับหลักการอิสลามและคำบัญชาจากพระเจ้า
"ความกล้าหาญในการดำเนินการ" ก็คือ อีกคำแนะนำหนึ่งของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า ในชมรมต่างๆของนักศึกษาจะต้องไม่มีการดำเนินการที่ล่าช้าและมีความกังวลใจในการทำให้ผู้อื่นหรือองค์กรทั้งหลายนั้นเกิดความไม่พอใจ ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนและหากพบว่าไม่ถูกต้องก็จะต้องรีบดำเนินการไปในทันที
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงนักศึกษาสตรี โดยเรียกร้องให้มีการค้นคว้าในประเด็นเกี่ยวกับปัญหาของสตรีในตะวันตก ซึ่งเป็นคำแนะนำสุดท้ายที่ชมรมนักศึกษาจำต้องนำมาปฏิบัติ และท่านยังเน้นว่า ชมรมต่างๆของนักศึกษาจะต้องมีความหวังและอย่าทำให้เกิดความหมดหวังเป็นอันขาด
หลังจากที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงข้อแนะนำสุดท้ายของชมรมต่างๆในมหาวิทยาลัย และท่านยังกล่าวถึงสองประเด็นที่สำคัญ นั่นคือ การทุจริต และการซึมซับของวัฒนธรรมตะวันตก
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความไม่ถูกต้องในการที่บางคนได้คิดว่า มีการทุจริตในระบบของประเทศ โดยท่านยังกล่าวว่า การทุจริตในระบบนั้นได้เคยเกิดขึ้นมาในยุคของเผด็จการและเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ในวันนี้จะมีการทุจริตอยู่ก็ตาม แม้ว่าจะเป็นการทุจริตที่ไม่ดีเช่นกัน แต่เป็นการทุจริตในบางกรณี มิได้เกี่ยวกับระบบแต่อย่างใด จึงจะต้องมีจัดการกับกรณีเหล่านี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้อีกเช่นกันถึง การมีแรงจูงใจในการซึมซับทางวัฒนธรรมตะวันตกในประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า แรงจูงใจนี้ไม่สามารถที่จะเบี่ยงเบนออกจากแนวทางในการปฏิวัติและยังไม่สามารถทำให้ประเทศจมอยู่กับวัฒนธรรมตะวันตกได้หรอก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ในวันนี้ มีการอบรมเยาวชนให้มีความรักและผูกพันธ์ต่ออิสลามและการปฏิวัติ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการซึมซับของวัฒนธรรมตะวันตกในประเทศ โดยกล่าวเสริมอีกว่า ในวันนี้สิ่งที่บรรดานักศึกษาได้แสดงออกในคำพูดที่ลึกซึ้งและผ่านการไตร่ตรองบ่งบอกถึงความเป็นจริงอันนี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถีง การยืนหยัดต้านทานและความก้าวหน้าของระบอบรัฐอิสลามใน38 ปีที่ผ่านมา และออกห่างจากระบอบมหาอำนาจ ในขณะที่มีการวางแผนการณ์ต่างๆนานา เช่น ในสงครามแปดปี, การก่อรัฐประหาร, การคว่ำบาตร, การโฆษณาชวนเชื่อและการลอบสังหาร โดยกล่าวอีกว่า เหตุการณ์การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในเตหะราน ได้แสดงให้เยาวชนในวันนี้ได้เห็นถึงการลอบสังหารและการก่อการร้ายนั้นคืออะไร และเป็นไปได้อย่างไรที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายดังกล่าว
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า สถานการณ์เช่นนี้ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่มีความยากลำบากที่น้อยกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเตหะรานอีก เมื่อหลายปีที่ผ่านมาได้เกิดขึ้น แต่สาธารณรัฐอิสลามก็สามารถขับเคลื่อนประเทศไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ระบอบมหาอำนาจนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของประชาชนแต่อย่างใด และทุกคนจำต้องรู้ว่า สิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งที่เล็กกว่าการที่จะมีอิทธิพลต่อเจตนารมณ์ของประชาชาติและบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐอีก
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ในวันนี้ หากว่าสาธารณรัฐอิสลามไม่มีการยืนหยัดต่อการสร้างความชั่วร้ายแล้วละก็จะเห็นได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นอีกมากมายในประเทศ และหากพระองค์ทรงประสงค์ พวกมันจะถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก
ตัวแทนของสมาพันธ์นักศึกษา จำนวน 8 คนได้กล่าวถึงปัญหาของระบบการศึกษา ในการเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม มีดังนี้
-มะทีน มุนตะซามี - เลขาธิการสมาพันธ์สังคมอิสลามของนักศึกษา
-อะลีริซา อัซซัยยาดี - เลขาธิการนักศึกษาอิรักในอิหร่าน
-มุฮัมหมัด อะมีน ซะลีมีย์ - เลขาธิการสภาอาสาสมัครนักศึกษา
อะมีน ซัรดอร ออบอดี –เลขาธิการขบวนการเรียกร้องความยุติธรรมของนักศึกษา
ซัยยิด มูฮัมหมัด ฮะซัน ดาวูดี - หัวหน้ากลุ่มญิฮาดี ศูบฮ์ โรซัน
อะบุลฟัฎล์ มะซอฮิรี - เลขาธิการของสมาพันธ์ชมรมนักศึกษาอิสลาม
ซะฮ์รอ ซาดาต ริซาวี – สมาชิกสภาตะฮ์กีม วะฮ์ดัต
มัรยัม อัศศอร ซอเดฮ์ มอฮอนี – นักกิจกรรมวัฒนธรรม,การเมืองในมหาวิทยาลัยออซอดอิสลามี
ประเด็นสำคัญของคำพูดของตัวแทนของชมรมนักศึกษามหาวิทยาลัยมีดังนี้ :
- ความจำเป็นในการต่อสู้กับการทุจริตทางเศรษฐกิจ
- การวิพากษ์วิจารณ์สภาคัดกรองรัฐธรรมนูญ และขาดความโปร่งใสในกระบวนการของการได้รับการรับรองผลการเลือกตั้ง
- เน้นบทบาทของครอบครัวในรัฐอิสลามและความจำเป็นในการกำหนดนโยบายโดยรวมของครอบครัว
- การวิจารณ์บทบาทที่น้อยของสภาสูงสุดของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในการกำหนดนโยบายทางวัฒนธรรม
- เน้นการสร้างระบบของความโปร่งใสในการติดป้ายประกาศผู้สมัครเลือกตั้ง
- การเรียกร้องในการลงโทษและการจัดการอย่างเด็ดขาดกับผู้สร้างความวุ่นวาย
- ความจำเป็นในการตรวจสอบโครงสร้างการบริหารประเทศและขจัดข้อบกพร่องในการปฏิบัติงาน
- การวิจารณ์ถึงการแบ่งแยกทางสังคมและการไม่ให้ความสำคัญต่อประชาชนและความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะปัญหาการดำรงชีพ
- การวิจารณ์ถึงการไร้มารยาทและการยึดประเด็นปลีกย่อยและภาพลบของนโยบายในการแข่งขันในการเลือกตั้ง
- ความจำเป็นในการมีผู้บริหารที่เป็นคนรุ่นใหม่และการเชื่อมั่นต่อพวกเขาในส่งเสริมอุดมคติของการปฏิวัติอิสลาม
- การวิจารณ์ถึงสถานะการตรวจสอบของรัฐสภาในการป้องกันการหันเห
- เน้นความจำเป็นในการรู้จักถึงความทุจริตของการบริหารในมหาวิทยาลัยออซอดและมีการตรวจสอบอย่างละเอียดในการปฏิบัติงานของมหาวิทยาลัย
ในช่วงท้ายของการเข้าพบ ท่านผู้นำสูงสุดได้นำนมาซมักริบและอิชาร่วมกับคณะนักศึกษาโดยพร้อมเพียงกัน