คณะผู้บัญชาการและบรรดาพลทหารและบรรดานักแสดง รวมทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่ร่วมจัดงานค่ำคืนแห่งการรำลึกความทรงจำจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านกล่าวถึงการอธิบายความทรงจำในช่วงสมัยสงครามแปดปีในการป้องกันประเทศและการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์สมัยใหม่ทางศิลปะ ,วรรณกรรมเพื่อนำไปสู่เยาวชนสมัยใหม่ ถือว่าเป็นการกระทำที่มีคุณค่าและสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยท่านเน้นว่า หนึ่งในบทเรียนที่ต้องจดจำในช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์ ก็คือ ถ้าหากได้มอบหมายกิจการงานต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยทางด้านการปฏิบัติและยอมรับในก้นบึ้งของจิตใจแล้วละก็ จะทำให้พิชิตเหนืออุปสรรคที่กว้างกั้นทั้งหมดได้อย่างแน่นอน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นว่า มีผลกระทบที่ได้รับจากช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์ทั้งการสูญเสียทางด้านทรัพยากรวัตถุและมนุษย์ ซึ่งจะมีผลในวันนี้และในอนาคตและกล่าวว่า การรักษาและเสริมสร้างจิตวิญญาณในการปฏิวัติและการคงอยู่ของการปฏิวัติ คือผลที่ได้รับจากช่วงยุคสมัยนั้น ถ้าหากว่า ในช่วงนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวในการต่อสู้และการเสียสละ แน่นอนที่สุด จิตวิญญาณของการปฏิวัติก็ถูกคุกคามอย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในการอธิบายเกี่ยวกับผลของสงครามศักดิ์สิทธิ์ โดยถือว่า ช่วงเวลานั้น เป็นสนามแห่งการมอบหมายกิจการงานต่อพระผู้เป็นเจ้า ,ความไม่หวาดกลัวต่อมหาอำนาจ และการได้รับชัยชนะเหนืออุปสรรคทั้งหลายโดยผ่านการมอบหมายกิจการต่อพระองค์ในภาคปฏิบัติ และท่านผู้นำยังกล่าวเสริมว่า : ทุกๆสังคมกำลังขับเคลื่อนไปด้วยความก้าวหน้า ฉะนั้นถือว่าเป็นสิ่งปกติที่จะต้องพบกับอุปสรรคนานับปการ หากว่าสังคมนี้เป็นสังคมที่มีอุดมการณ์ทางด้านจิตวิญญาณและต่อต้านอำนาจและโลกวัตถุนิยม แน่นอนอุปสรรคก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น ดังนั้นในสังคมเช่นนี้ เมื่อมีการมอบหมายการงานในการปฏิบัติต่อพระผู้เป็นเจ้า และรู้สึกถึงขีดความสามารถที่จะพิชิตอุปสรรคต่างๆได้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากทีเดียว
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังย้ำว่า ในขณะนี้ สาธารณรัฐอิสลามก็สามารถเรียกร้องที่จะมีชัยชนะเหนือทุกอุปสรรคได้ เพราะว่าได้รับประสบการณ์ในการที่จะเอาชนะอุปสรรคในสงครามศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นว่า : หากมีศรัทธาในจิตใจและมีการมอบหมายการงานต่อพระผู้เป็นเจ้าในทางปฏิบัติ ดั่งภูเขาที่แข็งแกร่งก็ไม่อาจต้านทานพลังอันนี้ได้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากในช่วงเริ่มต้นของสงครามศักดิ์สิทธิ์ โดยกล่าวว่า ในช่วงท้ายของปี 1359 ถึง ต้นปี1361 (ปฏิทินอิหร่าน) เป็นช่วงที่มีสถานการณ์ที่ยากลำบากมากในการทำสงครามและเราก็ไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์และกองกำลังที่เพียงพอ ในขณะที่ศัตรูของเรา (พวกซัดดัม) เข้ามากระชั้นชิดในระยะที่ห่างเพียงแค่ 10 กิโลเมตรเท่านั้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมอีกว่า แต่ทว่าบรรดาผู้บัญชาการและพลทหารนักต่อสู้ด้วยกับการตะวักกุล(การมอบหมายการงานต่อพระผู้เป็นเจ้า) และรู้จักถึงขีดความสามารถของตน ทำให้สถานการณ์ในวันนั้นเกิดความเปลี่ยนแปลงและในช่วงปลายปี 1361 ได้มีการปฏิบัติการณ์สองครั้งด้วยกัน คือ การปฏิบัติการณ์ฟัตฮุลมุบีน และบัยตุลมุก็อดดัส ซึ่งผลของการปฏิบัติการณ์ทั้งสองก็คือ การปลดปล่อยเชลยศึกหลายพันคนออกจากน้ำมือบรรดาผู้ละเมิดพวกซัดดัม และยึดคืนหลายพื้นที่โดยเฉพาะการปลดปล่อยเมืองโครัมชะฮ์ร์ ให้เป็นอิสระจากทหารของซัดดัม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นว่าในช่วงที่สงครามนั้น อำนาจทั้งหมดในโลกรวมทั้ง อเมริกา ,นาโต้,สหภาพโซเวียตและพันธมิตรในภูมิภาคต่างได้ร่วมกับเผชิญหน้ากับสาธารณรัฐอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ เราก็สามารถที่จะเอาชนะเหนืออำนาจเหล่านี้ได้ทั้งหมด จากประสบการณ์นี้ ยังไม่เพียงพออีกกระนั้นหรือที่เราจะมีความเชื่อมั่นและความสงบนิ่งในหัวใจของเรา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงโองการจากอัลกุรอาน ที่บ่งบอกว่า “อย่าทำให้หัวใจนั้นมีความโศกเศร้า” โดยท่านเน้นว่า หากว่า มีศรัทธาที่แท้จริงต่อพระผู้เป็นเจ้าและมีการตะวักกุลยังพระองค์ เราก็จะได้รับชัยชนะเหนืออุปสรรคต่างๆนานาได้อย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า การมีจิตวิญญาณอย่างกว้างขวางและการตะวักกุลในภาคปฏิบัตินั้นได้รับจากการระลึกในความทรงจำในช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์ โดยกล่าวอีกว่า : หนังสือที่เขียนถึงความทรงจำของสงครามศักดิ์สิทธิ์หรือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือว่า อยู่เหนือผลงานทางด้านศิลปะและวรรณกรรม แต่ผลงานนี้คือ ทำให้รากฐานของการปฏิบัตินั้นแข็งแกร่งและยังทำให้อัตลักษณ์แห่งชาติและการพัฒนาก้าวหน้านั้นมีความแข็งแกร่งด้วยกับรากฐานอันนี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความทรงจำในสงครามศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ ความร่ำรวยแห่งชาติ และท่านนยังเน้นอีกถึงความจำเป็นในการดำเนินการในการเก็บรวบรวมความทรงจำต่างๆและเช่นเดียวกันกับการใช้อุปกรณ์ของศิลปะสมัยใหม่ เพื่อเป็นพลังในการดึงดูดเยาวชนคนรุ่นใหม่และหลีกเลี่ยงจากการพูดเกินความจริง โดยท่านกล่าวเสริมว่า การส่งผ่านความทรงจำเหล่านี้ให้กับสังคม คือ การกุศลที่ดีและเป็นการกุศลทางจิตวิญญาณและผู้ใดก็ตามที่ร่วมกิจกรรมทางด้านจิตวิญญาณ เขาก็จะได้รับปัจจัยทางทางจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เส้นทางแห่งรัศมี ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการบริจาคและการกระทำความดี และท่านยังชี้ถึง การมีแรงจูงใจในการบ่อนทำลายผลงานและบทเรียนของสงครามศักดิ์สิทธิ์ โดยกล่าวว่า แรงจูงใจอันนั้นถือว่าเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้ประเทศอิสลามต้องตัดเนื้อหาของตำราเรียนที่เกี่ยวกับญิฮาด(การทำสงครามศักดิ์สิทธิ์) และการเป็นชะฮีด (พลีชีพในแนวทางของพระผู้เป็นเจ้า)ออกไปอย่างต่อเนื่อง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึง จะไม่มีทางที่จะลืมเลือนได้ โดยท่านยังกล่าวว่า จำต้องทำให้สงครามศักดิ์สิทธิ์และญิฮาดและชะฮาดัตนั้น คงอยู่ เพื่อที่จะให้กับคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้ซึมซับกับประวัติศาสตร์ของสงครามศักดิ์สิทธิ์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การซึมซับของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นสมัยสงครามศักดิ์สิทธิ์เป็นการเข้าร่วมกันของกัลยาณชน และกล่าวอีกว่า ปัจจุบันนี้เราเห็นบรรดาเยาวชนที่เหมือนกับยุคสมัยในปีที่ หกสิบ ด้วยกับน้ำตาและการกระตือรือร้นของพวกเขาที่จะเข้าร่วมในการป้องกันฮะรัมและการถ่ายโอนจิตวิญญาณและคุณค่าของช่วงสมัยสงครามไปยังเยาวชนรุ่นปัจจุบัน ก็คือ ผลของการเพียรพยายามในถ่ายทอดความทรงจำของยุคสมัยสงครามศักดิ์สิทธิ์
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึง ความทรงจำในช่วงสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและตรรกะ และท่านยังกล่าวอีกว่า หากว่าใช้เวลาอีกห้าสิบในการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงและความทรงจำและสมบัติอันล้ำค่าของยุคสมัยนั้นก็จะไม่มีที่สิ้นสุด
ในช่วงเริ่มต้นของการพบปะกัน
- มุรตะฎอ ซันฮังกี - เจ้าหน้าที่สำนักงานศิลปะวรรณกรรมมุกอวิมัต
- อบุลฟัฎล์ กาซิมี – นักเขียนหนังสือ “ซอยที่มีภาพวาด”
- อัศฆัร นะกี ซอเดฮ์ – ทหารและนักแสดงภาพยนตร์สงครามศักดิ์สิทธิ์
- มะฮ์ดี ฏอฮานิยอน – ทหารและผู้รายงานหนังสือ “ทหารตัวน้อยของอิมาม”
- มาชาอุลลอฮ์ ชาฮ์มุรอดี- ทหารและผู้กำกับละครโทรทัศน์เรื่อง “รูญอน”
- มามูซตา มูลลา กอดิร กอดิรี – อิมามนำนมาซวันศุกร์ชุมชนพอเวฮ์
- อะลี คุชลัฟซ์ – ทหารและผู้รายงานหนังสือ “เมื่อดวงจันทร์หายไป”
- อะลีริฎอ มุรอดี – นายพลปลดเกษียณ
- อิบรอฮีม ฮาตะมีกิยอ - ผู้กำกับภาพยนตร์
- และมัรยัม กาติบี - หนึ่งในสมาชิกขององค์กรสงเคราะห์ในสงครามศักดิ์สิทธิ์และเป็นทหารร่วมสมัยกับชะฮีดมุตะวัซซิลิยอน
โดยทั้งหมดได้กล่าวถึงความทรงจำของพวกเขาในสงครามการป้องกันประเทศอันศักดิ์สิทธิ์ในการสร้างวีรกรรมและความกล้าหาญในสมรภูมิครั้งนั้น
ในพิธีการนี้ ยังได้รับเกียรติจากคณะนักร้องประสานเสียงยุวชน คณะนะซีม กัดร์ ได้ทำการร้องเพลง "อัรฆะวอน" ที่เกี่ยวกับบรรดาผู้ปกป้องฮะรัมศักดิ์สิทธิ์