เมื่อช่วงเช้าของวันอังคารที่ผ่านมา ผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เข้าร่วมในการจัดประชุมสัมมนานานาชาติ ครั้งที่6 ในการสนับสนุนขบวนการต่อสู้ (อินติฟาเฎาะฮ์) เพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์
โดยมีผู้เข้าร่วมในระดับแกนนำของกลุ่มมุกอวิมัต (ขบวนการต่อสู้) ต่างๆของปาเลสไตน์ ,ประธานรัฐสภาและบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐสภาของประเทศอิสลามและอีกหลายร้อยคน บรรดาปัญญาชน นักวิชาการและบุคลากรที่สูงส่งเพื่อเรียกร้องสู่เสรีภาพของโลกอิสลาม ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดถือว่า เป้าหมายของฟิตนะฮ์ (การสร้างความแตกแยก) และสงครามในภูมิภาคนี้เพื่อที่ต้องการจะลดบทบาทในการสนับสนุนต่ออุดมการณ์ในการปลดปล่อยอัลกุดส์อันศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งท่านยังเน้นถึงความจำเป็นในการป้องกันไม่ให้กลุ่มมุกอวิมัต ในปาเลสไตน์เกิดความขัดแย้งกันระหว่างชาติพันธ์และนิกาย ความขัดแย้งภายในประเทศต่างๆ และท่านผู้นำสูงสุดยังเน้นย้ำว่า ทุกขบวนการเคลื่อนไหวแห่งอิสลามและในระดับชาติ จะต้องมีหน้าที่ในการรับใช้ต่ออุดมการณ์ของปาเลสไตน์และความลึกซึ้งในการมีความสัมพันธ์ของสาธารณรัฐอิสลามกับกลุ่มมุกอวิมัต ทั้งหลายนั้น โดยเพียงการยึดมั่นอย่างมั่นคงในหลักการต้านทานเท่านั้น
ท่านผู้นำสูงสุด ยังเน้นด้วยกับการอธิบายในผลสำเร็จที่ยอดเยี่ยมและถือว่าเป็นความภาคภูมิใจยิ่งที่ได้รับแบบอย่างมาจากกลุ่มมุกอวิมัตที่กล้าหาญในการต่อสู้(อินติฟาเฎาะฮ์) อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้จอมเผด็จการไซออนิสต์ล้มลงและหมดอำนาจสิ้น ซึ่งท่านยังชี้ถึงความไม่ถูกต้องของแผนการณ์ก่อนๆเกี่ยวกับสันติภาพ และความพยายามล่าสุดในการเป็นมิตรจอมปลอมโดยที่ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจในมุกอวิมัตและอินติฟาเฎาะฮ์ข และมีค่าใช้จ่ายในข้อเสนอที่ลับกับบรรดาศัตรู ซึ่งท่านผู้นำการปฏิวัติยังเน้นอีกว่า การมุกอวิมัต ต้องมีความชาญฉลาดกว่าการตกอยู่ในกับดักและการอินติฟาเฎาะฮ์ครั้งที่สามนี้ ด้วยกับการอนุมัติของอัลลอฮ์ จะทำให้เผด็จการรัฐเถื่อนพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งการมีความพยายามเพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์จะต้องถูกวางบนเอกภาพของประเทศมุสลิมทั้งหลายและเรียกร้องสู่เสรีภาพที่แท้จริง
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ประเด็นปาเลสไตน์ เป็นประเด็นที่เต็มไปด้วยกับความเศร้าโศกและอาดูรต่อการถูกกดขี่ของประชาติที่มีขันติธรรม และการยืนหยัดต้านทานของพวกเขาสร้างความทุกข์ทรมานให้กับจิตใจของมนุษย์ที่รักในเสรีภาพ และแสวงหาสัจธรรม และความยุติธรรม โดยท่านกล่าวเสริมว่า ประวัติศาสตร์ของปาเลสไตน์และการยึดครองอย่างฉ้อฉลและการร่อนแร่ไร้ที่พักพิงของหลายล้านชีวิตผู้คน และการยืนหยัดต้านทานอย่างกล้าหาญของประชาชาตินี้นั้นมีขึ้นและมีลงมาโดยตลอด
ผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงการบันทึกทางประวัติศาสตร์ในแผนการณ์การจัดตั้งขบวนการเผด็จการไซออนิสต์ ถือว่าเป็นแผนการณ์ร้ายที่เหนือภูมิภาค และท่านยังกล่าวว่า ไม่มีช่วงเวลาในประวัติศาสตร์และประชาชาติใด ๆ ที่มีความทุกข์และความเศร้าโศกจากการกระทำอันโหดร้าย ที่เป็นแผนการณ์ร้ายเหนือภูมิภาค โดยทำการยึดครองประเทศหนึ่งเบ็ดเสร็จอย่างสมบูรณ์ ซึ่งประชาชาตินี้นั้นจะต้องหนีออกจากบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของพวกเขาเอง โดยที่ชนกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาแทนที่พวกเขา และการไม่เอาใส่ใจต่อการมีอยู่ที่แท้จริง ขณะที่การมีอยู่จอมปลอมนั้นกลับเข้ามานั่งแทนที่ตัวจริง
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การลบใบหน้าอันสกปรกโสมมนี้ให้ออกจากหน้าประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกันกับใบหน้าอื่นๆที่มีความสกปรกนั้น ถือว่าเป็นสัญญาต่างๆที่ถูกกำหนดไว้ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน และช่วงเริ่มต้นของการกล่าวสุนทรพจน์ ท่านผู้นำสูงสุดได้อธิบายถึงเงื่อนไขของการจัดประชุมสัมนาเพื่อสนับสนุนการต่อสู้(อินติฟาเฎาะฮ์)เพื่อปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่า การจัดประชุมครั้งนี้ของพวกท่าน ถือว่า อยู่ในสถานการณ์ที่ยากที่สุดในระดับโลกและภูมิภาค และภูมิภาคของเรายังได้ให้การสนับสนุนประชาชาติปาเลสไตน์โดยตลอดอย่างเสมอมาในการต่อสู้ของพวกเขากับแผนการณ์อันเลวร้ายของโลก ซึ่งในวันทั้งหลายนี้ จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ความไม่สงบและวิกฤตการณ์ต่างๆอีกมากมาย
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นในประเทศมุสลิมในภูมิภาคนี้ เป็นเหตุให้มีการลดบทบาทในการสนับสนุนประเด็นปาเลสไตน์และการปกป้องในอุดมการณ์อันศักดิ์สิทธิ์เพื่อปลดปล่อยอัลกุดส์ โดยกล่าวว่า การสนใจต่อผลลัพท์ของวิกฤติต่างเหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจได้ว่าอำนาจที่ได้รับผลประโยชน์นั้น คือ อำนาจฝ่ายใด
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ผู้ที่สถาปนาระบอบการปกครองไซออนิสต์ในภูมิภาคนี้ ต้องการที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งเป็นเวลายาวนานเพื่อที่ไม่ให้มีความมั่นคงและการพัฒนาในภูมิภาคเกิดขึ้น ซึ่งในขณะนี้เรากำลังอยู่ในช่วงระยะหลังความขัดแย้งทั้งหลายนั้น
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีความขัดแย้งต่างๆในภูมิภาคนี้ เป็นเหตุให้ไร้ซึ่งขีดความสามารถในประเทศชาติทั้งหลายจากความขัดแย้งที่เปล่าประโยชน์และยังเปิดโอกาสในการเพิ่มอำนาจให้มากยิ่งขึ้นของระบอบเผด็จการไซออนิสต์ โดยเสริมว่า : ในระหว่างนี้ เราได้เห็นถึงความเพียรพยายามที่ดีอย่างมากมายของบรรดาปัญญาชนและบรรดาผู้ปกครองในประชาชาติอิสลามที่ต่างพยายามอย่างเต็มที่ในแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แต่ทว่าแผนการที่อันสลับซับซ้อนของฝ่ายศัตรู โดยฉวยโอกาสจากการไม่ใส่ใจของบางประเทศ ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองกับประเทศต่างๆ อีกทั้งยังทำให้พวกเขาเกิดการห้ำหั่นกันเอง และการเพียรพยามที่ดีของประชาชาติอิสลามก็มีผลน้อยลง
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การทำให้สถานภาพของปาเลสไตน์อ่อนลง และการพยายามของผู้ที่ประสงค์ไม่ดีเพื่อให้ประเด็นนี้ไม่มีความสำคัญในระดับต้นๆ โดยท่านกล่าวว่า ด้วยกับการมีความขัดแย้งกันของประเทศทั้งหลายในอิสลาม ถือว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ หรือบางส่วนเกิดจากแผนการสมคบคิดร้ายของศัตรู หรือบางส่วนเกิดความเผอเรอแต่ทว่า แต่กระนั้นก็ตาม ประเด็นของปาเลสไตน์ก็ยังคงเป็นแกนของเอกภาพสำหรับประเทศเหล่านั้น
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี แสดงให้เห็นถึง หนึ่งในผลสำเร็จของการจัดประชุมเพื่อให้การสนับสนุนขบวนการอินติฟาเฎาะฮ์ ก็คือ การยกระดับความสำคัญของโลกอิสลามและการเรียกร้องสู่เสรีภาพของโลกโดยเฉพาะประเด็นปาเลสไตน์และสร้างบรรยากาศของความเห็นอกเห็นใจสำหรับการบรรลุถึงจุดประสงค์อันสูงส่งในการสนับสนุนประชาชนปาเลสไตน์และการต่อสู้ที่ชอบธรรมเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม โดยท่านผู้นำสูงสุดยังเน้นว่า : จะต้องไม่ละเลยในความสำคัญของการสนับสนุนทางการเมืองให้กับประชาชนปาเลสไตน์ ซึ่งถือว่าปัญหานี้นั้นมีความสำคัญระดับต้นๆของโลกในวันนี้ และประเทศอิสลามทั้งหลาย อีกทั้งผู้เรียกร้องเสรีภาพจะต้องมารวมตัวกันเพื่อปลดปล่อยพวกเขาด้วยกับทุกวิธีการที่มีความสามารถให้บรรลุสู่เป้าหมายเดียวกันในประเด็นปาเลสไตน์
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ถึงการเกิดขึ้นของสัญญาณการล้มสะลายของเผด็จการไซออนิสต์ และความอ่อนแอของพันธมิตรหลักโดยเฉพาะอเมริกา โดยเสริมว่า ในสถานการณ์เหล่านี้จะเห็นได้ว่า บรรยากาศของโลกกำลังจะดำเนินการไปในการต่อต้านการปฏิบัติการที่ขัดแย้งกับกฏหมาย และไร้ซึ่งความเป็นมนุษยธรรมของระบอบเผด็จการไซออนิสต์ไปทีละนิด ทีละนิด แต่ทว่า ณ บัดนี้ ประชาคมโลกและประเทศต่างๆในภูมิภาคนี้ที่ได้ล้มเหลวจากความรับผิดชอบของตนในการปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างมีมนุษยธรรม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงความต่อเนื่องของ “การบ่อนทำลายประชาชาติปาเลสไตน์อย่างป่าเถื่อนและยึดครองดินแดนและการตั้งถิ่นนิคมในพื้นที่ของพวกเขา” “การจับกุมอย่างกว้างขวาง” “การฆาตกรรมและการปล้นจี้” “การพยายามเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์และสารัตถะของอัลกุดส์ และมัสญิดอัลอักศอ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆของอิสลามและคริสต์”และ “การริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน” ด้วยกับการสนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบของอเมริกาและบางประเทศในแถบตะวันตก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเสียใจในการไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่เหมาะสมของโลก
ท่านผู้นำสูงสุด ยังชี้ถึง ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและเกียรติยศของชาวปาเลสไตน์ ในการปกป้องอัลกุดส์และมัสญิดอัลอักศอ และประเด็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่องโดยกล่าวว่า ประเทศชาตินี้ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการที่จะเชื่อมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่งและอาศัยความสามารถโดยธรรมชาติของพวกเขา เพื่อจะให้เปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ได้ลุกโชติช่วงอยู่ตลอดและในความจริงก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ย้ำว่า การอินติฟาเฎาะฮ์ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นในดินแดนที่ถูกยึดครองได้เริ่มต้นเป็นครั้งที่สามแล้ว และมีการถูกกดขี่มากกว่าการอินติฟาเฎาะฮ์ทั้งสองครั้งที่ผ่านมา แต่ทว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ส่องแสงสว่างและเต็มไปด้วยกับความหวัง โดยท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า ด้วยกับการอนุมัติของพระผู้เป็นเจ้า จะเห็นถึงการอินติฟาเฎาะฮ์นี้ กำลังย่างเข้าสู่ขั้นตอนที่สำคัญมากทางประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ และจะเป็นตัวกำหนดถึงความล้มเหลวของระบอบเผด็จการไซออนิสต์
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติ ยังชี้ถึง "กระบวนการของขั้นตอนหนึ่งในการเจริญเติบโตของเนื้องอกของมะเร็งร้ายของเผด็จการไซออนิสต์" และการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นภัยพิบัติในปัจจุบัน และการเยียวยารักษาจะต้องผ่านในอีกขั้นตอนหนึ่ง โดยกล่าวเสริมว่า ในอีกหลายขบวนการต่อสู้อินติฟาเฎาะฮ์และการยืนหยัดต้านทานที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องสามารถที่จะบรรลุในเป้าหมายได้ระดับหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก และเช่นเดียวกันจะมีการก้าวข้ามไปสู่เป้าหมายอื่นๆ จนถึงเวลาที่จะปลดปล่อยปาเลสไตน์ได้อย่างสมบูรณ์
ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังชี้ไปที่ภาระกิจอันหนักอึ้งที่ประเทศยิ่งใหญ่อย่างปาเลสไตน์ได้แบกรับภาระเอาไว้เพียงผู้เดียว ในการต่อต้านกับขบวนการไซออนิสต์สากลและกลุ่มพันธมิตร โดยท่านอธิบายถึงเป้าหมายและผลลัพท์ของแผนการณ์เรียกว่า “สันติภาพกับเผด็จการไซออนิสต์” ซึ่งท่านกล่าวว่า ประชาชนปาเลสไตน์คือผู้ที่มีความอดทนอดกลั้น ,มีความยั่งยืนและมั่นคงยิ่ง ได้ให้โอกาสกับผู้ที่กล่าวอ้างในคำเรียกร้องของพวกเขา
ท่านผู้นำสูงสุดเสริมว่า ในวันนั้น ด้วยกับข้ออ้างที่กล่าวเท็จที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และความจำเป็นในการยอมรับที่อย่างน้อยที่สุดของสิทธิสำหรับการหลีกเลี่ยงในการทำลายข้ออ้างนั้น ทำให้เกิดแผนการณ์ร้ายต่างๆในการสร้างสันติภาพอย่างจริงจัง ซึ่งประชาชาติปาเลสไตน์ แม้ว่ากลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆที่เห็นว่าทัศนะเหล่านี้ไม่มีความถูกต้องก็ได้ให้โอกาสกับพวกเขาแล้ว
ท่านผู้นำสูงสุด ยังชี้ถึง การเน้นย้ำของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน จากการไม่ถูกต้องของวิธีการเหล่านี้ ในการสร้างความสันติภาพ ซึ่งทำให้เกิดความอันตรายและความเสียหายที่หนักยิ่ง โดยกล่าวว่าโอกาสที่มอบให้กับกระบวนการสันติภาพนั้นมีผลกระทบอันร้ายแรงต่อวิถีการต้านทานและการต่อสู้ของประชาชนชาวปาเลสไตน์ แต่ทว่ามีประโยชน์เพียงอย่างเดียว คือการพิสูจน์ว่า ผลของความไม่ถูกต้องในวิสัยทัศน์ที่ตรงข้ามกับการกระทำ
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงที่ว่าวิธีการของระบอบเผด็จการไซออนิสต์จะไม่ปล่อยการขยายตัวและการปราบปรามและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์ โดยกล่าวอีกว่า ในเอกลักษณ์ของจอมเผด็จการไซออนิสต์ ต้องการที่จะทำลายเอกลักษณ์ของปาเลสไตน์ เพราะว่า การดำรงอยู่ของระบอบเผด็จการนี้นั้น ขึ้นอยู่กับการทำลายชาติปาเลสไตน์
ผู้นำการปฏิวัติ ยังกล่าวถึงความเป็นจริงในการป้องกันตัวตนของชาวปาเลสไตน์และการรักษาสัญลักษณ์ต่างของการแสดงตัวตนนี้ ด้วยกับความชอบธรรมและเป็นธรรมชาติ ถือว่า เป็นภาระกิจที่จำเป็นและสำคัญยิ่ง และเป็นการญิฮาดอันรศักดิ์สิทธิ์ด้วย ซึ่งท่านได้ย้ำว่า ตราบใดที่นามและการรำลึกถึงปาเลสไตน์และเปลวเพลิงของการมุกอวิมัต ยังมีอยู่นั้นเป็นไปไม่ได้ที่รากฐานของเผด็จการที่ยึดครองจะแข็งแกร่งได้
ท่านผู้นำสูงสุด ยังกล่าวเสริมในการอธิบายปัญหาและความเสียหายที่เกิดจากแผนการสันติภาพกับเผด็จการไซออนิสต์ อีกว่า ปัญหาของกระบวนการสันติภาพไม่ได้อยู่เพียงแค่ลดสิทธิอันชอบธรรมของประเทศหนึ่งและให้ความถูกต้องตามกฎหมายของระบอบการปกครองกับรัฐเถื่อน ซึ่งถือว่าเป็นความผิดพลาดอันใหญ่ที่มิอาจให้อภัยได้ แต่ทว่า ปัญหาก็คือ ไม่มีเงื่อนไขใดที่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันในประเด็นปาเลสไตน์เลย และการไม่สนใจต่อกระบวนการบ่อนทำลายและปราบปรามของไซออนิสต์ทั้งหลาย
ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การพิสูจน์ข้ออ้างที่ไม่ถูกต้องของผู้เรียกร้องสันติภาพ เป็นเหตุให้เกิดฉันทามติแห่งชาติในการเสาะหาแนวทางที่ถูกต้องเพื่อการต่อสู้และเรียกคืนสิทธิของประชาชาติปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่า บัดนี้ ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ประชาชนชาวปาเลสไตน์ ได้รับประสบการณ์ ด้วยกัน สองตัวอย่างที่แตกต่างกันในบัญชีการกระทำของพวกเขา และยังได้รับมาตราการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของพวกเขา
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของรูปแบบของมุกอวิมัต ที่กล้าหาญและความต่อเนื่องของขบวนการอินติฟาเฎาะฮ์ อันศักดิ์สิทธิ์ต่อกระบวนการสันติภาพ ,การโจมตียังมุกอวิมัต และตั้งคำถามเกี่ยวกับอินติฟาเฎาะฮ์ จากหน่วยงานต่างๆที่รู้จักกันดีและศัตรูโดยเสริมว่า : การคาดหวังจากศัตรู นอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่า วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องและส่งผลในการหยุดยั้งอย่างสมบูรณ์ แต่ทว่า บางครั้ง กลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่ม หรือแม้แต่บางประเทศที่มองแบบผิวเผินเปลือกนอกนั้นร่วมมือกับประเด็นปาเลสไตน์ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาต้องการให้ประชาชาติเบี่ยงเบนจากทิศทางที่ถูกต้องเพื่อต่อต้านกลุ่มมุกอวิมัต
ท่านผู้นำสูงสุด ได้อธิบายถึง ลักษณะของข้ออ้างของกลุ่มเคลื่อนไหวและประเทศต่างๆที่ตีสองหน้า โดยกล่าวว่า การกล่าวอ้าง ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาว่า กลุ่มมุกอวิมัตไม่ประสบความสำเร็จในการปลดปล่อยปาเลสไตน์ ดังนั้นจะต้องมีวิธีการแก้ไขและปรับปรุงในวิธีการนี้
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตอบข้ออ้างนี้ว่า ใช่แล้ว! กลุ่มมุกอวิมัตยังไม่บรรลุสู่เป้าหมายขั้นสูงสุด นั่นคือ การปลดปล่อยปาเลสไตน์อย่างสมบูรณ์ แต่ทว่า สามารถที่จะให้ประเด็นปาเลสไตน์ยังคงมีอยู่
ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งคำถามที่เป็นกุญแจหลักว่า จำต้องมองหากว่าไม่มีกลุ่มมุกอวิมัต สถานการณ์ในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร ?ความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของกลุ่มมุกอวิมัต (ขบวนการต่อสู้) ก็คือ "การสร้างอุปสรรคหลักกับการป้องกันโครงงานต่างๆของไซออนิสต์" และกล่าวว่า ความสำเร็จของกลุ่มมุกอวิมัตในการยัดเยียดสงครามให้กับศัตรู นั้นหมายถึง มีความสามารถที่จะทำลายโครงงานหลักของเผด็จการไซออนิสต์ที่มีแผนการในการยึดครองภูมิภาคนี้ทั้งหมดลงได้
ท่านผู้นำสูงสุด ยังเน้นถึง ความจำเป็นที่จะต้องเทอดเกียรติของกลุ่มมุกอวิมัต และบรรดานักรบที่หาญกล้า ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันจากการเริ่มต้นปฏิบัติการลับในการจัดตั้งระบอบเผด็จการไซออนิสต์ และพวกเขาได้อุทิศชีวิตเพื่อให้ธงของมุกอวิมัตได้ถูกเชิดชู และถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยกล่าวเสริมว่า บทบาทของกลุ่มมุกอวิมัตในช่วงเวลาการยึดครองที่ไม่อาจปกปิดได้ และแน่นอนก็ไม่อาจปฏิเสธ บทบาทของมุกอวิมัตในชัยชนะ แม้ว่าเพียงระยะเวลาสั้นก็ตาม ในสงคราม ปี 1352 อิหร่าน ตรงกับ 1973 คริสต์ศักราช
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมอีกว่า ในปี 1361 ตรงกับ 1982 ค.ศ ซึ่งภาระกิจการต้านทานที่ประชาชนปาเลสไตน์ต้องแบกรับภาระ ก็คือ การเข้ามาของกลุ่มมุกอวิมัต อิสลาม (ฮิซบุลลอฮ์) เพื่อช่วยเหลือปลดปล่อยชาวปาเลสไตน์ในการต่อสู้
ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นว่า ถ้าหากว่ากลุ่มมุกอวิมัต ไม่ทำให้เผด็จการไซออนิสต์ต้องล้มลงกองกับพื้น ขณะนี้ เราจะเห็นถึงการยึดครองดินแดนในภูมิภาคนี้ นับตั้งแต่ประเทศอียิปต์ไปจนถึงจอร์แดน ประเทศอิรักและอ่าวเปอร์เซีย และประเทศอื่นๆก็ตกเป็นดินแดนอยู่ในการครอบครองของไซออนิสต์ไปแล้ว
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การหมดอำนาจล้มลงของเผด็จการไซออนิสต์ เป็นความสำเร็จที่สำคัญยิ่ง แต่มิได้เป็นความสำเร็จและผลลัพท์ของกลุ่มมุกอวิมัตเท่านั้น ซึ่งยังมีความสำเร็จอื่นๆอีก โดยท่านเสริมว่า : การได้รับเสรีภาพและการปลดปล่อยในภาคใต้ของเลบานอนและฉนวนกาซ่า ถือได้ว่า เป็นการบรรลุสู่ สอง เป้าหมายในขั้นตอนที่สำคัญต่อกระบวนการเพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์ และจะทำให้การขยายตัวทางภูมิศาสตร์ของเผด็จการไซออนิสต์ลดน้อยลง
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ในการอธิบายถึงใบหน้าที่มีแสงสว่างของบัญชีการกระทำของกลุ่มมุกอวิมัต โดยถือว่า ความไร้สามารถของเผด็จการไซออนิสต์ในการยึดครองดินแดนใหม่ตลอดช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา การถอนกำลังออกจากทางตอนใต้ของเลบานอนอย่างอัปยศอดสูและฉนวนกาซ่า และเช่นกันบทบาทหลักที่โดดเด่นของกลุ่มมุกอวิมัตในขบวนการต่อสู้อินติฟาเฎาะฮ์ครั้งแรกและครั้งที่สอง โดยท่านกล่าวว่า สงคราม 33 วันในเลบานอน และสงคราม 22 วัน, สงคราม 12 วัน และสงคราม 51 วัน ในฉนวนกาซ่า ทั้งหมดนี้คือใบหน้าที่สว่างไสวในบัญชีภาระกิจของกลุ่มมุกอวิมัต เป็นสาเหตุให้เกิดความภาคภูมิใจต่อประเทศชาติทั้งหลายในภูมิภาคและโลกอิสลาม ตลอดจนบรรดามนุษย์ผู้เรียกร้องเสรีภาพทั่วโลกทั้งมวล
ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึง สถานการณ์ที่ยากลำบากของสงคราม 33 วัน ในเลบานอน และกลุ่มมุกอวิมัตเป็นเหตุให้ได้รับชัยชนะ โดยกล่าวว่า สงครามนั้น ทุกลู่ทางทั้งหมดในการช่วยเหลือต่อประชาชาติเลบานอนและนักต่อสู้ผู้กล้าหาญของฮิซบุลลอฮ์ได้ถูกปิดกั้น แต่ด้วยกับการช่วยเหลือแห่งพระผู้เป็นเจ้าและการเชื่อมั่นต่อพลังอันยิ่งใหญ่ของประชาชนนักต่อสู้ชาวเลบานอน ทำให้เผด็จการไซออนิสต์และกลุ่มพันธมิตรหลัก ก็คือ อเมริกาได้รับความปราชัยอันอัปยศ ที่ไม่อาจหาญมาโจมตีประเทศนี้ได้อีก
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ นอกจากนี้ ยังชี้ถึง กลุ่มมุกอวิมัต ที่กล้าหาญของประชาชนในฉนวนกาซ่า ซึ่งได้ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นป้อมปราการอันยิ่งใหญ่ของกลุ่มมุกอวิมัต และยังเสริมว่า การยืนหยัดต้านทานของประชาชนในฉนวนกาซ่า ในช่วงหลายสงครามอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่า ระบอบเผด็จการไซออนิสต์นั้นมีความอ่อนแอกว่าที่จะต่อกรกับประชาชาติหนึ่งใดได้
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า วีรบุรุษที่แท้จริงของสงครามในฉนวนกาซ่า คือ ประชาชาตินักต่อสู้และต้านทานด้วยกับการแบกรับภาระในการปิดกั้นทางเศรษฐกิจมาหลายปี อีกทั้งด้วยกับการมีความศรัทธาที่แท้จริง จึงมีความสามารถในการปกป้องป้อมปราการแห่งการต้านทานนี้ นั่นคือ ฉนวนกาซ่า
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวขอบคุณต่อกลุ่มต่างๆในการยืนหยัดต้านทานในปาเลสไตน์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซะรอยาอัลกุดส์ จากขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อการต่อสู้ญิฮาด อิสลามี, กะตาอิบ อิซซุดดีน ก็อซซาม จากกลุ่มฮะมาส ,กะตาอิบ ชุฮะดาอ์อัลอักศอ จากกลุ่มฟัตฮ์, กะตาอิบอบูอะลี มุศฏอฟาจากแนวร่วมประชาชนเพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์ที่มีบทบาทสำคัญจากสงครามกับเผด็จการไซออนิสต์ในฉนวนกาซ่า
หนึ่งในเนื้อหาลำดับต่อไปของสุนทรพจน์ของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ท่านได้ชี้ถึงความจำเป็นในการตอบสนองความต้องการของประชาชาติปาเลสไตน์ และท่านยังเน้นเตือนถึงอันตรายในการมีอยู่ของเผด็จการไซออนิสต์ ว่า: กลุ่มมุกอวิมัต(ต้านทาน)จะต้องได้รับประโยชน์จากเครื่องมือที่จำเป็นในการต่อเนื่องของการกระทำของพวกเขา และในทิศทางนี้ ทุกประชาชาติและรัฐบาลในภูมิภาค อีกทั้งผู้เรียกร้องเสรีภาพของโลกจะต้องมีหน้าที่ในการตอบสนองความต้องการของประชาชาติที่ยืนหยัดนี้ โดยตามหลักการที่แท้จริงก็คือ การยืนหยัดและมั่นคงของประชาชาติปาเลสไตน์ ที่ได้อบรมสั่งสอนต่อลูกหลานของพวกเขาให้เป็นผู้กล้าหาญที่ยืนหยัดต่อสู้
ท่านผู้นำสูงสุด ยังกล่าวถึง หน้าที่ๆสำคัญ ในการตอบสนองความต้องการของประชาชนและกลุ่มมุกอวิมัตในปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่า นี่คือ หน้าที่ๆสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติและในกระบวนการนี้ก็ไม่ควรที่จะละเลยในการตอบสนองความต้องการของกลุ่มมุกอวิมัตในเขตเวสแบงก์ ที่แบกรับภาระในอินติฟาเฎาะฮ์เอาไว้
การมีวิสัยทัศน์ต่อผลกระทบของภาระกิจของกลุ่มมุกอวิมัตในปาเลสไตน์ คือ ประเด็นต่อไปในคำพูดของท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ในการประชุมสัมนาเพื่อสนับสนุนอินติฟาเฎาะฮ์ในปาเลสไตน์
ท่านผู้นำสูงสุด ได้เรียกร้องให้กลุ่มมุกอวิมัตในปาเลสไตน์ ถือว่าอดีตเป็นบทเรียนที่สำคัญ และคำแนะนำที่สำคัญโดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงกลุ่มมุกอวิมัตออกจากการมีความขัดแย้งกัน โดยเน้นว่า มุกอวิมัตและปาเลสไตน์ นั้นมีคุณค่าที่สูงส่งกว่าการขัดแย้งกันในระหว่างประเทศอิสลามกับชาติอาหรับ หรือการขัดแย้งภายใน หรือการขัดแย้งระหว่างชาติพันธ์และนิกาย ซึ่งประชาชนปาเลสไตน์ โดยเฉพาะกลุ่มมุกอวิมัตทั้งหลายจะต้องรู้ถึงคุณค่าในฐานะภาพของตนเองและจะไม่เข้าสู่กับสนามแห่งการขัดแย้งกัน
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หน้าที่ของทุกๆประเทศอิสลามและชาติอาหรับ และทุกๆกลุ่มการเคลื่อนไหวในอิสลามทั้งหลายจะต้องยึดมาเป็นวาระแห่งชาติในการช่วยเหลือในอุดมการณ์ปาเลสไตน์
โดยเสริมว่า การสนับสนุนมุกอวิมัต เป็นหน้าที่ของทุกคน และจะไม่มีผู้ใดที่จะคาดหวังในการช่วยเหลือกับพวกเขาอย่างเป็นพิเศษ
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังถือว่า เงื่อนไขอันเดียวที่จะให้การช่วยเหลือไปยังกลุ่มมุกอวิมัตในปาเลสไตน์ก็คือ การใช้จ่ายในการช่วยเหลือเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งขั้นพื้นฐานทางความคิดของประชาชนปาเลสไตน์และโครงสร้างของมุกอวิมัต และกล่าวว่า การยึดมั่นด้วยกับความคิดในการยืนหยัดต่อต้านศัตรูและการต้านทานในทุกมิติเป็นหลักประกันอย่างต่อเนื่องในการช่วยเหลืออันนี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ยังได้อธิบายถึงสถานภาพของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านที่มีต่อกลุ่มมุกอวิมัต โดยกล่าวว่า ฐานะภาพของเราที่มีไปยังมุกอวิมัต เป็นฐานะภาพที่มีหลักการอันจำเพาะ และไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มใดที่เฉพาะ และกลุ่มใดก็ตามที่ยืนหยัดในทิศทางนี้ เราจะร่วมอยู่ด้วยกับเขา และกลุ่มใดที่หันเหจากทิศทางนี้ เราก็จะออกห่างไกลจากพวกเขา
ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงข้อสรุปส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ของท่าน ซึ่งถือว่า เป็นประโยคในเชิงกลยุทธ์ ที่กล่าวว่า ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเรากับกลุ่มมุกอวิมัตแห่งอิสลาม โดยเฉพาะในการยึดมั่นของพวกเขากับหลักการในการยืนหยัดต้านทานเท่านั้น
ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มต่างๆในปาเลสไตน์ คือ อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเน้นว่า ความแตกต่างทางด้านความคิดเห็นที่มีวิธีการที่หลากหลาย นั้นคือ เรื่องของธรรมชาติทั่วไปและเป็นที่เข้าใจกันดี ตราบที่ยังมีขอบเขตจำกัดในเรื่องนี้ ก็จะเป็นการนำไปสู่การร่วมมือกันในการต่อสู้ของประชาชนปาเลสไตน์ได้
ท่านผู้นำ ยังถือว่า การนำความแตกต่างไปสู่ความขัดแย้งเป็นการก้าวเดินตามทิศทางที่ศัตรูกำหนดไว้เพื่อลดอำนาจและขีดความสามารถของขบวนการต่อสู้ โดยกล่าวว่า : การบริหารจัดการความขัดแย้งในทัศนคติและรสนิยมที่แตกต่างกัน ถือว่าเป็นศิลปะหนึ่งอของทุกๆขบวนการหลักที่จะต้องยึดมาดำเนินการ โดยมีการวางแบบแผนต่างๆในการต่อสู้ด้วยกับการมีความกดดันให้กับฝ่ายศัตรู อีกทั้งยังทำให้การต่อสู้นั้นมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำถึง "ความสามัคคีแห่งชาติบนพื้นฐานของการญิฮาด" ถือว่า เป็นความจำเป็นแห่งชาติสำหรับปาเลสไตน์ โดยกล่าวว่า หวังเป็นอย่างยิ่งที่ทุกๆกลุ่มในการเคลื่อนไหวทั้งหลายจะเพียรพยายามอย่างเต็มที่ในการดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพแห่งชาติ
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงอีกแผนการณ์ร้ายที่ต่อต้านมุกอวิมัต โดยกล่าวเสริมว่า มุกอวิมัตในวันต่างๆเหล่านี้ได้พบกับแผนการณ์ร้ายอื่นๆอีก และด้วยกับความพยายามของมิตรจอมปลอมเพื่อต้องการให้กลุ่มมุกอวิมัตและการอินติฟาเฎาะฮ์ของประชาชนปาเลสไตน์นั้นเบี่ยงเบนออกจากทิศทางที่แท้จริงของมัน และมีการใช้จ่ายกับข้อเสนอลับกับศัตรูของประชาชาติปาเลสไตน์
ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม เน้นว่า ถ้าหากว่ามีกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดทำให้ธงแห่งการมุกอวิมัต(ต้านทาน)กองลงกับพื้นดิน แน่นอนยิ่งก็จะมีอีกชนกลุ่มหนึ่งที่มาจากหัวใจของประชาชาติปาเลสไตน์ได้ลุกขึ้นชูธงผืนนั้นขี้นมาอีกครั้ง
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงบรรดาแขกผู้เข้าร่วมในที่ประชุมว่า แน่นอนว่า ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ประเด็นที่จะกล่าวกันในครั้งนี้ก็คือ ปัญหาปาเลสไตน์โดยเฉพาะ แต่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ที่หลายปีที่ผ่านมา เกิดความจำเป็นที่ล่าช้าในการแก้ไขปัญหาของปาเลสไตน์ และแน่นอนที่สุด วิกฤติที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆของภูมิภาคและประชาชาติอิสลาม ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่สิ่งที่ทำให้มีการประชุมในครั้งนี้ ก็คือ ประเด็นปัญหาปาเลสไตน์
ท่านผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ สามารถที่จะเป็นตัวอย่างให้กับบรรดามุสลิมทุกคนและประชาชาติทั้งหลายของภูมิภาค ด้วยกับความเหมือนของตนจะมาขจัดปัญหาที่ขัดแย้งกัน อีกทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาแต่ละปัญหาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในประชาชาติของศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ)
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ในช่วงท้ายของการกล่าวสุนทรพจน์ได้กล่าวขอบคุณบรรดาแขกผู้มีเกียรติ ,ประธานรัฐสภารัฐอิสลาม และบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐสภาในรัฐสภาครั้งที่ 10 ที่ได้ร่วมมือกันจัดประชุมในครั้งนี้ และขอดุอา (ขอพร) ให้กับบรรดาชุฮะดาอ์แห่งอิสลาม โดยเฉพาะบรรดาชุฮะดาอ์อันทรงเกียรติของกลุ่มมุกอวิมัตในการต่อสู้กับเผด็จการไซออนิสต์และบรรดานักต่อสู้ที่ยืนหยัด และเฉกเช่นกัน ดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของผู้ก่อตั้งรัฐอิสลาม ท่านอิมามโคมัยนี ที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในประเด็นปัญหาปาเลสไตน์ โดยขอความเมตตาจงมีแด่พวกท่านทั้งหลายด้วยเทอญ
และเช่นเดียวกัน ก่อนการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านผู้นำสูงสุด ในการประชุมครั้งนี้ ท่านยังชี้ถึงวันนี้เป็นวันครบรอบปีการเป็นชะฮีด (พลีชีพ) ของมัลคอล์ม เอกซ์ ผู้นำมุสลิมชนผิวดำ ชาวอเมริกา โดยท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้ขอให้บรรดาแขกผู้มีเกียรติร่วมกันอ่านซูเราะฮ์ฟาติฮะฮ์ เพื่ออุทิศให้กับดวงวิญญาณของเขา
ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม หลังจากการสิ้นสุดการกล่าวสุนทรพจน์ของท่าน ได้เข้าร่วมพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับบรรดาแขกผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนานานาชาติเพื่อให้การสนับสนุนอินติฟาเฎาะฮ์ในปาเลสไตน์