เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่(17 ธันวาคม) ที่ผ่านมา ข้าราชการ เอกอัครราชทูตของประเทศอิสลาม แขกผู้เข้าร่วมงานสัปดาห์เอกภาพและประชาชนทุกภาคส่วนได้เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า ในวันนี้มีสองความปรารถนาที่ขัดแย้งกัน "ความปรารถนาแห่งเอกภาพและสามัคคี" และ "ความปรารถนาแห่งความแตกแยก"และในสถานการณ์ที่มีความสำคัญนี้ "ต้องอาศัยการยึดมั่นในหลักคำสอนของอัลกุรอานและท่านศาสดา(ศ)” ในฐานะที่เป็นโอสถที่ทรงประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาความยากลำบากของโลกมุสลิม
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวาระคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)และวันคล้ายวันประสูติของท่านอิมามญะอ์ฟัร อัศศอดิก(อ) ว่า ความสำคัญของการมีอยู่ของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)นั้น ซึ่งในคัมภีร์อัลกุรอานพระองค์อัลลอฮ์(ซบ)ถือว่าการประทานนิอ์มัตอันยิ่งใหญ่ที่หาเทียบมิได้นี้เป็นหนี้บุญคุณเหนือมนุษย์ชาติทั้งมวล
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงประโยคของอัลกุรอาน “ความเมตตาสำหรับสากลจักรวาล” ว่า หลักคำสอนของทานศาสดาผู้ยิ่งใหญ่นั้นคือแนวทางแห่งความรอดพ้นสำหรับมวลประชาชาติ และกล่าวว่า ศัตรูของมนุษยชาติและเหล่าผู้อหังการต่างไม่เห็นด้วยกับคำสอนแห่งความผาสุกและความรุ่งโรจน์นี้ ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์(ซบ)ทรงมีคำบัญชาสั่งไปยังท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ) ว่านอกเหนือจากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและบรรดามุนาฟิกและการประนีประนอมกับพวกเขาแล้ว จงมุ่งมั่นในการญิฮาดต่อสู้และมีความเข้มงวดกับพวกเขา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า การญิฮาดกับศัตรูของศาสนาอิสลามและมนุษย์ชาตินั้นให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน บางครั้งการญิฮาดทางทหาร บางครั้งทางการเมืองและบางครั้งเงื่อนไขทางวัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ ประชาชาติอิสลามโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเผยแผ่ศาสนาและบรรดาเยาวชนควรศึกษาทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากหลักคำสอนที่มีชีวิตชีวาของบรมศาสดา(ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ))
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ระลึกถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของมหาอำนาจผู้อหังการและนักล่าอานานิคมที่จะสร้างความแตกแยกและสร้างความอ่อนแอให้กับมุสลิมว่า โลกมุสลิมในวันนี้กำลังประสบปัญหาและได้รับความเดือดร้อนอย่างมากมาย ซึ่ง"การเป็นเอกภาพ พันธมิตรความร่วมมือและก้าวข้ามความแตกต่างทางศาสนาและขบคิดภายใต้ร่มเงาของศาสนาอิสลาม"คือแนวทางของการแก้อุปสรรค์ปัญหาและความยากลำบากที่เกิดขึ้น
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า หากประชาชาติอิสลามและรัฐบาลมีความเป็นเอกภาพอเมริกาและยิวไซออนิสต์ต้องสูญเสียอำนาจในการกำหนดความปรารถนาของตนเหนือชาวมุสลิมและแผนการสมรู้ร่วมคิดที่จะทำให้ปาเลสไตน์ถูกลืมนั้นต้องล้มเหลว
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า การโจมตีและการฆ่าชาวมุสลิมพม่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไนจีเรียแอฟริกาตะวันตก และการเผชิญหน้าระหว่างชาวมุสลิมในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ของกลอุบายแห่งการสร้างความแตกแยกโดยเหล่ามหาอำนาจผู้อหังการ และกล่าวเสริมว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ชีอะฮ์อังกฤษและซุนนีอเมริกาเหมือนดาบสองคมที่คอยเติมเชื้อเพลิงแห่งความขัดแย้ง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงการเผชิญหน้าระหว่างความปรารถนาแห่งซาตานมารร้ายกับความปรารถนาแห่งเอกภาพ ว่า นโยบายเก่าของอังกฤษคือ สร้างความแตกแยกแล้วปกครองอันเป็นวาระที่แท้จริงของศัตรูของศาสนาอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงนโยบายและการกระทำของอังกฤษในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมาซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความชั่วร้ายความทุกข์ยากและเดือดร้อนของประชาชนในภูมิภาค ว่า เมื่อเร็วๆนี้อังกฤษได้เผยถึงความน่าอัปยศไร้ยางอายสิ้นดีที่ได้กล่าวหาและเรียกอิหร่านผู้ถูกกดขี่เป็นภัยคุกคามในภูมิภาคแต่ทุกคนรู้ว่าตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหานั้นคืออังกฤษที่เป็นแหล่งที่มาของภัยคุกคาม การสร้างความเสียหาย อันตรายและความทุกข์ยากอยู่ตลอดเวลา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การเพิ่มขึ้นในการดำเนินการต่อต้านอิสลามของเหล่ามหาอำนาจผู้อหังการหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามนั้นถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัวของพวกเขาการต่อการจัดตั้งและการสานต่ออุดมการณ์ของรัฐอิสลามที่ทรงอำนาจที่แข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรืองและเป็นต้นแบบและแบบอย่างสำหรับมวลมนุษยชาติ และกล่าวเสริมว่า ศัตรูแม้นว่าภายนอกจะกล่าวอ้างว่าได้ประนีประนอมและแสดงออกถึงความอ่อนโยนให้เห็นแต่ในด้านในที่แท้จริงมันมีความป่าเถื่อนและความรุนแรงและทุกประเทศจะต้องมีความพร้อมในการจัดการกับศัตรูที่ไร้ศีลธรรม ร้ายกาจและไร้ซึ่งความยุติธรรม
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า "เอกภาพ" เป็นการเตรียมความพร้อมที่สำคัญที่สุดสำหรับโลกอิสลาม และกล่าวว่า ทุกนิกายอิสลามไม่ว่าจะเป็นสุนนีและชีอะฮ์ต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการมีอยู่ของท่านศาสดา คัมภีร์กุรอ่านและกะอ์บะฮ์นั้นจงยึดมั่นให้เป็นศูนย์กลางของความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เรียกร้องประชาชาติและประเทศอิสลามทั้งหลายให้มีความเฉลียวฉลาดในการเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายของบรรดานักล่าอานานิคม ว่า ทำไมประเทศที่ภาพภายนอกเป็นอิสลามยอมรับคำพูดของศัตรูเกี่ยวกับภัยคุกคามและความเกลียดชังในโลกมุสลิม และปฏิบัติตามและเชื่อฟังอย่างชัดเจนต่อนโยบายของพวกเขา?
ในช่วงท้ายท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวกับประชาชาติอหร่านที่กำลังถูกทดสอบว่า "การสานต่อแนวทางอันรุ่งโรจน์ของอิหม่ามและการปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง" "การยืนหยัดต่อสู้กับศัตรู" "การปกป้องสัจธรรมอย่างเด็ดเดี่ยว" จะนำมาซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรีและความผาสุกทั้งโลกนี้ในปรโลกอย่างแน่นอน