เมื่อเช้าวันพุธที่ 19 ตุลาคม อัจฉริยชนและผู้ที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมทางวิทยาศาสตร์ เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม และถือว่าบรรดาเยาวชนที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมคือของขวัญอันทรงค่าของพระผู้เป็นเจ้าและอามานะห์ที่อยู่ในมือของบรรดาเจ้าหน้าที่ พร้อมกับย้ำถึงอย่าได้ละเลยในการป้องกันชุมชนวิทยาศาสตร์และเหล่าปัญญาชนของประเทศแม้แต่วินาทีเดียว และกล่าวเสริมว่า ด้วยการพึ่งพาอาศัยบรรดาปัญญาชาผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการภายใต้การสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ของคนรุ่นหนุ่มสาวและความเพียรพยายามและความกระตือรือร้นจะนำพาอิหร่านที่กว้างใหญ่กลายเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้า มีอำนาจ ประสิทธิภาพ มีเกียรติและเชิดชูธงชัยแห่งอารยธรรมใหม่ของอิสลาม
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า ปัญญาชนโดยเฉพาะปัญญาที่เป็นเยาวชนหนุ่มสาวคือของขวัญอันทรงค่าของพระผู้เป็นเจ้าและอามานะห์ที่อยู่ในมือของประชาชนและบรรดาเจ้าหน้าที่และกล่าวเสริมว่า ภาระหน้าที่ของบรรดาเจ้าหน้าที่ที่มีต่อของขวัญอันล้ำค่าของพระผู้เป็นเจ้านั้นคือการดูแลพวกเขาและพยายามค้นหาและให้การฝึกฝนพวกเขาให้มากขึ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่าบรรดาปัญญาชนก็เช่นกันที่ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ในการขอบคุณนิอฺมัตอันนี้ และควรอาศัยความรู้สึกแห่งความรับผิดชอบและใช้ศักยภาพและความสามารถในการขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้องอันเป็นการแสดงการขอบคุณ
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่าเหตุผลหลักที่ได้เน้นย้ำอยู่บ่อยครั้งในการเห็นคุณค่าของบรรดาปัญญาชนเยาวชนสาวและสนับสนุนพวกเขานั้นเพื่อสร้างความเข้มแข็งในหลักความเชื่อในสังคมว่า "เราสามารถทำได้" และกล่าวเสริมว่า แต่น่าเสียดายที่ในระยะเวลาที่ยาวนานแห่งยุคสมัยของ Qajar และปาห์ลาวี อันเป็นยีนส์(เชื้อ)แห่ง "ไร้ความสามารถ" "เราไม่สามารถทำได้" และ "การพึ่งพา" นั้นได้ถูกปลูกฝังและสูบฉีดให้กับประชาชนและเยาวชนในสังคมตลอดมาและในท้ายที่สุดเป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ มีทรัพยากรมนุษย์ทุกรูปแบบ ด้านวัตถุ เจ้าของประวัติศาสตร์และอารยะธรรมโบราณนั้นถูกตะวันตก เหยียดหยันและดูหมิ่น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ในสภาวการณ์เช่นนั้นการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ครั้งใหม่ และในความเป็นจริงแล้วการปฏิวัติก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในตนเองและสร้างความเชื่อมั่นและเข้าสู่สงครามแห่งความร่วมมือ
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า ตลอดช่วงเวลาแปดปีแห่งสงครามพิทักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ ได้สำแดงภาพลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจที่ชัดเจนของคำว่า “ความเชื่อมั่นในตนเอง” และเสริมกล่าวว่า แม้ว่าสงครามจะเป็นเหตุการณ์อันขมขื่น สร้างความเสียหายและความยากลำบาก แต่มันได้พิสูจน์ให้กับเยาวชนชาวอิหร่านว่า ด้วยการมอบหมายตนและไว้วางใจต่อพระองค์ การพึ่งพาความสามารถและขีดความสามารถภายในที่มีอยู่ สามารถมีชัยเหนือศัตรูที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจผู้ยิ่งใหญ่
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า แม้ว่าการปฏิวัติอิสลามสามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณ "เราทำได้" ในการเผชิญหน้ากับการ 'พึ่งพา' และส่งเสริมความเชื่อมั่นตนเองสู่สังคม แต่ฝ่ายตรงกันข้ามที่มีอัตลักษณ์แห่งการก่อสงครามอันหยั่งลึกซึ่งวันนี้ถูกเรียกว่า 'สงครามเย็น' ศัตรูพืชที่จะทำให้เกิดวัฒนธรรมของการพึ่งพา ได้มาในรูปแบบของลักษณะใหม่และน่าสนใจ
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า 'กระแสโลกาภิวัตน์' และคำแนะนำของอเมริกันและยุโรปที่มีมายังอิหร่านให้เข้าร่วม "ครอบครัวทั่วโลก" เป็นอีกกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนตามแบบฉบับของวัฒนธรรมของการพึ่งพา และกล่าวเสริมว่า การคัดค้านต่อการเข้าร่วมสังคมระหว่างประเทศที่ตะวันตกนำเสนอ มิได้หมายความว่าเป็นการต่อต้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่มันหมายถึงการมุกอวิมัต (ต้านทาน)ต่อวัฒนธรรมของอำนาจที่กำหนดต่อประเด็นเศรษฐกิจการเมืองและความมั่นคงของชาติ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า สาเหตุที่เจ้าหน้าที่ต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังและสนใจเป็นพิเศษกับปัญญาชนนั้นเนื่องจากมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับระบอบอิสลาม และกล่าวว่า ปัญญาชนคือ ตัวขับเคลื่อน(มอเตอร์) ในการบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ และบรรดาเจ้าหน้าที่ควรให้การให้ความใส่ใจเป็นพิเศษต่อปัญญาชนทั้งในภาคปฏิบัติ ความเห็นอกเห็นใจและการดำเนินการอย่างจริงจัง
จากนั้นท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้อธิบายถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของระบอบอิสลาม และกล่าวเสริมว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านควรจะกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า มีเกียรติ เจ้าของวาทกรรมใหม่ มีศักดิ์ศรี มีความรู้สึกภาคภูมิใจในเกียรติของตัวเอง เปี่ยมล้นไปด้วยจิตวิญญาณและความเชื่อและเป็นแบนเนอร์แห่งการถือธงอารยะธรรมอิสลามใหม่ ซึ่งให้บรรลุเป้าหมายอันทรงเกียรตินี้ ควรให้ความสำคัญกับบรรดาปัญญาชนและสำนึกในความโปรดปราน(นิอฺมัต)ของพระผู้เป็นเจ้า
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึง ความทุกข์ยากและปัญหาของมนุษย์ในวันนี้ และทางตันแห่งความโลกทัศน์ทางวัตถุ ทำให้โลกต้องการคำใหม่ในประเด็นของมนุษย์ชาติและประเด็นระหว่างประเทศ พร้อมกับกล่าวเสริมว่า การรณรงค์แข่งขันในการหาเสียงเลือกตั้งในอเมริกา และประเด็นปัญหาที่มีการพูดถึงระหว่างสองผู้สมัครเป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่ชัดเจนและกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของการไร้จิตวิญญาณและความเชื่อมั่นในเจ้าของแห่งอำนาจ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าหนึ่งในสองของผู้สมัครการเลือกตั้งในอเมริกา จะสามารถมองเห็นคำพูดและสถานะของพวกเขาเหล่านี้ จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของประเทศที่มีอำนาจความมั่งคั่ง ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากที่สุดและมีเครือข่ายสื่อที่ใหญ่สุดในโลก
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวเสริมในการกล่าวปราศรัยครั้งนี้ โดยถือว่า เพื่อให้ระบอบอิสลามบรรลุเป้าหมายที่สำคัญและยิ่งใหญ่ของตน จำต้องสร้างเยาชนที่มีความกล้าหาญ ซื่อสัตย์ มีการศึกษา นวัตกรรม ความมั่นใจในตนเอง กล้าหาญ มีชีวิตชีวาและมีแรงจูงใจ และกล่าวเสริมว่า เยาวชนรุ่นใหม่นี้เป็นเยาวชนแห่งนักปฏิวัติที่แท้จริงซึ่งต่างจากการสร้างภาพต่าง โดยที่การดำรงอยู่ของพวกเขาทั้งหมดจะทุ่มเทเพื่อความเจริญก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรือ
ของอิหร่าน
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า บทบาทของปัญญาชนในการก่อตัวและการสร้างแรงจูงใจกับเยาชนรุ่นใหม่ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ปัญญาชนสามารถใช้คามเพียรพยายามแห่งความสดเป็นแรงผลักดันและตัวขับเคลื่อน และเยาวชนรุ่นใหม่ของประเทศคือทุนหลักของชาติในการส่งเสริมให้มีการทำงานอย่างแข็งขัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ย้ำถึงคำกล่าวซ้ำๆเมื่อสิบห้าปีก่อน ในประเด็นขบวนการขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์และซอฟต์แวร์ และกล่าวเสริมว่า การความเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นที่น่ายินดีที่ได้รับการตอบรับจากบรรดาปัญญาชน อาจารย์และนักศึกษาที่สามารถก่อประโยชน์และผลที่ดีติดตามมา แต่ก็ยังเผชิญกับอุปสรรค์ปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจและทำการปรับปรุงแก้ไข
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง การหลอกลวงและกลอุบายของเหล่าศัตรูถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคเหล่านี้ และกล่าวเสริมว่า บางคนพอได้ยินคำว่าศัตรูก็จะออกอาการแสดงความไม่พอใจในทันที ซึ่งคำเตือนและการกล่าวซ้ำๆเช่นนี้ ก็เหมือนกับการกล่าวซ้ำของคำว่าซาตานในพระมหาคัมภีร์กุรอ่าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อการตื่นตัวและการรับรู้เป็นแบบถาวร และในความเป็นจริงแล้วคือ "การทำความเข้าใจในแผนการของการสมรู้ร่วมคิด" หาใช่เป็น "การขาดคะเนแห่งกลลวง"
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การหยุดการเคลื่อนไหวทางวิทยาศาสตร์ของอิหร่านคือวัตถุประสงค์หลักของศัตรู และกล่าวว่า ถ้าพวกเขาล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายนี้ ก็จะพยายามจะเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น และหากไม่ได้ผลอีก ก็หันมาทุ่มงบประมาณในการทำลายชื่อเสียงและสร้างความเสื่อมเสีย ดังนั้นทุกคนควรจะต้องระมัดระวัง และด้วยการขาดการไตร่ตรองอาจจะเป็นการช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายเหล่านี้
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า การเบี่ยงเบนและบิดเบือนในงานวิจัยและวิทยานิพนธ์อันเป็นความต้องการที่แท้จริงของอิหร่าน ถือเป็นช่วยเหลือในการเบี่ยงเบนความสนใจทางวิทยาศาสตร์ และกล่าวเสริมถึงกรณีตัวอย่างของการหมิ่นประมาทการในการเคลื่อนไหวนี้ ว่า จะมีการเชิญบุคคลหนึ่งในนามของนักวิทยาศาสตร์ของประเทศ จากนั้นเขาก็จะแพร่โปสเตอร์ขายเป็นวิทยานิพนธ์ต่างๆในอิหร่านแล้วทำการหมิ่นปัญญาชนคนหนุ่มสาวในอิหร่าน บุคคลเหล่านี้จริงๆแล้วใช่นักวิทยาศาสตร์หรือ ?
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อ้างอิงตามฐานข้อมูลโลก ว่า อัตราเฉลี่ยของของการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ของอิหร่านอยู่ในระดับ 13 เท่าของอัตราเฉลี่ยปานกลางของโลก และอัตราในความรวดเร็วด้านการพัฒนานี้ไม่ควรลดลงแต่ควรที่จะเพิ่มให้ขึ้นสูงไปอีก เพราะมิฉะนั้นเราจะล้าหลังด้านวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่บางคนบอกว่าการชะลอตัวของสถานะทางวิทยาศาสตร์ในประเทศว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของอิหร่านไม่ได้ลดลง แต่พึ่งรู้ว่าเราต้องยกสถานะทางวิทยาศาสตร์ของอิหร่านให้สูงขึ้นไม่ใช่เพียงแค่พอใจว่าสถานะของเราไม่ได้ต่ำลง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การสร้างข้อบกพร่องในการขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์ของประเทศจะก่อให้เกิดความสิ้นหวังให้กับปัญญาชนและเยาชนรุ่นใหม่อย่างแน่นอน และกล่าวย้ำว่า นี้คือการสูญเสียที่หนักหน่วง และมันจะไม่ได้รับการชดเชยอย่างง่ายดายและรวดเร็ว และจะทำให้บรรดานักวิชาการเยาวชนหนุ่มสาวของเขาหันไปสนใจยังประเทศอื่น ๆ
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การระบุตัวตนและการดึงขีดความสามารถของเยาวชนหนุ่มสาว เป็นหน้าที่ที่สำคัญของหน่วยงานต่างๆ และกล่าวเสริมว่า ก่อนที่ต่างชาติจะมีการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อดึงดูดทรัพยากรมนุษญ์ที่ทรงค่านี้ด้วยการจัดนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ภายในประเทศหรือในรูปแบบอื่นๆนั้น พวกท่านทั้งหลายจงค้นหาและการดึงดูดเยาวชนที่มีความชาญฉลาดเหล่านี้แล้วก็ให้การสนับสนุนพวกเขา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายประเด็นบางอย่างเพื่อสามารถเร่งในการขับเคลื่อนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความบารอกัตแบบก้าวกระโดด ว่า การสนับสนุนบริษัทฐานความรู้ "การขยายตัวเชิงปริมาณและการอัพเกรดคุณภาพของบริษัทเหล่านี้ " และ "การมีส่วนร่วมกับพวกเขาในโครงการต่างๆและหน่วยงานหลักของประเทศ" เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ควรการพิจารณาอย่างจริงจัง
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า “การส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฐานความรู้” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับบริษัทเหล่านี้ และกล่าวถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ว่า ควรเคร่งครัดในการตอบสนองความต้องการต่างของหน่วยงานภาครัฐด้วยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากบริษัทฐานความรู้เหล่านี้
การให้ความสำคัญอย่างจริงจังต่อการก่อตัวของบรรดาปัญญาชนในรั้วมหาวิทยาลัย" และ "การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการในการแก้ปัญหาหน่วยงานด้านความสามารถพิเศษแห่งชาติ” ถือเป็นอีกสองประเด็นหลักที่ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการเสริมสร้างการเคลื่อนไหวทางวิทยาศาสตร์
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงความสำคัญของมูลนิธิปัญญาชนแห่งชาติ และเรียกร้องให้เชื่อมั่นในความสามารถและความซื่อสัตย์ของ ดร. ซัตตารีย์ Stari รองประธานาธิบดีฝ่ายวิทยาศาสตร์ และกล่าวเสริมว่า ปัญหาที่มีอยู่ระหว่างรองประธานาธิบดีฝ่ายวิทยาศาสตร์กับมูลนิธิปัญญาชน ก่อให้เกิดความกังวล และควรมีการแยกแยะหรือแต่งตั้งกรรมการใหม่ที่มีรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อการแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า รายงานที่ได้รับกรณีของการชะลอหรือหยุดการวิจัยในแขนงสาขาที่สำคัญเช่นการบิน อวกาศ นิวเคลียร์ ดาวเทียม และด้านอื่น ๆ นั้นสร้างความกังวลอย่างมาก และกล่าวย้ำว่า บรรดาเจ้าหน้าควรให้ความสนใจอย่างเต็มที่ และโครงการที่มีความสำคัญเช่นนี้อย่างได้ชะลอตัว หรือกึ่งปิดหรือหยุดลง เนื่องจากว่าเมื่อก่อให้เกิดความเสียหายแล้ว จะทำให้นักวิทยาศาสตร์หนุ่มสาวเสียกำลังใจและนี่คือความเสี่ยงที่อันตรายมาก
ท่านผู้นำสูงสุดแสดงความพึงพอใจที่มีการจัดตั้งฝ่ายวัฒนธรรมในกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ย้ำถึงการส่งเสริมและยกระดับกิจกรรมทางวัฒนธรรมของกรมในการจัดค่ายญิฮาดีสำหรับบรรดาปัญญาชนถือเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่ง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้สรุปการปราศรัยในส่วนนี้ว่า วัตถุประสงค์หลักคือการจัดตั้งชุมชนและประเทศซึ่งนอกเหนือจากผลดัชนีทั่วโลก เช่น "ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ อำนาจและความมั่งคั่ง" และ "ความเชื่อ จิตวิญญาณและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" อันเปี่ยมล้นแล้ว และด้วยการดึงดูดหัวใจของประชาชาติให้หลุดพ้นจากความโง่เขลาและความมืดมน ซึ่งแน่นอนการบรรลุเป้าหมายนี้นั้นย่อมเป็นหน้าที่ของประชาชาติผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิหร่านและบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวในประเทศที่มีความสามารถและมีความชาญฉลาด
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง ปฏิกิริยาต่างๆของศัตรูแห่งอำนาจชั่วร้าย ว่า ไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกันผู้หนึ่งได้กล่าวว่าตราบใดที่อิหร่านยังคงสนับสนุนกลุ่มมุกอวะมะฮ์อยู่ ก็ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ประเด็นการยกเลิกการคว่ำบาตรทั้งหลายนั้นจะเกิดความคืบหน้าอย่างจริงจังหรือไม่ นี่ก็คือความจริงที่ข้าพเจ้าได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกกับบรรดาเจ้าหน้าที่
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่รัฐบาลอเมริกันผู้หนึ่งในการพบปะกับเจ้าหน้าที่อิหร่าน ที่กล่าวหาว่า “ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามมีมุมมองในแง่ร้ายต่ออเมริกา” และกล่าวเสริมว่า "ด้วยกับคำพูดเหล่านี้ยังจะสามารถมองพวกท่านในแง่ดีได้อย่างนั้นหรือ?"
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้หวนระลึกถึงคำพูดของท่านในการพบปะต่างๆทั้งส่วนตัวและโยรวมกับบรรดาเจ้าหน้าที่ ว่า เราได้กล่าวมาหลายครั้งแล้วว่าถ้าหากพวกท่านยอมถอยในประเด็นของนิวเคลียร์ พวกเขาก็จะรุกคืบปัญหาของขีปนาวุธ และถ้าหากพวกท่านยอมถอยอีก พวกเขาก็จะหยิบยกประเด็นการสนับสนุนกลุ่มมุกอวะมะฮ์ และหากพวกท่านยังคงถอยต่อไปอีก พวกเขาก็จะนำเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนมาวางเบื้องหน้า และหลังจากนั้นหากพวกท่านยอมรับหลักเกณฑ์ต่างๆ ของพวกเขา และพวกเขาก็จะรุกเข้าสู่การตัดหลักเกณฑ์ต่างๆ ทางด้านศาสนาในการปกครองออก
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงปฏิญาณล่าสุดของสหภาพยุโรปซึ่งในนั้นมีการเอ่ยถึงศักยภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกอันมากมายมหาศาลของอิหร่านว่า "คำพูดต่างๆ ที่เรากล่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติของอิหร่านนั้น เราไม่ได้คุยโวและโอ้อวด แต่มันคือความจริงที่ชาวตะวันตกเองก็ยอมรับมัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าย้ำว่า "แน่นอนรัฐบาลอเมริกันจะต่อสู้กับ"อิหร่านที่มีศักยภาพในการพัฒนาและมีการปกครองที่วางพื้นฐานอยู่บนอิสลาม" และการรับรู้และเข้าใจถึงสิ่งสำคัญนี้ในหมู่เยาวชนชั้นมันสมองและระดับปัญญาชนนั้น จะมีส่วนช่วยพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ อันเป็นประวัติศาสตร์ของพวกเขา"
ในภาคส่วนอื่นๆของการปราศรัยครั้งนี้ ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงเหตุการณ์อาชูรอเสมือนดวงอาทิตย์ที่ไม่มีวันลับขอบฟ้า และกล่าวเสริมว่า "เหตุการณ์อาชูรอ คือภาพที่แท้จริงของการต่อสู้ระหว่างนูร (แสงสว่าง) และความมืดมน (ซุลมะฮ์) และสงครามระหว่างศักดิ์ศรีกับความต่ำช้า โดยที่ผู้ที่ช่วยเสริมและเต็มความสมบูรณ์ให้กับแนวทางนี้คือท่านหญิงซัยนับ (อ.) และท่านอิมามซัจญาด (อ)