เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา (1 สิงหาคม) ประชาชนจากทุกแคว้นทั่วประเทศเข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม โดยถือว่า ปัญหาการใช้ชีวิตของประชาชนถือเป็นความกังวลที่ลึกสำหรับพวกเขาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเน้นย้ำการพึ่งพาความสามารถและศักยภาพภายในของประเทศในฐานะที่เป็นทางออกเดียวที่จะแก้ปัญหาของประชาชนว่า
การบรรลุข้อตกลกจะเป็นตัวอย่างและประสบการณ์หนึ่งสำหรับเราและการไม่ได้ผลใดๆในการเจรจากับอเมริกา การละเมิดสัญญาและเป็นตัวอย่างที่ได้พิสูจน์อีกครั้งว่าไม่สามารถไว้วางใจอเมริกาได้ และเป็นการบ่งชี้ว่า ความก้าวหน้าของประเทศและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนนั้น คือการใส่ใจต่อกิจการภายใน ไม่ใช่ศัตรูในภูมิภาคและทั่วโลกที่คอยเป็นอุปสรรค์สำหรับอิหร่านอย่างต่อเนื่อง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การปรากฏตัวของประชาชนจากหลากหลายสาขาอาชีพจากแคว้นและจังหวัดของประเทศในการพบปะครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า คนอิหร่านแม้จะมีภาษาเชื้อชาติและมัศฮับ(นิกาย)ที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้และพยายามให้อิหร่านเป็นแบบอย่างทางด้านศีลธรรมจิตวิญญาณและวัตถุของประเทศอิสลามหนึ่งในการแนะนำให้กับประชาคมโลก เพื่อให้ประเทศมุสลิมอื่น ๆได้ยืนหยัดต่อต้านนโยบายการสร้างความแตกแยกและการแสวงประโยชน์ของมหาอำนาจผู้อหังการ ซึ่งความภาคภูมิใจที่จะเดินบนทางเส้นทางอันเดียวกันนี้
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การเมืองและสังคมของประเทศหลังการปฏิวัติอิสลาม ถือว่าเป็นการประเมินที่มีความเป็นธรรมนั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง และกล่าวเสริมว่า อิหร่านในยุคสมัยของปาห์ลาวีผู้เผด็จการ ตกอยู่ในสภาพ "ใต้อำนาจ ล้าหลัง และอัปยศและต่ำต้อยสำหรับอเมริกาและอังกฤษ" แต่ในวันนี้กลายเป็นประเทศที่มีเกียรติและมีมหาอำนาจที่โดดเด่น ทำให้บรรดามหาอำนาจผู้อหังการเฝ้าจับตามองในระดับภูมิภาค และมีความพยายามใช้อำนาจและศักยภาพของตนที่มีอยู่เพื่อนำมาครอบงำในภูมิภาคแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงประสบการณ์ในอดีตและความเจริญรุ่งเรืองของอารยะธรรมอิสลามว่า เส้นทางของอิหร่านที่มีเกียรติที่ได้กลายเป็นประเทศอิสลามโมเดลนั้นมันจะใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งต้องใช้ความพยายามของบรรดาเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า วิธีเดียวที่จะทำให้อิหร่านกลายเป็นประเทศต้นแบบ คือ การพึ่งพาความสามารถและศักยภาพภายใน และกล่าวย้ำว่า การบรรลุซึ่งเป้าหมายนี้ต้องใช้กลยุทธ์และการวางแผนที่เหมาะสม ความเพียรพยายามในการทำงาน หลีกเลี่ยงความเกียจคร้าน ว่างงานและไม่เชื่อมั่นและไว้วางใจศัตรู
ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า บางครั้งบรรดาศัตรูจะสร้างปัญหาอุปสรรคต่างๆ ซึ่งสมเหตุสมผลที่เราจะขจัดปัญหาอุปสรรคต่างๆ ด้วยสติปัญญา และความรอบคอบ แต่จะต้องไม่ไว้วางใจต่อศัตรู
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประสบการณ์ “บัรญอม” (BARJAM) (การบรรลุข้อตกลง) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดต่อความจำเป็นที่จะต้องไว้วางใจต่อศัตรู และกล่าวเสริมว่า ในวันนี้แม้แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในการเจรจาตั้งแต่แรกก็ได้กล่าวซ้ำถึงข้อเท็จจริงนี้ว่าอเมริกาจะละเมิดสัญญา และสำหรับการประจบประแจงของตนก็เพื่อที่จะขัดขวางและทำลายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของอิหร่านกับประเทศอื่น ๆ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า ทั้งนี้ ทั้งนี้เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ได้กล่าวถึงบ่อยครั้งในประเด็นการไม่ไว้วางใจต่ออเมริกาแต่บางคนยากที่จะยอมรับความจริงอันนี้
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงการเจรจาล่าสุดหนึ่งบวกห้าในยุโรป เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ในระหว่างการประชุมเจรจา ฝ่ายอิหร่านได้ยำเตือนคู่เจรจา กรณีการละเมิดสัญญา การไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาและยังคงทำตัวเป็นอุปสรรค์ปัญหา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ทบทวนกรณีการบรรลุการเจรจาที่ผ่านมาแล้วหกเดือน และตั้งคำถามว่า ในข้อตกลงนั้นการคว่ำบาตรที่กดขี่จะไม่ถูกยกเลิกเพื่อให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นกระนั้นหรือ ในตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านพ้นไปนั้นสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ประชาชนสามารถจับต้องและสัมผัสเห็นได้หรือ ? หากการละเมิดสัญญาของอเมริกาไม่เกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไม่สามารถดำเนินกิจการต่างๆที่มากมายได้กระนั้นหรือ ?
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อ้างถ้อยคำของเจ้าหน้าที่ก่อนการบรรลุเจรจา ที่กล่าวว่า หลังจากที่บรรลุข้อตกลงกับอิหร่านแล้ว การคว่ำบาตรทั้งหมดต้องถูกยกเลิกในทันที แต่ทว่าในวันนี้กลับมีการพูดถึงการทยอยยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ?
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงเจตนารมณ์ของอเมริกันที่แสดงความหวังดีในการเขียนจดหมายมาในก่อนหน้านี้ ว่า ประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเคยกล่าวแล้วว่า ประเทศจะมองการเจรจานิวเคลียร์ในลักษณะของการเรียนรู้ประสบการณ์เท่านั้น เพื่อจะดูว่าอเมริกาจะทำอย่างไรในภาคปฏิบัติ และวันนี้ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาละเมิดสัญญาอีกทั้งยังหมกมุ่นในการใช้สมรู้ร่วมคิดและการทำลายล้าง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ย้ำถึง ประสบการณ์อันทรงค่าของอิหร่านจากพฤติกรรมของอเมริกาในกรณีของการบรรลุข้อตกลง โดยกล่าวว่า พวกเขาบอกว่า เรามาเจรจาร่วมกันในประเด็นระดับภูมิภาค แต่ประสบการณ์ของการบรรลุข้อตกลง บอกเราว่า การกระทำอันนี้ถือเป็นยาพิษที่จะนำมาซึ่งความหายนะ และไม่ว่าจะเรื่องใดไม่สามารถไว้วางใจอเมริกาได้เป็นอันขาด
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า หากศัตรูของมนุษย์ อย่างน้อยที่สุดถ้าเขายึดมั่นในข้อสัญญา ก็สามารถเจาจากับเขาได้ในบางกรณี แต่ถ้าเช่นอเมริกาที่มีความชั่วร้ายเช่นนี้แล้ว แม้นว่าพวกเขาจะส่งรอยยิ้มออกมาก็ยังไม่วายเว้นที่จะละเมิดข้อสัญญา เราไม่สามารถและไม่ควรเจรจากับเขาและนี่คือความจริงและนี่คือเหตุผลที่ข้าพเจ้ามีความเห็นที่ขัดแย้งอย่างต่อเนื่องกับการเจรจากับอเมริกา
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า ปัญหาความท้ายทายและปัญหาระดับภูมิภาคของอิหร่านและอเมริกานั้นไม่สามารถแก้ไขด้วยการเจรจา และกล่าวย้ำว่า ควรมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการขับเคลื่อนที่ถูกต้องเพื่อความก้าวหน้าของประเทศทั้งในด้านวัตถุและจิตวิญญาณ จากนั้นทุกคนจะเห็นว่าเราไม่ได้ไล่ตามศัตรู แต่ศัตรูต่างหากที่จะวิ่งไล่ตามเรา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ทางการทูต ว่า อเมริกาต้องการจะเอาทุกอย่างและพวกเขาจะไม่ยอมปล่อยอะไรให้หลุดมือได้ ดังนั้นการเจรจากับรัฐบาลเช่นนี้ นั้นหมายความว่า "การเบี่ยงเบนจากวิธีที่ถูกต้องของความก้าวหน้า พวกเขาจะเอาข้อได้เปรียบจากพวกท่าน และจะไม่ให้อะไรแก่พวกท่านเลย พวกเขาชอบใช้อำนาจบีบบังคับและละเมิดข้อสัญญา”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงคำพูดที่ยิ่งใหญ่ของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ที่กล่าวว่า อเมริกาคือชัยฏอน(ซาตาน)ตัวใหญ่ ว่า ตามที่โองการในคัมภีร์อัลกุรอาน กล่าวว่า ในวันกิยามัตซาตานจะพูดกับบรรดาไพร่พลและลูกน้องของเขา พวกเจ้าต้องโทษตัวของพวกเจ้าเอง ว่าทำไมเชื่อในคำสัญญาอันจอมปลอมของฉัน และในวันนี้ การไม่สนใจต่อการละเมิดสัญญาของอเมริกาและการไว้วางใจต่อพวกเขา ก็เป็นหนึ่งในความหมายที่ชัดเจนของโองการดังกล่าวในวันนี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เชิญชวนบรรดาเยาวชนและปัญญาชนของประเทศ ให้มีการพิจารณาไตร่ตรองต่อนโยบายของประเทศที่มีต่ออเมริกา และกล่าวเสริมว่า นโยบายเหล่านี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ การรู้จักศัตรู (ศัตรูศึกษา) รู้สถานการณ์จริงในประเทศและภูมิภาคและโลกที่จะเกิดขึ้น
ในเนื้อหาของการบรรยายส่วนถัดไปนั้น ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เน้นย้ำความจำเป็นในทางทฤษฎีและการปฏิบัติของบรรดาเจาหน้าที่ในการพึ่งพาความสามารถและศักยภาพภายในประเทศ การฟื้นฟูหน่วยขนาดเล็กและขนาดกลางและให้ความสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานความรู้เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้
ท่านผู้นำสูงสุดได้เชิญชวนประชาชนให้บริโภคสินค้าในประเทศรวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือน และกล่าวเสริมว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียใจว่า แม้จะมีการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการห้ามนำเข้าสินค้าต่างประเทศที่ ที่มีความคล้ายกันในประเทศ แต่ทว่าตามท้องตลาดกลับเต็มไปด้วยสินค้าจากต่างประเทศ และเพิ่มความกดดันต่อการผลิตในประเทศ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่าการจัดการอย่างเด็ดขาดกับพ่อค้ารายสำคัญที่ลักลอบขนขนาดใหญ่และสิ้นค้าเถื่อนทุกประเภทนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวเสริมว่า หากกระบวนการดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง จะทำให้การผลิตภายในประเทศ นั้นหมายความว่า จะเกิดอัตราการว่างงานของเยาวชน ภาวะเศรษฐกิจถดถอยและชีวิตที่ยากลำบากของประชาชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการเจรจากับอเมริกาและยุโรป แต่บรรดาเจ้าหน้าที่จะต้องรับผิดชอบและต้องดำเนินการ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า ปัญหาความท้าทายของการใช้ชีวิตของประชาชนนั้นให้ถือเป็นความกังวลลึกต่อเนื่องสำหรับตน และกล่าวเสริมว่า ในการคำปรึกษาต่างๆกับบรรดาผู้เชี่ยวชาญชี้ให้เห็นว่า แนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับการใส่ใจและพึ่งพาความสามารถและศักยภาพภายใน
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า การไปมาของบรรดานักธุรกิจต่างประเทศใช่วงที่ผ่านมา ถือว่ายังไม่บรรลุผลเท่าที่ควร และกล่าวย้ำว่า เป้าหมายของพวกเขาคือการครองตลาดผู้บริโภคในประเทศ ในขณะที่การแลกเปลี่ยนต้องนำไปสู่การลงทุนที่แท้จริงและการถ่ายโอนเทคโนโลยี
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่าการป้องกันการทุจริตภายในประเทศคือประเด็นที่สำคัญที่สุดและกล่าวว่า บรรดาที่น่ายินดี ที่บรรดาเจ้าหน้าที่ได้ออกมาประกาศอย่างชัดเจนที่จะกำจัดและป้องกันเงินเดือนที่สูงเกินเหตุและความเลยเถิด และในบางภาคส่วนก็มีความพยายามแล้ว ซึ่งจะต้องได้รับการพัฒนาและดำเนินการปฏิบัติต่อไป
ท่านผู้นำสูงสุดเรียกร้องให้บรรดาเจ้าหน้าที่ แสดงแบบอย่างที่มันขัดแย้งและตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของขุนนาง และกล่าวเสริมว่าเมื่อบรรดาชั้นขุนนางได้สร้างแบบอย่างให้กับสังคม สิ่งเหล่านี้ก็จะทยอยและซึมซับเข้าสู่ร่างกายของประชาชน ดังนั้นเราควรรับมืออย่างสมบูรณ์กับวัฒนธรรมขุนนางเหล่านี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงคำขวัญแห่งปีนี้ "ปีแห่งการยืนหยัดทางเศรษฐกิจและมุ่งสู่การปฏิบัติ” ว่า ทั้งนี้ก็เริ่มมีการดำเนินการไปแล้ว แต่ควรที่จะมีการขยายผลมากกว่านี้และจำต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
จากนั้นท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงปัญหาความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคในวันนี้ ในการวิเคราะห์กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมานั้นอเมริกามีหุ้นส่วนอย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์คาเมเนอี ถือว่าการมีความสัมพันธ์อย่างเปิดเผยของรัฐบาลซาอุฯ กับระบอบไซออนิสต์นั้น คือกริชที่แทงอยู่ข้างหลังของประชาชาติอิสลาม และกล่าวเสริมว่า การกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย คือบาปและการทรยศที่ใหญ่หลวง แต่ในความผิดที่ใหญ่หลวงนี้ รัฐบาลอเมริกันก็มีบทบาทเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลซาอุฯ คือผู้ดำเนินตาม เป็นผู้ถูกครอบงำและคอยมองปากของรัฐบาลอเมริกา
ท่านผู้นำสูงสุดได้ถือว่าการรุกรานเยเมน การทิ้งระเบิดอย่างไม่หยุดหย่อนใส่ "บ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน" และการเข่นฆ่าเด็กๆ อย่างต่อเนื่องเป็นอาชญากรรมร้ายแรงอีกประการหนึ่งของรัฐบาลซาอุฯ และกล่าวว่า อาชญากรรมเหล่านี้ก็เกิดขึ้นด้วยอาวุธต่างๆ ของอเมริกาและไฟเขียวของพวกเขา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า แต่น่าเสียดายที่ว่า หลังจากที่สหประชาชาติประณามการก่ออาชญากรรมในเรื่องนี้เป็นเวลานานหลายเดือน แต่ด้วยเงิน การคุกคามและการกดดันทำให้ต้องปิดปากเงียบ
ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า เลขาธิการสหประชาชาติต้องออกมายอมรับความอัปยศในครั้งนี้หลังจากถูกกดดัน แต่แทนที่ว่าออกมายอมรับควรที่จะลาออก ไม่ใช่ว่ายังอยู่ในตำแหน่งอีกต่อไปละทำการทรยศต่อมนุษยชาติ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง เหตุการณ์ในบาห์เรนและการใช้ทหารทหารต่างประเทศในการกดดันประชาชนในประเทศ ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการดำเนินการที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา และกล่าวเสริมว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียในวันนี้ได้อยู่ในมือของบรรดาบุคคลที่ไร้สมอง แต่การวิเคราะห์โดยละเอียดเกี่ยวกับปัญหาทั้งหลายนั้น แสดงให้เห็นว่า อเมริกาอยู่เบื้องหลังทุกปัญหาเหล่านี้
ท่านผู้นำสูงสุดยังได้ชี้ถึงบทบาทของรัฐบาลอเมริกันในการสร้างและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่บรรดากลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความขัดแย้งในประชาชาติอิสลาม การแพร่ขยาย "อิสลามแบบอามาวียะฮ์และมัรวาน" และการทำลายสร้างความเสื่อมเสียชื่อให้กับ "อิสลามที่แท้จริง" โดยกล่าวเสริมว่า รัฐบาลอเมริกันกล่าวอ้างว่าได้จัดตั้งพันธมิตรต่อสู้กับกลุ่มตักฟีรี ในขณะที่พวกเขาไม่ได้กระทำสิ่งใดที่มีผลในการต่อต้านทำลายพวกเหล่านั้นเลย และตามรายงานทั้งหลายนั้นยังให้การช่วยเหลือต่างๆ แก่พวกเขาอีกด้วย
ท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวว่า อย่างไรก็ตามวันนี้กลุ่มตักฟีรีได้หวนกลับมาสร้างปัญหาให้กับบรรดาผู้สนับสนุนของมันเองแล้ว เนื่องจากตามสำนวนของเราชาวอิหร่าน ใครก็ตามที่ปลูกลม เขาก็จะได้เก็บเกี่ยวพายุ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้สรุปเนื้อหาของการบรรยาย ว่า อเมริกาคือผู้สร้างให้เกิดความรุนแรงและปัญหาในระดับภูมิภาค และกล่าวย้ำว่า ประชาชนในภูมิภาคสามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้เอง และเราขอเชิญชวนให้รัฐบาลในภูมิภาคว่า ไม่สามารถไว้วางใจอเมริกาได้ และมองชาติอาหรับในฐานเป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของระบอบการปกครองยิวไซออนิสต์ในภูมิภาคและบรรลุเป้าหมายของมหาอำนาจผู้อหังการในภูมิภาคเท่านั้น
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า วิธีการแก้ปัญหาในภูมิภาคนี้ คือ "ความร่วมมือของประชาชาติและประเทศมุสลิม" และ "การยืนหยัดต่อสู้กับเป้าหมายของจักรวรรดิอเมริกาและบางรัฐบาลยุโรป " และกล่าวย้ำว่า จำต้องรู้ในเป้าหมายเหล่านี้ และยืนหยัดต่อสู้กับพวกเขา และประชาชาติของเราได้อยู่บนเส้นทางนี้อย่างมั่นคง
ทานผู้นำการปฏิวัติอิสลามย้ำว่า แม้ว่าอเมริกาจะมีความพยายามต่างๆนานา แผนการต่างๆของพกเขาถูกเปิดเผยออกมา และอเมริกาในวันนี้ยิ่งมีความอ่อนแอมากขึ้นในภูมิภาค
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความเป็นศัตรูของอเมริกาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกับสาธารณรัฐอิสลาม (แห่งอิหร่าน) เพียงเท่านั้น และกล่าวเสริมว่า ในกรณีล่าสุดของตุรกีมีข้อกล่าวหาที่แข็งแกร่งที่ว่า การทำรัฐประหารได้ถูกกระทำโดยการจัดเตรียมการของรัฐบาลอเมริกา หากประเด็นนี้ได้รับการพิสูจน์ชัดแล้ว มันจะเป็นเรื่องอื้อฉาวที่ร้ายแรงสำหรับอเมริกา
ท่านผู้นำสูงสุด ชี้ว่า ตุรกีเคยเป็นพันธมิตรที่ดีในภูมิภาคของอเมริกา และกล่าวเสริมว่า รัฐบาลอเมริกันเป็นผู้ต่อต้านอิสลามและกระแสการยอมรับอิสลาม ดังนั้นในตุรกีก็มีแนวโน้มต่างๆ เกี่ยวกับอิสลาม ดังนั้นพวกเขาจึงทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า จะอย่างไรก็ตามการปราบปรามในตุรกี และอเมริกาเป็นที่เกลียดชังในสายตาของประชาชนตุรกี ซึ่งอเมริกาในขณะนี้ กำลังตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมากขึ้นทุกวัน ทั้งในอิรัก ซีเรีย และพื้นที่อื่นๆทั่วโลกก็กำลังตกในสภาพเช่นนี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงพันธะสัญญาของพระองค์ที่จะทรงให้การช่วยเหลือผู้ช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ ว่า หากประชาชาติอิหร่านมีความเชื่อมั่นในพันธะสัญญาอันชัดเจนนี้แล้วก็จงเตรียมปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ซึ่งแน่นอนปัญหาทั้งหมดนี้จะได้รับการแก้ไข
ในช่วงแรกของการบรรยาย ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึง วาระใกล้เข้าสู่เดือนซุลกิอฺดะฮ์ (หนึ่งในสี่เดือนต้องห้าม) ว่า การที่ได้กล่าวว่าเป็นเดือนที่ต้องห้ามนั้นมันให้ความหมายว่าพระองค์ทรงให้เกียรติมากเป็นพิเศษต่อเดือนเหล่านี้ และการกระทำบางอย่างเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเดือนเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้เราจำต้องตระหนักและให้ความสำคัญต่อการให้เกียรติของพระองค์ต่อเดือนนี้ด้วยการหันหน้าเข้าสู่พระองค์ และพยายาม แสวงหาเรื่องราวจิตวิญญาณให้มาก