เนื่องในวโรกาสคล้ายวันประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในความเป็นศาสนทูตของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลาม(บิอ์ษัต) ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อล ) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (วันพฤหัสบดี 5 พฤษภาคม 2559) บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐ คณะทูตานุทูตของประเทศอิสลามในกรุงเตหะรานและครอบครัวชะฮุดาอ์ได้เข้าพบอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม
ในการพบปะกันครั้งนี้ ผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงความต่อเนื่องของสองปรากฏการณ์ “บิอ์ษัต” และ”ญาฮิลียะฮ์” (ยุคไร้อนารยชน) จากช่วงต้นของอิสลาม จนถึงยุคปัจจุบัน ลักษณะที่สำคัญของปรากฏการณ์ “บิอ์ษัต” คือ การมีสติปัญญาต่อการชี้นำโดยผ่านบรรดาศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า ส่วนลักษณะที่สำคัญของปรากฏการณ์ “ญาฮิลียะฮ์” ก็คือ ความปรารถนาทางเพศและความโกรธ ซึ่งท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า “วันนี้ หน้าที่ที่สำคัญของประชาชาติอิสลามคือ การต่อต้านกับญาฮิลียะฮ์ในยุคปัจจุบันที่นำโดยอเมริกา และสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้นเป็นผู้บุกเบิกของปรากฏการณ์บิอ์ษัต ซึ่งเป็นแนวทางที่ท่านอิมามผู้ทรงเกียรติเป็นผู้ปูทางโดยที่ไม่มีความหวาดกลัวต่ออำนาจต่างๆ ในการเคลื่อนไหวแนวทางของท่านต่อไป
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันมับอัษศาสดาผู้ทรงเกียรติของอิสลาม ต่อประชาชาติอิสลาม และประชาชนชาวอิหร่าน โดยท่านยกเหตุผลจากโองการอัลกุรอานในการอธิบายความหมายด้านลึกของประเด็นบิอ์ษัต และท่านกล่าวว่า มับอัษ ถือว่า เป็นวันอีด(เฉลิมฉลอง)ในการได้รับการแต่งตั้ง และเป็นวันแห่งการย้อนกลับสู่สัญชาติญาณดั้งเดิมของพระผู้เป็นเจ้า และการดำเนินชีวิตที่ควบคู่กับการใช้สติปัญญา เสรีภาพ ความยุติธรรมและความเป็นบ่าวของพระองค์ และหน้าที่ที่สำคัญของบรรดาศาสดาของพระองค์ ก็คือ การชี้นำมวลมนุษยชาติให้กลับคืนสู่ฟิฏเราะฮ์ (สัญชาตญาณดั้งเดิม)อันบริสุทธิ์และการใช้สติปัญญาโดยผ่านการปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์และหลักเตาฮีด
ท่านยังชี้ให้เห็นว่า เป็นความต้องการอย่างต่อเนื่องของมนุษย์ยังคำสอนต่างๆของการบิอ์ษัต และปรากฏการณ์ญาฮิลียะฮ์นั้นอยู่ตรงกันข้ามกับปรากฏการณ์บิอ์ษัต ท่านยังกล่าวเสริมว่า ปรากฏการณ์ญาฮิลียะฮ์มิได้เกี่ยวข้องกับยุคสมัยของท่านศาสดา แต่ทว่าเป็นแนวคิดอย่างต่อเนื่องที่ตรงกันข้ามกับการใช้สติปัญญาที่ได้รับการชี้นำจากบรรดาศาสดา ซึ่งในวันนี้ก็มีการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมีโครงสร้างอันใหม่เกิดขึ้น
ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติเน้นว่า ความปรารถนา ความโกรธและอารมณ์ใฝ่ต่ำ คือลักษณะของความเป็นญาฮิลียะฮ์ และท่านได้ย้ำอีกว่า ผลลัพท์ของแนวคิดญาฮิลียะฮ์จะพบกับความทุกข์ ความอัปยศอดสู ความไร้เกียรติยศ การเข่นฆ่ามนุษย์เป็นล้านๆคน และปล้นสะดมภ์ทรัพยากรของประชาชาติ และการทุจริตที่เห็นได้ชัดในตัวอย่างของทั้งสอง คือ สงครามระหว่างประเทศ
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของสองปรากฏการณ์ “ญาฮิลียะฮ์และบิอ์ษัต อยู่ในระดับพื้นฐานทางปัจเจกบุคคล และทางสังคม และระดับนานาชาติ โดยท่านกล่าวว่า ถ้าหากว่า ในระดับนานาชาติ พฤติกรรมของชาติมหาอำนาจ ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางปัญญาที่ได้รับการชี้นำจากบรรดาศาสดา โลกนี้ก็จะกลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้าหากว่า พฤติกรรมของพวกเขาตั้งอยู่บนอารมณ์ใฝ่ต่ำและการแสวงหาอำนาจ และการสร้างฟิตนะฮ์ (วิกฤติที่เลวร้าย) โลกนี้ก็จะกลายเป็นอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน”
ท่านถือว่า การเหยียบย่ำประเทศต่างๆภายใต้รองเท้าของลัทธิล่าอาณานิคม นี่คือตัวอย่างที่เด่นชัดของปรากฏการณ์ญาฮิลียะฮ์และท่านยังชี้ถึงการขโมยทรัพยากรและการที่อินเดียนั้นต้องนั่งอยู่นิ่งเงียบมาหลายสิบปี อันเป็นผลมาจากการล่าอาณานิคมของอังกฤษ และท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า สงครามและวิกฤติความเลวร้ายในวันนี้ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันตก ก็คือผลของการปฏิบัติตามแนวคิดญาฮิลียะฮ์และซาตานมารร้าย
ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม เน้นว่า การเคลื่อนไหวของขบวนการไซออนิสต์ที่มีต่อโลก เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของระบบของซาตาน โดยท่านกล่าวว่า สถานการณ์โลกในปัจจุบันเป็นผลมาจากเครือข่ายที่กว้างขวางของระบบทุนนิยมของไซออนิสต์ แม้ว่ารัฐบาลเฉกเช่น อเมริกา ก็ยังตกอยู่ในอิทธิพลและการแทรกซึมของขบวนการนี้ อีกทั้งในการมีอำนาจของขบวนการต่างๆและพรรคการเมืองทั้งหลายก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะปฏิบัติตามขบวนการไซออนิสต์ด้วยเช่นเดียวกัน
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สาเหตุหลักที่สำคัญของการเคลื่อนไหวของประชาชาติอิสลามและอิหร่านและการตื่นตัวของโลกอิสลาม ก็คือ การต่อต้านกับระบอบการปกครองที่ชั่วร้ายของไซออนิสต์ และกล่าวเพิ่มว่า ด้วยเหตุนี้ วันนี้ กระแสความหวาดกลัวต่ออิสลาม Islamophobia, ต่ออิหร่านและต่อชีอะฮ์ ถือว่า เป็นนโยบายที่ชัดเจนของอเมริกาและประเทศที่เป็นพันธมิตรกับเขา
ท่านผู้นำสูงสุดยังเสริมอีกว่า การมีสติและการตื่นตัวของประชาชนชาวอิหร่านและประเทศอิสลามในการต่อกรกับการเคลื่อนไหวที่ชั่วร้ายของมหาอำนาจ ถือว่า เป็นองค์ประกอบหลักของการทำให้พวกเขามีความโกรธเป็นอย่างมาก และท่านยังกล่าวอีกว่า ด้วยเหตุผลนี้เอง ที่อิหร่านขัดแย้งกับนโยบายของอเมริกาในภูมิภาคนี้ จึงเป็นเหตุให้มีการขู่ในการแซงชั่น เพราะว่า พวกเขาทราบเป็นอย่างดีว่า สาธารณรัฐอิสลาม เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติตามนโยบายของพวกเขาในภูมิภาคนี้
ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม เน้นว่า ผลของการปกครองตามแนวคิดญาฮิลียะฮ์และอำนาจของซาตาน คือ "การจลาจลและความชั่วร้าย" ท่านยังกล่าวอีกว่า ปรากฏการณ์ญาฮิลียะฮ์และความชั่วร้ายด้วยกับระเบิดปรมาณู เป็นเหตุให้มีมนุษย์หลายแสนคนต้องตกเป็นเหยื่อในฮิโรชิมา แต่หลังจากผ่านไปหลายปี พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะแสดงความขอโทษและในอิรัก ,อัฟฆานิสถาน และประเทศทั้งหลายอื่นๆ พวกเขาก็ได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเหล่านี้ โดยไม่คำนึงถึงตัวตนของพวกเขาแต่อย่างใด
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี เน้นว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านไม่มีวันที่จะเริ่มต้นในการก่อสงครามและการดำเนินการทางทหารกับประเทศใดๆ ทั้งสิ้น แต่ทว่าได้มีการประกาศถึงจุดยืนของตน และจะมีการประกาศด้วยเสียงอันดังออกไปอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำสูงสุด ยังชี้ให้เห็นถึง การตีความของท่านอิมามโคมัยนี ที่ว่า “อิสลามอนุรักษ์นิยม” ที่ควบคู่กับ”อิสลามแบบอเมริกา” ที่ทั้งสองนั้น ตรงกันข้ามกับ”อิสลามอันบริสุทธิ์” และท่านยังกล่าวเพิ่มว่า กลุ่มต่างๆที่ในวันนี้ ได้ใช้ชื่อของอิสลาม ก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดและสร้างความเสียหายมากที่สุด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชาติมหาอำนาจตะวันตก
ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เสริมว่า ชาติตะวันตกในรูปแบบภายนอก มีการจัดตั้งพันธมิตรในการต่อต้านกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิส แต่ในความเป็นจริงกับให้การสนับสนุนกลุ่มดังกล่าว และในการสร้างความหวาดกลัวต่ออิสลาม จากการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขาเรียกกลุ่มก่อการร้ายนี้ว่า รัฐอิสลาม เพื่อที่จะทำลายภาพลักษณ์ของอิสลาม
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังชี้ถึงการขยายตัวอย่างกว้างขวางของการเคลื่อนไหวของอิสลาม แม้ว่าจะมีกระแสความหวาดกลัวต่ออิสลามจากปรากฏการณ์ญาฮิลียะฮ์ก็ตาม ท่านเน้นย้ำว่า การเคลื่อนไหวของอิสลามด้วยกับการจัดตั้งระบอบการปกครองของอิสลามในอิหร่านที่มีความเข้มแข็งและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น จะยังคงดำเนินการต่อไปและจะพบกับความสำเร็จและชัยชนะอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำสูงสุด เน้นถึง ความจำเป็นในการมอบหมายการงานต่อพระเจ้าและการไม่หวาดกลัวต่อแผนการและภัยคุกคามอำนาจของชาติมหาอำนาจ โดยท่านกล่าวว่า
ในวันนี้ ประชาชาติอิสลาม รวมทั้งภาคประชาชน ,บรรดานักอัจฉริยะแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่รัฐ มีความรับผิดชอบหน้าที่ต่อการเคลื่อนไหวในอิสลาม และการต่อต้านกับปรากฏการณ์ญาฮิลียะฮ์ ซึ่งพวกเขาทั้งหลายนั้นมีหน้าที่ที่สำคัญที่ตั้งอยู่บนบ่าของพวกเขา หากว่าพวกเขาได้ปฏิบัติตามหน้าที่เหล่านี้ พวกเขาก็จะได้รับรางวัลจากพระผู้เป็นเจ้า และบุคคลใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของเขา การเคลื่อนไหวในอิสลามก็จะไม่หยุดนิ่งและจะดำเนินการต่อไปตามวิถีของมัน เพราะว่า การช่วยเหลืออิสลามและบรรดามุสลิมนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ก่อนการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม ฮุจญตุลอิสลาม โรฮานี ประธานาธิบดีอิหร่าน ถือว่า วันมับอัษเป็นวันแห่งความเมตตาสำหรับประชาคมโลก และกล่าวว่า : ท่านศาสดาของอิสลาม (ซ็อลฯ) มิได้เป็นเพียงศาสดาสำหรับชาวมุสลิมเท่านั้น แต่ท่านนั้นเป็นศาสดาสำหรับมวลมนุษยชาติทั้งหลาย ซึ่งท่านเป็นความเมตตาสำหรับพวกเขา เพราะว่าแนวทางแห่งการชี้นำนั้นได้ถูกวางให้กับประชาชนเหล่านั้น
ประธานาธิบดีอิหร่าน ยังชี้ให้เห็นถึงข้อกล่าวหาต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ ในโลก ที่เกิดขึ้นในนามของ “การก่อการร้าย”และ”ความรุนแรง” คือ การต่อต้านกับศาสนาอิสลาม โดยกล่าวว่า ในโลกวันนี้ บรรดาพวกที่ได้สร้างความหวาดกลัวต่ออิสลามและการออกห่างจากอิสลาม หากว่า พวกเขามีความเป็นธรรมและมองอุดมคติของอิสลาม จะเห็นถึงความยุติธรรมของท่านศาสดา ในการเผชิญหน้ากับบรรดามุชริก และบรรดาผู้ที่ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า
โรฮานี กล่าวว่า อีกนัยยะหนึ่ง ชาติมหาอำนาจตะวันตกได้ทำการต่อต้านอิสลามที่แท้จริงโดยการโฆษณาชวนเชื่อมาแล้วหลายศตวรรษที่ผ่านมา และอีกมุมหนึ่ง การคบมิตรที่โง่เขลา และสมุนทาสรับใช้พวกเขา เปรียบเสมือนดั่งกับเป็นกรรไกรด้ามหนึ่งที่มีสองคมที่จะเกิดอันตรายกับอิสลาม
ประธานาธิบดีอิหร่านได้ตั้งคำถามที่ว่า ใครคือ ผู้นำความหวาดกลัวและความไม่มั่นคงเข้ามาในภูมิภาคนี้และเป็นระยะเวลา 70 ปีมาแล้วที่มีระบบการปกครองของทรราช โดยเขาเน้นว่า รากฐานของความไม่มั่นคง,การก่อการร้าย และสงครามในภูมิภาคของเรา ล้วนเกิดมาจากจอมเผด็จการไซออนิสต์ทั้งสิ้น
โรฮานี ยังชี้ถึงการเข้ายึดครองอัฟฆานิสถาน การโจมตีอิรักและการสร้างความไม่สงบในภูมิภาค กล่าวว่า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในอาชญากรรมต่างๆ ก็คือ ไซออนิสต์และอเมริกา
ประธานาธิบดีอิหร่าน ถือว่า เป้าหมายสูงสุดของระบอบอิสลาม คือ การสร้างความสันติภาพและความมั่นคงในทั่วโลก และเสริมอีกว่า เราจะนิ่งเฉยได้อย่างไร ในขณะที่ประชาชนชาวเยเมน ในทุกๆวัน พวกเขาจะต้องถูกระเบิดอย่างโหดเหี้ยมโดยผู้ที่ดูแลมัสยิดอัลฮะรอม
โรฮานี เน้นอีกว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ถือว่า เป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคำชี้แนะจากท่านผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ในการปกป้องบรรดาผู้ที่ถูกกดขี่และน้อมรับต่อคำสั่งของผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ว่า “ในทุกๆที่ ที่มีบรรดาผู้ที่ถูกกดขี่ เราก็จะยื่นมือออกไปช่วยเหลือพวกเขาอย่างแน่นอน”