สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประธานาธิบดีอิรัค เข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

ฟูอาด มะอ์ศูม ประธานาธิบดีอีรัค พร้อมคณะเข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี

เมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ผ่านมา (24  พ.ย.)  ฟูอาด มะอ์ศูม ประธานาธิบดีอีรัค พร้อมคณะเข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม   ซึ่งท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า  ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยาวนานระหว่างชนชาติอิหร่านและอิรักนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เหนือความสัมพันธ์แบบประเทศเพื่อนบ้านและในภูมิภาคทั่วไป  พร้อมกับได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องรักษาความสามัคคีแห่งชาติในอิรัก  โดยกล่าวเสริมว่า  “ประชาชนชาวอิรักเป็นชนชาติใหญ่และมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่มั่นคง  มีศักยภาพที่สำคัญอย่างมาก มีเยาวชนคนหนุ่มสาวที่มีความแข็งแกร่งและชาญฉลาด ซึ่งควรที่จะนำเอาศักยภาพต่างๆเหล่านี้ มาใช้เพื่อให้อิรักก้าวสู่สถานะภาพที่เหมาะสมของตนได้อย่างแท้จริง”


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ว่า ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ความจริงใจและความรักความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ของประชาชนชาวอิรักและอิหร่าน ถือเป็นปรากฏการณ์ที่อัศจรรย์อย่างมาก   แม้นจะเกิดสงคราม 8 ปีระหว่างอิหร่านและอิรัก ที่ซัดดัมถูกกระตุ้นโดยชาวต่างชาติให้เกิดสงครามนั้นก็ตาม   และกล่าวเสริมว่า “การเดินขบวนในวันอัรบาอีนฮุซัยนี ก็เป็นกรณีตัวอย่าง ในความสัมพันธ์ที่เป็นฉันท์มิตร ระหว่างสองประเทศ  โดยที่ประชาชนชาวอิรักให้การต้อนรับผู้แสวงบุญชาวอิหร่าน ด้วยความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงโดยไม่ขาดตกบกพร่อง” 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า “ดังนั้น เจ้าหน้าที่ของอิหร่านและอิรัก ควรใช้โอกาสและบรรยากาศจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เพื่อสร้างประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  แสดงความพึงพอใจต่อความคืบหน้าล่าสุดในอิรัก ที่สามารถเอาชนะไอซิสได้ในบางส่วน   ซึ่งจำเป็นที่จะต้องรักษาความสามัคคีในอิรักนี้ให้ดี  โดยกล่าวย้ำว่า  “ในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลอิรัก ประธานาธิบดีมีตำแหน่งพิเศษที่โดดเด่น และสามารถมีบทบาทที่ทรงประสิทธิภาพในการลดความตึงเครียดและเพิ่มความสามัคคีได้เป็นอย่างดี” 


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงความพยายามของต่างชาติ ที่จะสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในอิรัก  ว่า  “ชาวอิรักไม่ว่าจะเป็นชีอะห์ หรือซุนนี  ชาวเคิร์ดและชาวอาหรับ ได้ร่วมกันใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษโดยไม่มีปัญหาใด ๆ   แต่น่าเสียดายที่บางประเทศในภูมิภาค อีกทั้งต่างชาติ ที่กำลังพยายามกระพือและสร้างความแตกแยกและความขัดแย้งให้เกิดขึ้น  ซึ่งในเรื่องนี้ จะต้องมีการต่อสู้และเผชิญหน้ากันอย่างจริงจัง และหลีกเลี่ยงข้ออ้างต่างๆที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง”


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งและการดึงความขัดแย้งเหล่านี้ เข้าสู่สนามของประชาชนชาวอิรัก ถือเป็นปัจจัยเบื้องต้น ในการเข้ามาแทรกแซงของต่างชาติ  และย้ำกล่าวว่า “อย่าปล่อยให้สหรัฐอเมริกาบังอาจเข้ามาแสดงทัศนะ และพูดถึงการย่อยสลาย และการแบ่งแยกอิรักเป็นอันขาด”


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า “ทำไมประเทศเช่นอิรัก อันเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์และมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี  ต้องถูกแบ่งแยกและย่อยสลายให้กลายเป็นพื้นที่เล็กๆและตกอยู่ในสภาพแห่งความความขัดแย้งและรุนแรงด้วย ??” 


ท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า  “แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่อิรัก มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศอื่น ๆ รวมทั้งอเมริกา แต่ต้องเป็นไปในลักษณะที่เอื้อผลประโยชน์ให้กับชาวอิรัก อย่าปล่อยให้สหรัฐอเมริกา จินตนาการว่าอิรักเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเป็นอันขาด ที่จะเข้ามาแสดงอะไรก็ได้ตามความอำเภอใจในการดำเนินการทุกอย่างในประเทศ” 

 

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า ด้วยกับประชาชาติที่ยิ่งใหญ่และบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวที่มีศักยภาพและชาญฉลาด อิรักในวันนี้ จึงมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับอิรักในวันวาน  โดยกล่าวเสริมว่า “เยาวชนอิรักในวันนี้ได้ตื่นตัวแล้ว และได้รับรู้ถึงศักยภาพและความสามารถของตน  ซึ่งเยาวชนคนหนุ่มสาวเช่นนี้จะไม่มีวันยอมอยู่ภายใต้การปกครองของอเมริกาอย่างแน่นอน” 


ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า กลุ่มอาสาสมัครในอิรัก ที่ผนึกกำลังต่อสู้ และทำสงครามกับไอซิสนั้น ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการตื่นตัว และเป็นพลังของเยาวชนอิรักอย่างแท้จริง  และกล่าวเสริมว่า “จะต้องอาศัยศักยภาพและความสามารถของเยาวชนที่มีอยู่เหล่านี้ ไปเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไปถึงสถานะภาพ และตำแหน่งที่เหมาะสมของตนเอง”  


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน พร้อมที่จะถ่ายทอดประสบการณ์และความสามารถในทุกด้าน ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การป้องกัน และการบริการสวัสดิการสังคม ให้กับอิรัก  โดยกล่าวเสริมว่า  “ควรสนับสนุนและพยายามยกระดับความร่วมมือ ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้มากขึ้นกว่าเดิม”  


ในการพบปะครั้งนี้ อะกอ ญิฮาน คีรีย์ รองประธานาธิบดีอิหร่านคนที่หนึ่งได้เข้าร่วมด้วย


ฟูอาด มะอ์ศูม ประธานาธิบดีอิรัก ได้แสดงความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้พบกับท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม  และได้ชี้ถึงสถานะภาพ และคำพูดที่ทรงอิทธิพลของท่านผู้นำสูงสุด ต่อประชาชนและรัฐบาลอิรัก ในฐานะที่ท่านเป็นมุจญตะฮิดและมัรเญีอ์ตักลีดผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอิสลาม  ว่า  “คำแนะนำของ ฯพณฯ เกี่ยวกับความรักความสามัคคีและหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในอิรักนั้น จะบังเกิดผลอย่างแน่นอน”

 

ประธานาธิบดี อิรัก กล่าวขอบคุณสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากจากการถูกกลุ่มไอซิสโจมตี   โดยชี้ถึง จุดร่วมของทั้งสองประเทศในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและศาสนา ว่า  เราต้องการที่จะขยายความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศและจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์จากอิหร่านในภาคส่วนต่างๆอย่างมาก 


ฟูอาด มะอ์ศูม ได้ประเมินสถานการณ์ทั่วไปในอิรัก และความสามัคคีภายในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น อยู่ในระดับขั้นที่ดี  และกล่าวเสริมว่า “ในการเผชิญหน้าต่อสู้กับไอซิส เราได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก  ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ มาจากการประสานงานและความร่วมมือระหว่างกองกำลังทหาร กลุ่มอาสาสมัครและกลุ่มนักรบของชาวเคริด์”  


700 /