เมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ผ่านมา บรรดานิสิตนักศึกษาและนักเรียนนับพันคน ได้เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การต่อสู้ของประชาชาติอิหร่าน คือ การต่อสู้ “ มีตรรกะ ที่ชาญฉลาด และอาศัยประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ในอดีต” พร้อมกับชี้ถึง ปัญหาและผลกระทบเนื่องจากความเชื่อมั่นต่ออเมริกา จากความมักง่ายของนักการเมืองบางคน ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา และกล่าวเสริมว่า “ อเมริกาในวันนี้ ก็คืออเมริกาในอดีต แต่ทว่าบางคนที่ดื้อด้าน หรืออ่อนหัด มีความพยายามจะทำให้ศัตรูที่ชั่วช้า ถูกลืมจากความคิดและอุดมการณ์ของประชาชาติ และถือเป็นการเปิดโอกาสที่เหมาะสมให้กับอเมริกา มาทำร้ายเราจากด้านหลัง
การพบปะครั้งนี้มีขึ้นเนื่องวันที่ สิบสาม ออบอน วันแห่งการต่อสู้กับมหาอำนาจผู้อหังการแห่งชาติ ซึ่งท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า ห้วงเวลาขณะนี้ คือช่วงเวลาแห่งการสร้างความมั่นคง ศักดิ์ศรีแห่งชาติและการทำนโยบายความก้าวหน้าของประชาชาติอิหร่าน การมีไหวพริบ รับรู้เข้าใจ และการมีบาศีรัตของประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะเยาวชนคนหนุ่มสาวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
ท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า กุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจและวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน และสรุปการขับเคลื่อนในอนาคตของประเทศ ต้องเข้าใจต่อข้อเท็จจริงที่ว่า การต่อสู้ของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและประชาชาติอิหร่านที่มีต่อมหาอำนาจผู้อหังการนั้น มันแตกต่างกับทัศนะของบางคนที่กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวที่มีตรรกะและความละเอียดอ่อน แต่ทว่า มันเกิดจากสติปัญญา ฐานความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการเผชิญกับปัญหาและการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ชี้ถึง ประสบการณ์ที่นำมาซึ่งบทเรียนต่างๆของประชาชาติทั้งหลาย เป็นสิ่งสกัดกั้น การคำนวณที่ผิดพลาด พร้อมกับกล่าวย้ำว่า แม้ว่าหากเราไม่นำเอาโองการที่พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานในประเด็น การยืนหยัดต่อสู้และการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจผู้อหังการ เหตุการณ์รัฐประหารครั้งยิ่งใหญ่ ที่อุบัติขึ้นในวันที่ 19 สิงหาคม 1953 ก็เพียงพอที่จะบ่งชี้แสดงให้เห็นว่า เราจะดำเนินการและตอบโต้อย่างไรกับอเมริกา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายเหตุการณ์ในห้วงเวลาที่สำคัญ ของอุตสาหกรรมน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งความไว้วางใจและการมอบความหวังให้กับอเมริกานั้น เป็นข้อผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ของ ดร. มุศ็อดดิก ( นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น) และกล่าวเสริมว่า มุศ็อดิก ได้พึ่งพาอาศัยอเมริกาในการเผชิญหน้าต่อสู้กับอังกฤษ และด้วยเจตนารมณ์ที่ดี แต่่อ่อนประสบการณ์ และความละเลย จึงเป็นเหตุให้การก่อรัฐประหารที่นำโดยอเมริกาจนประสบความสำเร็จ เป็นการก่อรัฐประหารหวังทำลายความพยายามทั้งหมดของอุตสาหกรรมน้ำมันแห่งชาติในประเทศ ที่ต้องสูญเสียและทำให้ระบอบการปกครองของชาห์ปาห์ลาวีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และตลอดช่วงเวลา 25 ปี อิหร่านต้องตกอยู่ภายใต้การโจมตีรุกราน ระดับชาติที่รุนแรงที่สุด ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ท่านอยาตุลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง การแทรกซึมอย่างลึกซึ้งของอเมริกันหลังจากการทำรัฐประหาร วันที่ 19 สิงหาคม 1953 ว่า ในการเผชิญกับความยากลำบากดังกล่าว ประเทศที่ไม่มีผู้นำที่ดี และเหมาะสม ก็จำต้องยอมจำนน แต่เราในฐานะเป็นประเทศที่รับความโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้า ภายใต้การชี้นำของท่านอิมาม โคมัยนี(รฎ) เริ่มตระหนักมากยิ่งขึ้นและเข้าใจอย่างแท้จริง และด้วยการเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิวัติอิสลาม ได้โจมตี ต่อสู้และเผชิญหน้ากับ รัฐบาลหุ่นเชิดของชาห์ปาลาวี ที่ได้รับการสนับสนุนหลักจากอเมริกา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เอ่ยถึงคำพูดของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ในปี 1963 เกี่ยวกับความเกลียดชังอย่างรุนแรงของประชาชาติอิหร่านต่อประธานาธิบดีอเมริกา ว่า ผู้นำที่แข็งแกร่ง และมีความมุ่งมั่นในพันธะสัญญาของพระเจ้า มีความเชื่อและศรัทธาที่ลึกซึ้ง ได้ทำการอธิบายประเด็นนี้ นับจากจุดเริ่มต้นของการก่อตัวขบวนการปฏิวัติและขบวนการเคลื่อนไหวว่า ทุกสิ่งที่ชั่วร้ายและแผนร้ายต่างๆล้วนแล้วมาจากอเมริกาทั้งสิ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามย้ำว่า อเมริกาเป็นศัตรูกับอิหร่าน นับจากวันแรกที่การปฏิวัติอิสลามอิหร่านประสบความสำเร็จและชัยชนะ และกล่าวเสริมว่า หลังการปฏิวัติอิสลาม ช่วงระยะเวลาหนึ่ง อเมริกาใช้สถานทูตในการสานสัมพันธ์กับรัฐบาลอิหร่าน ในขณะเดียวกันอเมริกาก็ได้ทำการโจมตีอิหร่านอยู่ทุกวัน และประสบการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ จำเป็นต้องให้ทุกคนได้รับรู้ การสานสัมพันธ์และการเป็นมิตรกับอเมริกา ไม่อาจทำให้อเมริกาหยุดและล้มเลิกการเป็นศัตรู การโจมตีและรุกรานได้เป็นอันขาด
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การบุกยึดสถานทูตอเมริกาในกรุงเตหะราน โดยกลุ่มนักศึกษานั้น เป็นการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ ต่อการให้ร้ายป้ายสีต่างๆของวอชิงตัน และตอบโต้ต่ออเมริกา ที่คอยให้ที่หลบซ่อนแก่ศัตรูที่แท้จริงของประชาชาติอิหร่าน คือ มุฮัมมัด ริฎอ ปาห์ลาวี พร้อมกับกล่าวเสริมว่า เอกสารที่ยึดได้จากสถานทูตอเมริกานั้น บ่งชี้ว่า ในช่วงการริเริ่มและการก่อตัวของขบวนการปฏิวัติอิสลามในการต่อสู้เผชิญหน้ากับระบอบทรราชชาห์ปาห์ลาวีนั้น อเมริกายังคงมีความพยายามในการเป็นปฏิปักษ์ และโจมตีประชาชาติอิหร่านอยู่ตลอดเวลา แม้หลังการปฏิวัติอิสลามสำเร็จก็ตามแต่
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึง คำพูด ของ นายพล ไฮเซอร์ ชาวอเมริกัน ที่มาอิหร่านในช่วงฤดูหนาวปี 1979 เพื่อช่วยเหลือระบอบการปกครองของชาห์ปาห์ลาวี ว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้น สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า อเมริกาให้การสนับสนุน ชี้นำและส่งเสริมบรรดานายพลต่างๆของระบอบการปกครองชาห์ปาห์ลาวี ให้สังหารประชาชนอิหร่าน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงผลงานความชั่วร้ายต่างๆนานาของอเมริกา อาทิเช่น ให้ความช่วยเหลือ
กลุ่มต่อต้านการปฏิวัติอิสลาม ก่อรัฐประหาร ซึ่งรู้จักในนามรัฐประหาร “โนเชะห์” ยุแหย่ ซัดดัมให้บุกโจมตีอิหร่าน และการให้สนับสนุนช่วยเหลืออย่างมหาศาลแก่รัฐบาลแบกแดดในช่วงสมัยแปดปีแห่งสงครามอิรักอิหร่าน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวย้ำว่า อเมริกาเข้าใจผิดและไร้ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงในอิหร่าน ซึ่งตลอดช่วงเวลา 37 ปีที่ผ่านมา จึงพยายามที่จะโค่นล้มการปฏิวัติอิสลาม แต่ทว่าด้วยความโปรดปรานของพระองค์ พวกเขาพบกับความล้มเหลว และหลังจากนี้ไปก็จะพ่ายแพ้และประสบความล้มเหลวอีกเช่นกัน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ชี้ว่า เป้าหมายในการทบทวนลูกโซ่แห่งความชั่วร้ายและหวังร้ายของอเมริกานั้น เพื่อให้รู้จักอเมริกาอย่างลึกซึ้ง และกล่าวเสริมว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มีบางกลุ่มที่กำเริบ หรือมีแนวคิดและอุดมการณ์แบบอเมริกัน และไร้มักง่าย ได้ละเลยในประสบการณ์อันโชกโชนของประชาชาติอิหร่านที่มีต่ออเมริกา ได้เห็นชอบต่ออเมริกา และมองโลกสวยเหมือนกับอเมริกา โดยกล่าวว่า “ ใช่ ในวันนั้น อเมริกาเคยเป็นศัตรูกับอิหร่าน แต่ทว่าในวันนี้อเมริกาได้ยกเลิกการโจมตีและรุกรานอิหร่านแล้ว”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า เป้าหมายในความพยายามเช่นนี้ เพื่อปกปิดความชั่วร้ายของศัตรูที่แท้จริงในความคิดของประชาชาติ เพื่อเปิดโอกาสให้อเมริกาสามารถสร้างความชั่วช้าของตนในที่ลับอีกต่อไป และเมื่อสบโอกาสก็จะใช้มีดทิ่มแทงจากด้านหลังทันที
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คือ เป้าหมายของอเมริกาที่มีต่ออิหร่านนั้นไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และหากพวกเขาสามารถที่จะทำลายล้างอิหร่านได้ พวกเขาก็จะไม่รีรออย่างแน่นอน แต่ทว่า เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสามารถพอ และด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ ภายใต้ร่มเงาแห่งความมุ่งมั่นของเยาวชนหนุ่มสาว การแพร่กระจายอย่างลุ่มลึกและบาศีรัตของประชาชาติอิหร่าน ซึ่งในอนาคตเป้าหมายของพวกเขา จะไม่มีวันบรรลุและประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึง ภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนของเจ้าหน้าที่อเมริกาในการเข้าร่วมเจรจา ว่า พฤติกรรมด้านในของอเมริกานั้น คือการดำเนินการปฏิบัติตน ตามเป้าหมายจากความป่าเถื่อนและรุนแรงนั้นเอง ซึ่งข้อเท็จจริงอันนี้ ประชาชาติอิหร่านจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน
ในประเด็นนี้ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า เจ้าหน้าที่อเมริกาบางคน ได้แสดงออกถึงความเกลียดชังต่อสงคราม อีกทั้งยังได้ร่ำไห้อีกด้วย ซึ่งบุคคลที่อ่อนต่อโลก อาจจะคล้อยเชื่อตามคำพูด และการแสดงครั้งนั้น แต่ทว่า การช่วยเหลือและการสนับสนุนที่มีมาอย่างไม่หยุดหย่อนของอเมริกา ต่อระบอบทรราชนักฆ่าอันอำมหิตของยิวไซออนิสต์ อีกทั้งสนับสนุนผู้ก่ออาชญากรรมอย่างโหดร้ายต่อประชาชนเยเมน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ มันได้กระชากความโกหกปลิ้นปล่อน ในการแอบอ้าง และการร้องไห้ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงความสัมพันธ์ที่ปรกติ ระหว่างอิหร่านกับชาติต่างๆทั่วโลก แม้แต่กับรัฐบาลที่หัวใจของเขายังไม่เป็นธรรมกับอิหร่านว่า ในมุมมองนี้ ประชาชาติอิหร่าน เนื่องจากอเมริกาเป็นชาติที่คอยจะโจมตีรุกรานประชาชาติอิหร่าน และจะโค่นล้มสาธารณรัฐอิสลามอยู่ตลอดเวลานั้น จะไม่มีวัน ที่จะมองว่า เขาเป็นมิตรต่อเรา และเราไม่มีวันยอมยื่นมือผูกสัมพันธ์กับเขาอย่างแน่นอน เนื่องจาก “หลักชะรีอัต สติปัญญา สัญชาติญาณและความเป็นมนุษย์”นั้นไม่อนุญาตให้เราเป็นมิตรกับพวกเขา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง การดำเนินการและความพยายามอย่างต่อเนื่องของอเมริกาในทุกด้าน ในการทำลายบั่นทอนสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ว่า พวกเขาจะค่อยๆเข้าใจและรับรู้ว่า สาเหตุและเหตุผลของการยืนหยัดต่อสู้ของประชาติอิหร่านนั้น คือความศรัทธา ค่านิยมและศรัทธาในหลักความเชื่อของศาสนา และด้วยเหตุผลอันนี้ ในวันนี้อเมริกา จึงใช้สื่อและเครื่องมือต่างๆโหมกระหน่ำทำลายหลักความเชื่อหลักความศรัทธาและค่านิยมเหล่านี้ ซึ่งนักศึกษา ปัญญาชน และบรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวของเราจะสามารถทำให้เล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาต้องล้มเหลวและไร้ผลอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า ศัตรูมีความพยายามอย่างหนักที่จะทำให้มหาลัยต่างๆนั้นเป็นดั่งมหาลัยในยุคสมัยของชาห์ปาห์ลาวีผู้ต่ำต้อย ที่จะเชื่อมสัมพันธ์ให้โน้มเอียงไปยังตะวันตก พร้อมกับกล่าวย้ำว่า แต่ทว่า ด้วยความเฉลียวฉลาดของเยาวชนอันเป็นสุดที่รักของเรา สามารถเปลี่ยนมหาวิทยาลัยของเรา กลายเป็นสะพานสู่ความเจริญรุ่งเรืองและพัฒนาสู่อุดมการณ์อันสูงส่งในแบบยั่งยืน อีกทั้งเยาวชนของเราสามารถรักษาอิทธิพลอันนี้ได้เป็นอย่างดีเรื่อยมา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความเจริญรุ่งเรือง และอำนาจอันแข็งแกร่งของประชาชาติอิหร่านนั้น ทำให้ศัตรูหันหน้ามาสู่การเจรจานิวเคลียร์ และกล่าวเสริมว่า ในการเจรจานิวเคลียร์ พวกเขาก็ใช้นโยบายที่ก้าวร้าว โดยหวังว่าประชาชาติอิหร่านจะอ่อนข้อลง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า การเพิกเฉยและการละเลยต่อศัตรูหลักและการทะเลาะเบาะแว้งภายในนั้น เป็นภัยอันตรายที่ร้ายแรง และกล่าวย้ำว่า บางคนเนื่องจากความอ่อนแอที่เกิดขึ้นภายใน ทำให้หลงลืมศัตรูตัวจริงที่อยู่ภายนอก
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า อย่าได้สับสนระหว่างศัตรู กับบรรดาบุคคลที่ขัดแย้งกับศัตรู ศัตรูคือผู้ที่คอยจ้องจะบ่อนทำลายและโจมตีประชาชาติอยู่ตลอดเวลา และต้องการสถาปนารัฐบาลหุ่นเชิดขึ้นมาปกครองเพื่อสนองผลประโยชน์ และยอมสยบต่อตะวันตก และศัตรูที่มีความอคติ รอบรู้ และความเพียรพยายามเช่นนี้ตลอดมา ดังนั้นจงอย่าได้หลงลืมเป็นอันขาด ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวการณ์ใดก็ตาม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า คำติชมคือแหล่งที่มาของความคืบหน้า และสังคมนอกจากนี้ยังสร้างความเป็นอิสระและมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่ไม่ควรที่จะลืมคำพูดครั้งประวัติศาสตร์ของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ที่กล่าวอยู่เสมอว่า “หากมีสโลแกนประณามใดๆ ก็จงเทมันลงไปที่หัวของสหรัฐ ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กำชับแนะนำให้กับบรรดาเยาวชน ให้มีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามอย่างแท้จริงในการศึกษาหาความรู้ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ยกระดับและเพิ่มพูนความรู้ และความสามารถในการวิเคราะห์ และกล่าวเสริมว่า เสียงของประชาชาติอิหร่านคือเสียงที่ชัดเจนแจ่มแจ้งโปร่งใส ที่ได้ประกาศก้องอย่างชัดเจน ในสถานการณ์โลกกำลังที่กลาโหลวุ่นวาย และต่อต้านการกดขี่ การใช้อำนาจบาตรใหญ่และการล่าอานานิคม อีกทั้งเสียงของประชาชาติอิหร่าน สามารถดึงดูดหัวใจของประชาชาติ และปัญญาชนทั้งหลายได้อย่างดี ดังนั้นจงอย่าปล่อยให้เสียงอันชัดเจนแจ่มแจ้งนี้ หลุดมือไป
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวปราศรัยในท่ามกลางเสียงของบรรดานักศึกษาที่พากันตะโกน สโลแกน“อเมริกาจงพินาศ” ว่า สโลแกน อเมริกาจงพินาศ ของประชาชาติอิหร่านนั้น มันมาจากพื้นฐานอันมั่นคงและหนักแน่นของหลักสติปัญญาและตรรกะที่มาจากรัฐธรรมนูญที่อยู่เบื้องหลังและหลักความคิดที่ว่า เราไม่มีวันตกอยู่ภายใต้การถูกกดขี่เป็นอันขาด
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า สโลแกนอเมริกาจงพินาศ มีเป้าหมายไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ใช่ประชาชนในประเทศ และตรรกะเช่นนี้หากมีการนำเสนอยังประชาชาติทั้งหลาย พวกเขาก็จะต้องยอมรับ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวทิ้งทาย โดยย้ำว่า ประชาชาติอิหร่านจะยังคงมุ่งมั่น และเต็มไปด้วยความหวังในการก้าวเดินบนหนทางของตน และเยาวชนของเราในวันนี้ “เป็นเยาวชนที่มีความศรัทธามั่น มีบาศีรัต และพึ่งพาอาศัยหลักเกณฑ์และพื้นฐานหลัก” ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราจะประจักษ์เห็นยุคสมัยที่ประชาชาติทั้งหลายจะหลุดพ้นจากร่มเงาแห่งความน่ากลัว ซึ่งประชาชาติอิหร่านและเยาวชนอิหร่านที่เป็นสุดที่รักนั้น จะเป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบให้กับประชาชาติเหล่านี้