เมื่อเช้าวันพุธที่ 7 ตุลาคม บรรดาเจ้าหน้าที่ ผู้บัญชาการกองทัพเรือ กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามอิหร่าน และครอบครัว พร้อมด้วยครอบครัวบรรดาชะฮีดของกองกำลังดังกล่าว ได้เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงบทบาทของบรรดาเยาวชนนักปฏิวัติผู้เป็นนาวิกโยธินของกองกำลังซีพอฮ์ และบรรดาเยาวชนผู้กล้าหาญในภาคใต้ของประเทศ ในการรักษาความปลอดภัยทางทะเลและการสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรู พร้อมกับกล่าวย้ำว่า “ ศัตรูมีความพยายามที่จะเปลี่ยนการคำนวณคิด และการเปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนโดยเฉพาะในหมู่เยาวชนคนหนุ่มสาว ซึ่งทุกคนจะต้องมีความเฉลียวฉลาดและตื่นตัว”
ในการพบปะครั้งนี้ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง ความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยทางทะแล ว่า การเตรียมพร้อมจะต้องเป็นไปในลักษณะที่ว่า อยู่บนพื้นฐานแห่งหลักคำสอนของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เพื่อสามารถข่มขู่และสร้างความหวาดกลัวให้กับศัตรู อีกทั้งทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้ามารุกรานเรา และหากแผ่นดินเรามีช่องโหว่ที่สามารถเข้ามาแทรกแซงแล้ว แน่นอนศัตรูก็จะเข้ามาปรากฏทันที
ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวย้ำว่า “ในวันนี้ ด้วยบารอกัตของการจัดตั้งแนวรบของการปฏิวัติ ทั้งในทางภาคใต้ได้มีการจัดตั้งหน่วยนาวิกโยธินของกองกำลังซีพอฮ์ และบรรดาเยาวชนผู้มีความกล้าหาญที่อยู่ในภาคใต้นั้น สามารถข่มขู่ ข่มขวัญและสร้างความหวาดกลับให้กับศัตรูได้สำเร็จตามคำสั่งของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน”
ผู้บัญชาการสูงสุดของสามเหล่าทัพ ได้ชี้ว่า “เราไม่มีวันเริ่มทำสงครามก่อนอย่างแน่นอน พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ธรรมชาติของศัตรูนั้น มักจะรุกรานและแทรกแซงอยู่ตลอด ดังนั้นจำต้องมีการพัฒนาความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และอาวุธยุทโธปกรณ์ในรูปแบบของนวัตกรรมที่ใหม่ ให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามอิสลาม ถือว่า “การเสริมเคี้ยวเล็บในหน่วยนาวิกโยธินของซีพอฮ์ และกองทัพเรือนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก และได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการคงไว้ซึ่งการรำลึกที่มีชีวิตชีวา ในเรื่องราวของเยาวชนที่มีความศรัทธาและเยาวชที่เป็นนักปฏิวัติ เช่น ชะฮีด นาเดร มะฮ์ดาวีย์ และสหายร่วมอุดมการณ์ที่ได้ยืนหยัดต่อสู้กับเรือรบของอเมริกาอย่างห้าวหาญ และได้สอนบทเรียนอันล้ำค่าที่ไม่มีวันลืมให้กับพวกเขา ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า ด้วยความกล้าหาญและการยืนหยัดต่อต่อสู้เหล่านี้ ทำให้ศัตรูอิสลามได้เข้าใจและตระหนักแล้วว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านไม่ใช่ระบอบที่พวกเขาสามารถกระทำและแสดงออกตามความอำเภอใจได้”
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ยกย่องการเข้าร่วมของบรรดาครอบครัว โดยเฉพาะบรรดาภรรยาของผู้บัญชาการและเจ้าหน้าที่ของกองทัพเรือในเขตพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงโปรแกรมที่อันตรายของชาติมหาอำนาจสำหรับภูมิภาค และได้ตอกย้ำ ว่า “มหาอำนาจเหล่านี้ ไม่รู้สึกอะไรเลยในการใช้อาวุธที่เป็นอันตรายและร้ายแรง และวิธีการที่ไร้มนุษยธรรมในการฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ข้อแอบอ้างของพวกเขาในการปกป้องสิทธิมนุษย์ชนและสิทธิพลเมืองนั้น มันคัดแย้งกับความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ไร้สาระและไร้ประโยชน์สิ้นดี”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การโจมตีโรงพยาบาลในอัฟกานิสถาน การเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ในซีเรีย อิรัก เยเมน ปาเลสไตน์และบาห์เรน คือตัวอย่างของความหายนะ และภัยพิบัติที่เกิดขึ้น จากน้ำมือของมหาอำนาจผู้อหังการ มหาอำนาจที่มีความโหดเหี้ยมและหัวใจที่แข็งกระด้าง พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ในวันนี้ภัยอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดในโลก คือความกลับกลอก การเสแสร้ง และการโกหกแอบอ้างเพื่อเรียกร้องและปกป้องสิทธิมนุษยชน
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึง บทบาทของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในเหตุการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค ว่า ใน “สถานการณ์เช่นนี้ สาธารณรัฐอิสลาม ด้วยกับความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้า นอกเหนือจากสามารถป้องกันการแทรกแซงของศัตรูภายในประเทศแล้ว ในหลายๆกรณีก็ยังสามารถสกัดกั้นและหยุดการดำเนินการแผนการร้ายต่างๆของศัตรูในภูมิภาคอีกด้วย”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง ความล้มเหลวของศัตรูในภูมิภาคและภายในประเทศ เนื่องจากบารอกัตของการเฝ้าระวัง ตื่นตัว เตรียมความพร้อมและความมุ่งมั่นของเยาวชนนักปฏิวัติและอำนาจของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านในภูมิภาค และกล่าวย้ำว่า “บนพื้นฐานอันนี้ ความพยายามและการวางแผนของมหาอำนาจผู้อหังการนั้น ส่วนมากแล้วเพื่อเป็นศัตรูกับระบอบอิสลามแห่งอิหร่าน และคำกล่าวอ้างของอเมริกาในการเจรจากับอิหร่านนั้นก็อยู่ในบริบทเหล่านั้น นั้นคือ เพื่อการแทรกแซง”
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ตำหนิบุคคลที่หละหลวม และมักง่ายในความคิดที่ไม่ได้ตระหนักและไม่ทำความเข้าใจในมิติและความลึกซึ้งของประเด็นนี้ “นอกเหนือจากบุคคลที่มักง่ายในความคิดแล้ว ยังมีกลุ่มบุคคลที่ไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง แผนงานในบางประเด็นจากบุคคลที่หละหลวม มักง่ายและขาดประสบการณ์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองกับอเมริกา ว่า “บุคคลเหล่านี้จะอ้างและพูดว่า ท่านอิมามอาลี(อ)และท่านอิมามฮุเซน(อ) ก็ยังได้ทำการเจรจากับศัตรูของตัวเอง แล้วเหตุใด ในวันนี้จึงมีการต่อต้านในการเจรจากับอเมริกาด้วย ??”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตอบข้อสงสัยดังกล่าว ว่า “การวิเคราะห์เช่นนี้โดยเฉพาะในประเด็นประวัติศาสตร์อิสลาม และประเด็นในประเทศนั้น มาจากผลของความมักง่ายในความคิด ขาดประสบการณ์ และการที่อิมามอาลี(อ)ได้ทำการเจรจากับซูเบร์ และอิมามฮุเซน(อ)ทำการเจรจากับอุมัร บิน สะอด์ นั้น หาใช่เป็นการเจรจาที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่มีความหมายในการแลกเปลี่ยนต่อรอง เนื่องจากทั้งสองท่าน ได้หันหน้าเข้าหาฝ่ายตรงกันข้าม เพื่อทำการตักเตือนและให้พวกเขามีความยำเกรงต่อพระองค์”
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า “เป็นที่น่าเสียดายที่บางคน ออกมากล่าวอ้างในการเจรจาของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านกับซาตานตัวใหญ่ ด้วยโลกทัศน์แบบอาวาม (ประชาชนทั่วไป) ได้มีการนำเสนอประเด็นเหล่านี้ทางหนังสือพิมพ์ การบรรยายและสื่อโลกออนไลน์ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ย้ำว่า “อิหร่านไม่มีการคัดค้านในหลักการของการเจรจาต่อรองกับประเทศต่างๆทั้งชาติยุโรปและที่ไม่ใช่ชาติยุโรป พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ประเด็นอเมริกานั้นมันมีความแตกต่างกัน เนื่องจากพวกเขาให้คำจำกัดความที่พวกเขาให้มาในการเจรจากับสาธารณรัฐอิสลาม นั้นคือ การแทรกแซงและการเปิดช่องทางให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในประเทศ”
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า อเมริกาเป็นเพื่อนร่วมทางและให้ความร่วมมือกับขบวนการยิวไซออนิสต์ที่เป็นปฏิปักษ์กับมนุษยชาติ และกล่าวย้ำว่า “ การเจรจาต่อรองกับอเมริกานั้นเป็นการเปิดทางเพื่อเข้ามาแทรกแซง มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมืองและความมั่นคงในประเทศ”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงการเจรจานิวเคลียร์ล่าสุด และกล่าวเสริมว่า “การเจรจาครั้งนี้ ฝ่ายตรงกันข้าม มีความพยายามอย่างมากที่จะใช้ทุกโอกาสในการเข้ามาแทรกแซง และขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของประเทศ แต่ทว่า คณะเจรจาอิหร่าน ยังตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และแล้วอเมริกาก็ได้หยิบโอกาสนี้ใช้ประโยชน์ในเวทีต่างๆ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า “ห้ามการเจรจาใดๆก็ตามกับสหรัฐ เนื่องจากจะทำให้เสียผลประโยชน์ไม่รู้จบ และจะเป็นอันตราย”
ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า “สถานการณ์ปัจจุบันในแง่ของกิจกรรมความเคลื่อนไหวและความพยายามของศัตรูของสาธารณรัฐอิสลามนั้น ซึ่งตามที่เรามีข้อมูลของพวกเขาครอบคลุมทุกด้านนั้น ถือเป็นจุดที่สำคัญเพราะพวกเขาพยายามที่จะเปลี่ยนแนวคิด การคำนวน และเปลี่ยนจิตใจของประชาชนที่มีต่อการปฏิวัติ ศาสนาและผลประโยชน์ของประเทศชาติ”
ท่านผู้นำได้ย้ำถึง การเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของประชาชนนั้น โดยมีเป้าหมายหลักคือบรรดาเยาวชน พร้อมกับเรียกร้องให้บรรดาเยาวชนมีความเฉลียวฉลาด และได้ตอกย้ำว่า “ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ บรรดาเยาวชนของเราในมหาลัยต่างๆ และกองกำลังติดอาวุธล้วนมีการตื่นตัวและเตรียมพร้อมอยู่เสมอ และในส่วนนี้ข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรที่ต้องวิตกกังวลนัก”
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงเนื่องในวาระครบรอบคล้ายวันอีดมุบาฮะละฮ์ และการยืนหยัดของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) และบรรดาวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ของท่าน ในการเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ปฏิเสธ ให้กับบรรดาเยาวชนนักปฏิวัติในประเทศ ว่า “เหมือนดั่งที่เหตุการณ์มุบาฮะละฮ์เกิดขึ้นในยุคสมัยของอิสลาม ที่มีการเผชิญหน้ากันระหว่างความศรัทธากับกุฟร์ (การปฏิเสธศรัทธา) ในวันนี้ก็เช่นกัน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในฐานะที่เป็นประชาชาติผู้ศรัทธาก็ได้เผชิญหน้ากับผู้ปฏิเสธ และในสมัยนั้น ด้วยความบริสุทธิ์ของท่านศาสดาและวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ของท่านสามารถขับไล่ศัตรูให้ออกไปจากสนามได้สำเร็จ ในวันนี้ก็เช่นกันประชาชาติอิหร่านด้วยความมั่นคงและแข็งแกร่งในด้านจิตวิญญาณก็จะสามารถขับไล่ศัตรูออกไปจากสนามได้อย่างแน่นอน”
ในช่วงท้ายท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า หากเรามีการเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ พันธะสัญญาแห่งการช่วยเหลือของพระองค์ก็จะบังเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ช่วยเหลือศาสนาของพระองค์ และบรรดาผู้ประสงค์ร้ายต่อระบอบอิสลามที่ได้มีการวางแผนต่างๆในด้านการรักษาความมั่นคง การทหาร เศรษฐกิจวัฒนธรรมก็ต้องพบกับความล้มเหลวและแพ้พ่ายอย่างแน่นอน