เช้าวันพุธ (28/9/2015) ในพิธีสำเร็จการศึกษา การเข้ารับตำแหน่งและการมอบอินทรธนู ของนักศึกษาจากบรรดามหาวิทยาลัยการทหารของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล "อิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)" ในเมืองโนชะฮ์รนั้น ท่านอิมามคาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดในมินา และถือว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคือความทุกข์โศกและการสูญเสียที่แท้จริง เนื่องจากการสูญเสียชีวิตของบรรดาผู้แสวงบุญจำนวนนับพันคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้แสวงบุญชาวอิหร่านหลายร้อยคน
ในพิธีดังกล่าว ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดและนองเลือดที่เกิดขึ้น ที่มินา ทำให้ผู้แสวงบุญเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้แสวงบุญชาวอิหร่านที่เสียชีวิตนับร้อยคน ซึ่งถือเป็นความเศร้าโศกเสียใจอย่างแท้จริงสำหรับประชาชนชาวอิหร่าน และชี้ถึงความจำเป็นในการตั้งหน่วยงานตรวจสอบค้นหาข้อเท็จจริง โดยการเข้าร่วมของประเทศอิสลาม รวมทั้งอิหร่าน ว่า รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนในการเคลื่อนย้ายเรือนร่างอันบริสุทธิ์ของผู้แสวงบุญ ขณะที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ได้รักษามารยาทแห่งอิสลาม และรักษาเกียรติของความเป็นพี่น้องในหมู่ประชาชาติอิสลาม ทว่าพึงรู้ว่า การไม่ให้เกียรติต่อผู้แสวงบุญและเรือนร่างอันบริสุทธิ์ของผู้เสียชีวิต และไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายศพผู้แสวงบุญชาวอิหร่านนั้น ซาอุจะต้องเจอกับปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงและหนักหน่วงของอิหร่านอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึง การเสียชีวิตอย่างผู้ถูกกดขี่ และด้วยริมฝีปากที่กระหายน้ำของผู้แสวงบุญ ในโศกนาฏกรรมที่มินา และการเศร้าโศกไว้อาลัยของบรรดาครอบครัวที่เฝ้าถวิลหาการกลับมาของญาติพี่น้องสุดที่รักของพวกเขา ว่า จนถึงบัดนี้ ยอดผู้เสียชีวิตที่ชัดเจนของผู้แสวงบุญชาวอิหร่านที่มินายังไม่มีตัวเลขที่แน่นอน และอาจจะมีตัวเลขผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกนับร้อยคน ซึ่งสิ่งนี้คือความเศร้าโศก มุศีบัตที่ร้ายแรงและใหญ่หลวงยิ่งนักสำหรับประชาชนชาวอิหร่าน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงยอดผู้แสวงบุญที่เสียชีวิต ในเหตุการณ์ที่มินา จากการรายงานของบางสำนักข่าว อ้างว่ามีตัวเลขผู้เสียชีวิตมากถึง ห้าพันกว่าคน ว่า ในขณะที่ อันกุรอานถือว่า บ้านของพระองค์ และการรวมตัวของประชาชาติมุสลิมในพิธีกรรมฮัจญ์เป็นสถานที่แห่งความปลอดภัย ทว่าในวันนี้ เราต้องถามว่า แล้วความปลอดภัยเหล่านี้อยู่ที่ไหนเล่า?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ย้ำถึง การจัดตั้ง “คณะผู้ตรวจสอบหาความจริง” โดยการเข้าร่วมของบรรดาประเทศอิสลาม รวมทั้งอิหร่าน พร้อมกับกล่าว่า เราจะไม่ขอตัดสินเกี่ยวกับสาเหตุของเหตุการณ์นี้ก่อนเวลาอันควร แต่เราเชื่อว่า รัฐบาลซาอุดิอาระเบียไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในการช่วยเหลือบรรดาผู้บาดเจ็บในโศกนาฏกรรมที่มินา โดยที่ปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่ทุรนทุรายและความหิวกระหาย
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเคลื่อนย้ายเรือนร่างอันบริสุทธิ์ของผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมที่มีนา และการติดตาม ตรวจสอบของเเจ้าหน้าที่เรา พร้อมกับตอกย้ำให้เจ้าหน้าที่ติดตามสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ว่า ในประเด็นนี้รัฐบาลซาอุยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน และในบางกรณี กลับแสดงท่าทีก่อกวน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า ขณะนี้สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านได้ควบคุมระงับตนเอง และรักษามารยาทแห่งอิสลาม เรารักษาเกียรติของความเป็นพี่น้องในหมู่ประชาชาติอิสลาม แต่พึงรู้ว่า อำนาจของอิหร่านเหนือกว่าหลายๆชาติ มีศักยภาพและปัจจัยความพร้อมต่างๆที่มากกว่า และหากเราต้องการจะแสดงปฏิกิริยาต่อตัวการที่ก่อกวนและตัวบ่อนทำลายทั้งหลาย ด้วยตัวเองแล้ว สถานการณ์ของพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ดีเป็นแน่ และไม่ว่าในเวทีและสนามใดพวกเขาไม่อาจต้านทานและเป็นคู่ต่อสู้ของเราได้เป็นอันขาด
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวย้ำ หากเราต้องแสดงปฏิกิริยาเองแล้ว ปฏิกิริยาของเราจะรุนแรงและหนักหน่วง ในช่วงแปดปีของสงครามพิทักษ์ปกป้องอันศักดิ์สิทธิ์ มหาอำนาจทั้งหลาย ทั้งตะวันตกและตะวันออก และประเทศเพื่อนบ้านของเรา ได้ให้การสนับสนุนผู้สกปรก ชั่วช้าและก่อความเสียหาย และในที่สุดพวกเขาเหล่านี้กลับถูกตบหน้า ซึ่งบนพื้นฐานอันนี้พวกเขาจึงรู้จักอิหร่าน และหากยังไม่รู้จักเราอีก เราจะทำให้พวกเขาได้รู้จักเราในวันนี้
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึง การเข้าร่วมนับพันคนของผู้แสวงบุญชาวอิหร่านในเมืองมักกะฮ์และมะดีนะฮ์ ว่า การไม่ให้เกียรติต่อผู้แสวงบุญและเรือนร่างอันบริสุทธิ์ของผู้เสียชีวิต และไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายศพผู้แสวงบุญชาวอิหร่านนั้น รัฐบาลซาอุจะต้องเจอกับปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงและหนักหน่วงของอิหร่านอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า สาธารณรัฐอิสลาม ไม่ใช่เป็นประเทศผู้กดขี่ ซึ่งการกดขี่และความอยุติธรรมนั้นไม่มีผู้ใดที่จะให้การยอมรับได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่มีวันที่จะล่วงละเมิดสิทธิของมนุษย์ชน ทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม แต่หากมีผู้ใดต้องการที่จะล่วงละเมิดสิทธิของประชาชาติและประเทศอิหร่านแล้ว เราจะทำการตอบโต้พวกเขาอย่างหนักหน่วง และด้วยความโปรดปรานของพระองค์ เรามีความสามารถและศักยภาพพอที่จะทำการตอบโต้พวกเขา และประชาชาติอิหร่าน คือประชาชาติที่เข้มแข็ง มั่นคง และยั่งยืน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า “ความศรัทธาที่ลึกซึ้ง” “ความกล้าหาญ” และ “ความรู้” คือ สามองค์ประกอบหลักในการสร้างตัวตน และอัตลักษณ์ของกองกำลังติดอาวุธ และกล่าวเสริมว่า หากกองกำลังติดอาวุธ ไม่มีความศรัทธา จิตวิญญาณที่จะกระชากสู่ความอ่อนแอก็จะปรากฏขึ้น หากไม่มีความกล้าหาญ ในช่วงสถานการณ์ขับคัน กองกำลังติดอาวุธก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ และหากไร้ซึ่งความรู้ เครื่องมือและอุปกรณ์ของกองกำลังติดอาวุธก็จะช้าลง เมื่อเทียบกับเครื่องมือของฝ่ายตรงกันข้าม
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การโจมตีอาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง ตลาด แม้กระทั้งงานแต่ง ในเยเมนนั้น เป็นตัวอย่างของจิตวิญญาณที่ถูกกระชากสู่ความอ่อนแอ และการไร้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญในกองกำลังติดอาวุธ พร้อมกับได้กล่าวกำชับและแนะนำแก่บรรดาเยาวชนแห่งกองกำลังติดอาวุธของประเทศ ให้มีการเสริมสร้างความศรัทธา ความกล้าหาญ สร้างนวัตกรรมในด้านการวิจัยและการศึกษาวิจัยค้นคว้า ว่า ในวันนี้ระบอบอิสลาม มีความจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมืออุปกรณ์สงครามชนิดหนัก และอุปกรณ์สงครามชนิดเบา เนื่องจาก ในวันนี้โลกตกอยู่ใต้การครอบครองของมหาอำนาจชัยฏอน ซึ่งเป็นภัยอันตรายต่อมนุษย์ทั่วทั้งโลกที่กำลังใฝ่หาพระองค์ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีความพร้อมและมีอุปกรณ์ครบครัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า สาเหตุหลักของการเป็นศัตรูของมหาอำนาจโลกผู้ปล้นสะดม กับสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และประชาชาติผู้กล้าหาญและประชาชาติผู้เป็นนักปฏิวัติ คือ การยืนหยัดต่อสู้ของประชาชาติในการต่อกรและเผชิญหน้ากับพวกเขา และการรักษาอัตลักษณ์ตัวตน และตัวตนที่แท้จริง และไม่หลอมละลายเข้ากับระบอบของมหาอำนาจผู้อังหาร โดยกล่าวย้ำว่า การเตรียมความพร้อมของกองกำลังติดอาวุธ ทั้ง กองทัพทหาร ซิพอฮ์ บาสิจญ์ และกองกำลังอื่นๆนั้น มิได้หมายความว่าเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะในการต่อกรกับศัตรูเพียงเท่านั้น ทว่าต้องเตรียมพร้อมเมื่อเจอกับอุปสรรค์และความพ่ายแพ้เช่นกัน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงการคุกคามของมหาอำนาจโลกที่มีต่อระบอบอิสลาม ว่า ในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดเฉพาะแปดปีในสงครามพิทักษ์ปกป้องสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ ประชาชาติอิหร่านได้สำแดงมาแล้ว ว่าเป็นชาติที่มีความเข้มแข็ง แข็งแกร่ง มีอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีอันล้ำค่า และสามารถยืนหยัดเผชิญหน้ากับศัตรูผู้ประสงค์ร้ายได้อย่างแข็งแกร่ง
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ย้ำถึงประชาชาติอิหร่านที่ได้พิสูจน์ให้เห็นมาแล้วในความแข็งแกร่ง รอบรู้และรู้แจ้งในการต่อสู้และเผชิญหน้ากับมหาอำนาจโลกผู้อหังการ อีกทั้งยังได้ให้เกียรติและเคารพต่ออัตลักษณ์ของตนและมนุษย์ชาติ ว่า การยืนหยัดต่อสู้กับมหาอำนาจผู้อหังการ คือการเคารพและให้เกียรติแก่มนุษย์ชาติและประชาชาติทั้งหลาย
ทานผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง กรงเล็บและเขี้ยวฟันต่างๆของบรรดาศัตรู ว่า มันจะเป็นเช่นนี้อยู่เสมอว่า กำปั้นที่มีประสิทธิภาพของผู้ศรัทธานั้น สามารถที่จะบังคับให้พวกเขานั้นต้องร่นถอย
ในช่วงท้ายท่านผู้นำสูงสุด ได้พบปะเยาวชนแห่งกองกำลังติดอาวุธ พร้อมกับถามไถ่อย่างละเอียดต่อประเด็นการปกป้องสงครามอันศักดิ์สิทธิ์ แผนในการปฏิบัติการ เยี่ยมชมเขตพื้นที่ปฏิบัติการในด้านการทหาร และกำชับในการใช้ประโยชน์จากบรรดาผู้อาวุโสที่มากด้วยประสบการณ์ ว่า พวกท่านทั้งหลายจำต้องเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งของประเทศและระบอบอิสลาม ในความหมายที่แท้จริง
ในช่วงแรกของพิธี ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้เข้าเยี่ยมและให้เกียรติแก่สุสานของเหล่าบรรดาชุฮาดาอ์ จากนั้นได้ชมพิธีสวนสนาม