สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

เยาวชนนักศึกษานับพันคนเข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาจิตวิญญาณคือ ความยำเกรง

        เมื่อช่วงเย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา เยาวชนนักศึกษานับพันคนเข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิบัติอิสลาม ซึ่งเป็นการพบปะที่อบอุ่นและเป็นกันเอง  โดยใช้เวลาในการพบปะทั้งสิ้น 4   ชั่วโมง   และท่านผู้นำการปฏิวัติได้รับฟังความคิดเห็นในประเด็น ความท้าทาย ความกังวล ความต้องการ การวิจารณ์และข้อเสนอแนะของพวกเขา   อีกทั้งได้มีการพูดคุยในประเด็นต่างๆอาทิเช่น   การยึดมั่นในอุดมคติ  ความจำเป็นในเพิ่มประสิทธิภาพของกลุ่มองค์กรนักศึกษา  ประเด็นระดับภูมิภาค  การดำเนินการต่อสู้กับมหาอำนาจผู้กดขี่ของประชาชาติอิหร่าน และประเด็นใหม่ๆที่เกี่ยวกับนักศึกษา


การพบปะครั้งนี้ เริ่มขึ้นในเวลา สิบแปดนาฬิกา  และหลังจากนมาซและอิฟตอร์(ละศิลอด)ก็ได้มีการพบต่อไปอีก  


ทานผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึง ความหดหู่ใจในช่วงวันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน  และกล่าวเสริมว่า ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแห่งจิตวิญญาณ และความสงบสุขทางจิตวิญญาณ ผู้ใดที่หัวใจของเขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสายฝนแห่งความเมตตาและความโปรดปรานของพระผู้อภิบาลแล้ว  ในอนาคตเขาก็จะได้ใช้ประโยชน์จากผลิตผลแห่งการเก็บเกี่ยวผลทางจิตวิญญาณอย่างแน่นอน


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ตอบคำถามของบรรดานักศึกษาที่มักจะถามถึงอยู่เสมอในประเด็นการพัฒนาจิตวิญญาณว่า  ข้าพเจ้าได้ยินบรรดาอุลามาอ์ระดับสูง กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาจิตวิญญาณคือ ความยำเกรง และหลีกห่างจากการทำความผิดบาป 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า  การปฏิบัติศาสนกิจ โดยเฉพาะ “การนมาซตรงต่อเวลา  การมีสมาธิในนมาซแม้กระทั้งการเข้าร่วมนมาซญะมาอะห์”  เป็นการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของการหลีกห่างจากการทำบาป  และกล่าวเสริมว่า จงตกแต่งและประดับประดากลุ่มองค์กรที่มีค่าเช่นนี้ด้วยการอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นประจำทุกวันถึงแม้นว่าจะอ่านสักสองสามโองการก็ตาม


หลังจากที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายหลักศาสนปฏิบัติแล้วก็ได้อธิบายในกฎปฏิบัติของนักศึกษา 


ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า กลุ่มองค์กรนักศึกษาคือกลุ่มที่โดดเด่น  และกล่าวย้ำว่า หลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดของนักศึกษาคือการยึดมั่นในอุดมคติ


ท่านอยาตุลลอฮ์ คามเนอี ได้ปฏิเสธความคิดที่ว่า อุดมคตินั้นขัดแย้งกับสัจนิยม ว่า  อุดมคตินั้น มันขัดแย้งกับอนุรักษ์นิยม ไม่ใช่สัจนิยม


ท่านผู้นำสูงสุดได้อธิบายเสริมว่า อนุรักษ์นิยมจะยอมจำนนต่อทุกความสัจจริง  และกล่าวเสริมว่า อุดมคติคือ การใช้งานที่เหมาะสมตามข้อเท็จจริงในเชิงบวกและการต่อสู้กับข้อเท็จจริงในเชิงลบเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า “การสร้างสังคมอิสลามและการฟื้นฟูความคิดทางการเมืองแบบอิสลาม” เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดของอุดมคติ และกล่าวเสริมว่า อุดมคติจะส่งอิทธิพลอย่างสูงที่สามารถกำหนดทิศทางต่อความมั่นใจในตัวเอง  และความเชื่อมั่นว่า “เราสามารถทำได้” และเส้นทางแห่งการเจริญเติบโต และการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การต่อสู้กับระบอบมหาอำนาจผู้กดขี่และระบบจักรวรรดินิยม  คือ อุดมคติประการที่สามของหลักปฏิบัติของนักศึกษา 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า  สาเหตุหลักที่มหาอำนาจโลกผู้อหังการเป็นศัตรูกับประชาชาติอิหร่านนั้น เนื่องจากสาธารณรัฐอิสลามปฏิเสธที่จะยอมรับระบอบล่าอานานิคมและการยอมจำนนใต้มหาอำนาจ


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า  การเรียกร้องความยุติธรรม วิถีชีวิตแห่งอิสลาม  การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพที่แท้จริงที่ไม่ใช่แบบตะวันตก  การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์  การทำงานและความมุ่งมั่นและห่างไกลจากความเกียจคร้าน  และการพัฒนาให้มหาวิทยาลัยเป็นแบบอิสลาม   คือหนึ่งในความหมายและสัญลักษณ์ของอุดมคติของกลุ่มนักศึกษา

ท่านผู้นำสูงสุด ได้ตอบคำถามความท้าทายหนึ่งเชิงกลยุทธ์ของสังคมนักศึกษา ที่ว่า  ด้วยการมีอุดมคติเช่นนี้ เราจะสามารถมีบทบาทและอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของประเทศได้อย่างไร?


ท่านผู้นำสูงสุดได้ตอบคำถามดังกล่าวที่สำคัญอย่างชัดแจ้งและหนักแน่น ว่า  จงกล่าวย้ำถึงอุดมคตินี้อยู่เสมอ และยืนหยัดอย่างแท้จริงในสิ่งนี้  กระทั้งมันกลายเป็นวาทกรรมของนักศึกษา จากนั้นมันก็จะกลายเป็นวาทกรรมของสาธารณะชน  และจากนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ คณะผู้บริหารประเทศ และสถาบันการศึกษาของรัฐก็จะต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวาทกรรมเหล่านี้อย่างแน่นอน


หลังจากที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายกลยุทธ์และกลไกที่ทรงอิทธิต่อสังคมนักศึกษาที่มีต่อการตัดสินใจของสถาบันต่างๆในประเทศแล้ว  ก็ได้อธิบายข้อพึงปฏิบัติที่กลุ่มองค์กรนักศึกษาจำต้องยึดมั่นและปฏิบัติตาม 


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า หลีกเลี่ยงการทบทวนแบบผิวเผิน และการทำงานเชิงลึกในแนวคิดและศาสตร์ความรู้อิสลาม เป็นข้อปฏิบัติประการแรกของกลุ่มองค์กรนักศึกษาในประเด็นนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์คำขวัญสโลแกนและคำพูดบางอย่าง ที่รูปลักษณ์ภายนอกคืออิสลามแต่ในข้อเท็จจริง(ด้านใน)แล้วมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ยกกรณีตัวอย่างข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ว่า  ประโยค ที่ว่า “อิสลามแห่งความเมตตา” เป็นคำที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในวันนี้  ซึ่งมาจากการรวมกันของสองคำที่สวยงาม  แต่อะไรคือความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ ?  หรือว่ามันมีความหมายในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับอัลกุรอาน ที่ได้แบ่งจำแนกมนุษย์ เป็น ผู้ศรัทธา กาเฟร ศัตรูและมิตร  ซึ่งทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความเมตตาธรรมเหมือนกันหมดกระนั้นหรือ? และผู้ที่เป็นศัตรูกับอิสลามและประชาชาติอิหร่านซึ่งมันขัดกับคำบัญชาสั่งของพระผู้อภิบาลนั้น  ต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความเมตตาและความยุติธรรมอีกด้วยหรือ??  


ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า คำพูดที่ปราศจากการไตร่ตรองและคำพูดที่ผิวเผินเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาดและทำให้หลงทาง  และกล่าวเสริมว่า ประโยคสำนวน อิสลามแห่งความเมตตา  เกิดจากเสรีนิยมตะวันตกหรือ?  หากมันเป็นเช่นนั้นแล้ว แสดงว่าประโยคสำนวนดังกล่าวก็ไม่ได้มาจากอิสลาม และไม่ใช่เป็นความเมตตาธรรมและความโปรดปรานแต่อย่างใด  เนื่องจากพื้นฐานความเชื่อของเสรีนิยม นั้นคือความคิดแบบมนุษย์นิยม ที่ก่อกำเนิดขึ้นบนพื้นฐานของการปฏิเสธพระเจ้าและเรื่องจิตวิญญาณ และยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของมหาอำนาจ 


ในประเด็นนี้ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้วิพากษ์วิจารณ์ค่านิยมต่างๆที่อเมริกาตั้งขึ้นมา 

และกล่าวเสริมว่า  ระบอบครอบงำของจักรวรรดินิยมมีรากเหง้ามาจากค่านิยมของอเมริกา   ขณะเดียวกันข้อดีของค่านิยมอันนี้ ก็สามารถเห็นความหลงลืมของเจ้าหน้าที่อเมริกาในพฤติกรรมอันก้าวร้าวของตนเอง


 ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า หากประโยคสำนวนอิสลามแห่งความเมตตา ได้ถูกนำเสนอและแนะนำในลักษณะเหล่านี้แล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่ผิดอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์  และไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับอิสลามอันบริสุทธิ์และอิสลามที่แท้จริง  


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึง ข้อปฏิบัติที่ทรงอิทธิพลและประสิทธิภาพของกลุ่มนักศึกษา คือ “การเพิ่มอำนาจของการดึงดูด”


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ปฏิเสธทุกรูปแบบของการเพิ่มอำนาจของการดึงดูดในแวดล้อมแห่งนักศึกษาด้วยวิธีการที่ผิด เช่น จัดค่ายปะปนชายหญิง และการจัดคอนเสิร์ต  และกล่าวย้ำว่า  บุคคลที่นำพาเยาวชนหนุ่มสาวที่เป็นนักศึกษาและบุตรหลานของประชาชนภายใต้โครงการสร้างพลังดึงดูด ในรูปแบบของการจัดค่ายทัศนะศึกษาทัวร์ยุโรปที่ปะปนระหว่างชายหญิงนั้น เขาได้ทรยศต่อแวดล้อมของนักศึกษาและอนาคตของเยาวชนรุ่นใหม่ในประเทศ อย่างแน่นอน 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายถึงแนวทางที่ถูกต้องในการเพิ่มพูนการดึงดูดของกลุ่มองค์กรนักศึกษา คือ การนำเสนอคำพูดใหม่ๆเชิงศาสนา สังคมและการเมือง  และกล่าวเสริมว่า การศึกษาอัลกุรอานและหนังสือนะฮ์ญุลบาลาเฆาะห์ อย่างลึกซึ้งจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการนำเสนอคำพูดใหม่ๆและน่าดึงดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การใช้ประโยชน์จากศิลปะ  เช่น  ละครนักเรียน  การ์ตูน ตลก  นิตยสาร และการอ่านบทกวี เป็นวิธีการต่างๆที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กำชับให้กับกลุ่มนักศึกษา


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมนอี ได้ชี้ถึงข้อปฏิบัติประการที่สามในการเพิ่มพลังดึงดูดของกลุ่มนักศึกษา คือ การโน้มน้าวใจทางปัญญาและหลีกเลี่ยงการข่มขู่และการบังคับ  


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า ความคิดทางศาสนาไม่อาจถ่ายทอดและนำเสนอได้หากปราศจากการโน้มน้าวใจ แต่บางครั้งอาจจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ความรู้สึก ความอ่อนไหว และบางคำพูดถูกยอมรับโดยปราศจากการโน้มน้าวใจทางปัญญาก็เป็นได้  แต่เนื่องจากการยอมรับดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการโน้มน้าวจึงเป็นการยอมรับที่ไม่นิรันดร


ท่านผู้นำสูงสุดได้ย้ำเตือนและชี้ถึงประวัติศาสตร์ในอดีตกรณี ของกลุ่มมาร์กซ์ และคอมมิวนิสต์ที่ใช้วิธีการที่ไม่โน้มน้าวใจและการแกมบังคับเรื่องหลักความเชื่อว่า   หากข่าวสารบางอย่างเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมาร์กซ์ในมหาวิทยาลัยบางแห่งนั้นเป็นความจริง แน่นอนเงินของอเมริกาอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เพื่อสร้างความแตกแยกและแบ่งแยกนักศึกษาให้แบ่งพรรคแบ่งพวก


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กำชับและชี้แนะ ให้กับกลุ่มนักศึกษา ถึง “การใช้ประโยชน์จากครูที่ทรงค่า และหลีกเลี่ยงการใช้องค์ประกอบที่ไม่ปลอดภัยสำหรับประเทศและประชาชนและกล่าวเสริมว่า องค์ประกอบ เช่น กลุ่มบุคคลที่สร้างเหตุการณ์ฟิตนะห์ ปี 88   และกลุ่มบุคคลที่ต่อต้านอิสลามและระบอบของสาธารณรัฐอิสลามอย่างไม่มีเหตุผล และตรรกะ กลุ่มนี้ย่อมไม่สามารถที่จะไว้วางใจและเชื่อใจได้เป็นอันขาด


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า “การเข้าใจข้อเท็จจริงของประเทศ”  เป็นอีกข้อปฏิบัติหนึ่งในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของกลุ่มองค์กรนักศึกษา และกล่าวเสริมว่า การคาดหวังจากเจ้าหน้าที่ในการทำงานและความเพียรพยายามให้มากขึ้นนั้น เป็นการคาดหวังที่เหมาะสม แต่เราก็ควรจะเห็นข้อเท็จจริงในเชิงบวก


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การสร้างสีสันแห่งอุดมคติที่เข้มข้น  และสร้างความล้มเหลวในความพยายามของบางกลุ่มที่ต้องการบิดเบือนอุดมคติของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) เป็นข้อเท็จจริงของชาติที่ต้องสังเกต 

 

ท่านผู้นำสูงสุด ได้ทบทวนเหตุการณ์หลังการอสัญกรรมของท่านอิมาม โคมัยนี(รฎ) ที่มีกลุ่มหนึ่งที่อาศัยความผิดพลาด ได้ซ่อนเป้าหมายของตนอย่างชัดเจนและตั้งใจที่จะละทิ้งอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)  แต่ในวันนี้เมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้นจึงไม่กล้าพูดอย่างเปิดเผย แต่ก็ยังกระทำและคอยเสี้ยมอยู่อีก

 

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า แม้นว่าพวกเขาจะมีความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายในและต่างประเทศ  โดยใช้องค์ประกอบต่างๆทางปัญญา  การเมืองและศิลปะ  แต่ก็ยังสามารถสร้างความร่าเริงและความมีชีวิตชีวาของอุดมการณ์ในประเทศไปถึงจุดสูงสุดได้อีก แม้แต่เยาวชนคนหนุ่มสาว ที่ไม่ได้เห็นข้อเท็จจริงที่น่าประทับใจในสมัยของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) และสงครามแปดปี  พวกเขาก็ยังตกอยู่ภายใต้พลังดึงดูดของอุดมคติอิสลามและการปฏิวัติ  


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า  การปรากฏตัวทางจิตวิญญาณที่น่าอัศจรรย์และอิทธิพลของอิหร่าน ในภูมิภาค ก็เป็นอีกหนึ่งข้อเท็จจริงในสิ่งนี้ ซึ่งกลุ่มองค์กรนักศึกษาจำต้องให้ความสำคัญ


ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า เราทราบข่าวมาว่า  อเมริกาและข้าสมุนในภูมิภาคมีการประชุมลับเพื่อหาวิธีการและปลอบใจซึ่งกันละกันในอิทธิพลและบทบาทที่โดเด่นของอิหร่านในระดับภูมิภาค แต่พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรใดๆได้


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงการโจมตีเยเมนที่เข้าสู่ร้อยวัน การสังหารโหดและป่าเถื่อนต่อพี่น้องผู้บริสุทธิ์และพี่น้องผู้ถูกกดขี่ในเยเมนว่า  ตะวันตกแห่งเสรีนิยมที่แอบอ้างตนว่า เป็นเสรีนิยม กลับนิ่งเงียบไม่ยอมปริกปากเอ่ยสักคำต่อการก่ออาชญากรรมของซาอุดิอาระเบียที่มีต่อเยเมน และ มติของคณะมนตรีแห่งความมั่นคงของสหประชาชาติที่น่าอัปยศที่สุด คือการประณามผู้ถูกโจมตี  แทนที่จะประณามผู้ทิ้งระเบิดและผู้โจมตี


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า เหตุผลหลักที่สำคัญในการโจมตีและทิ้งระเบิดใส่อาคารบ้านเรือนของชาวเยเมนอย่างไม่หยุดหย่อนนั้น เนื่องจากซาอุและชาติพันธมิตรและผู้ให้การสนับสนุนพวกเขา ไม่พอใจและโกรธแค้นอิหร่านที่มีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาค 


และกล่าวเสริมว่า ตรงกันข้ามกับคำแอบอ้าง  บทบาทและอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาคนั้นเป็นความโปรดปรานที่พระผู้อภิบาลทรงประทานให้  หาใช่ทางกายภาพและการพึ่งพาอาวุธ  และเรามีบุคคลเยี่ยงชะฮีด เบเฮชตี้ ที่ได้กล่าวกับบรรดาศัตรูของอิหร่านว่า พวกคุณต้องตรอมใจตายด้วยความโกรธแค้นอันนี้ 


นักศึกษาคนหนึ่งได้ถามท่านอยาตุลลอฮ์ เกี่ยวกับ "สภาพการต่อสู้กับมหาอำนาจหลังจากการเจรจานิวเคลียร์" ว่าจะเป็นอย่างไร? ท่านตอบว่า 


“การต่อสู้กับมหาอำนาจผู้กดขี่และระบบจักรวรรดินิยมนั้น อยู่บนพื้นฐานของหลักการของอัลกุรอาน ไม่อาจหยุดลงได้ และวันนี้อเมริกาคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของมหาอำนาจผู้กดขี่”


“เราได้กล่าวกับทีมเจ้าหน้าที่เจรจานิวเคลียร์เช่นกันว่า พวกท่านมีสิทธิ์ที่จะทำการเจรจาได้เฉพาะในประเด็นของนิวเคลียร์เท่านั้น บางครั้งทางด้านสหรัฐก็พยายามจะดึงไปสู่ปัญหาต่างๆ ของภูมิภาค อย่างเช่นซีเรียและเยเมน เจ้าหน้าที่ของเราจะบอกว่า เราจะไม่เจรจาในประเด็นเหล่านี้”


“การต่อสู้กับมหาอำนาจผู้กดขี่นั้นเป็นส่วนหนึ่งจากหลักการของการปฏิวัติและเป็นภารกิจหลัก ดังนั้นพวกเธอจงเตรียมตัวให้พร้อมเถิดสำหรับการต่อสู้กับมหาอำนาจผู้กดขี่


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เยาวชนหนุ่มสาวอิหร่าน เป็นเยาวชนที่มีความร่าเริง เบิกบานและสดใส มีความเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวามากที่สุดในโลก  และกล่าวเสริมว่า ในทางตรงกันข้ามสถิติการฆ่าตัวตายของเยาวชนในยุโรปเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งเป็นบ่งชี้ถึงสัญญาณของภาวะโรคซึมเศร้าของโลกตะวันตก


ท่านผู้นำชี้ว่า การสังหารเด็ก 80  คน ในการโจมตีของวัยรุ่นคนหนึ่งในยุโรป  อีกทั้งแนวโน้มที่สูงขึ้นของเยาวชนยุโรปที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสเพื่อฆ่าตัวเองด้วยการใช้วิธีระเบิดฆ่าตัวตาย  เป็นกรณีตัวอย่างของภาวะซึมเศร้าของเยาวชนในยุโรป  ขณะเดียวกัน ตรงกันข้ามกับสิ่งเหล่านี้ บรรดาเยาวชนอิหร่าน  กลับเคร่งครัดในศาสนา ถือศีลอด  ตื่นยามรุ่งสางเพื่อประกอบอิบาดะห์ ทำการโต้รุ่งในค่ำคืนรัตติกาลแห่งอานุภาพ กระตือรือร้นในการออกมาเดินประท้วงวันอัลกุดส์ ในภาวะอากาศที่ร้อนระอุช่วงหน้าร้อน  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเยาวชนอิหร่านเป็นเยาวชนที่มีชีวิตชีวา สนุกสนานและห่างไกลจากภาวะโรคซึมเศร้า


ในช่วงแรกของการพบปะครั้งนี้ ได้มีตัวแทนของนักศึกษาจำนวน 9  คน ได้นำเสนอความคิดเห็นข้อเสนอแนะในประเด็นต่างๆต่อหน้า ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม


700 /