เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา บรรดาครอบครัวชะฮีดเหตุการณ์วันที่7 ตีร และบรรดาครอบที่มีลูกหลานเป็นชะฮีดหลายคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเตหะราน เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ประเทศและชนชาติอิหร่านเป็นหนี้บุญคุณการเสียสละของบรรดาชะฮีดและครอบครัวของบรรดาชะฮีด และได้ชี้ให้เห็นถึงสาส์นแห่งความหวัง แรงบันดาลใจ ที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณและความมุ่งมั่นเสียสละของบรรดาชะฮีดในทุกยุคสมัย ว่า ในวันนี้ ประเทศต้องการความมุ่งมั่นและการรู้จักศัตรู และการเตรียมความพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับศัตรู ทั้งในสงครามเย็น รวมทั้งด้านวัฒนธรรม การเมืองและวิถีแห่งสังคมและบรรดาผู้ปกปิดข่าวสารโฉมหน้าอันปีศาจของอเมริกา ถือเป็นการทรยศต่อประชาชาติ
ผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า หนึ่งในความบารอกัตของการปฏิวัติ คือ การผลิตองค์ความรู้พื้นฐานหลักของอิสลามและการบรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรมในสังคมอย่างแท้จริง และกล่าวเสริมว่า หนึ่งในความรู้หลักอันนี้ คือสารานุกรมแห่งความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นชะฮีด ซึ่งมันได้บรรลุผลสัมฤทธิ์แล้วในสังคมของเรา ในลักษณะที่ว่า เหล่าบรรดาชะฮีดที่เข้าสู่สมรภูมิล้วนแล้วเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและความเบิกบานใจ และด้วยความพยายามที่สัตย์จริงของพวกเขา จึงได้รับชะฮีด อันเป็นรางวัลอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้า โดยปราศจากความเศร้าโศกและไม่เกรงกลัวในการเข้าพบพระองค์ และร่องรอยต่างๆแห่งจิตวิญญาณในการเป็นชะฮีดครั้งนี้ก็ถูกสะท้อนให้สังคมได้ประจักษ์เห็นอีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การสร้างความภาคภูมิใจและความสุขให้กับครอบครัวของบรรดาชะฮีด สร้างสรรค์ความเปล่งบาน และความภาคภูมิใจแห่งจิตวิญญาณและความมุ่งมั่นในหมู่ประชาชาตินั้น เป็นหนึ่งในความบารอกัตของบรรดาชุฮาดาอ์ที่มีต่อสังคม อีกทั้งได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์ในวันที่7 ตีร ปี 1360 ว่า เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในวันที่ 7 ตีร ในการเป็นชะฮีด ของ อยาตุลลอฮฺ เบเฮชตี และคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น ตามหลักทั่วๆไปแล้ว มันจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของการปฏิวัติอิสลาม แต่ด้วยความบารอกัตของเลือด และโลหิตของบรรดาชุฮาดาอ์เหล่านี้ กลับทำให้เกิดสิ่งตรงข้ามในสิ่งที่พวกเขาคาดคิด และหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ประชาชาติก็ได้ร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียวและการปฏิวัติเป็นก็คงอยู่ในเส้นทางที่แท้จริงต่อไป
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ย้ำว่า หนึ่งในความบารอกัตของหยดเลือดของบรรดาชุฮาดาอ์ เหตุการณ์ในวันที่7 ตีร คือการเปิดโปงและกระชากใบหน้าบรรดาผู้ก่ออาชญากรรมครั้งนี้ และกล่าวเสริมว่า หลังจากที่เหตุการณ์วันที่7 ตีร ใบหน้าที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังโดยตรงในการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรง ซึ่งพวกเขาปกปิดโฉมหน้าของตนเป็นเวลาหลายปีนั้น ได้ถูกกระชากออกให้กับประชาชนและคนหนุ่มสาวได้เห็น และหลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นาน บรรดาผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ได้ลี้ภัยยังอิรักขอความคุ้มครองจากจากซัดดัม ซึ่งนับจากนั้น ก็ได้ร่วมมือกับซัดดัม ในการเผชิญหน้ากับประชาชาติอิหร่านและประชาชาติอิรัก
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ว่า การเปิดโปงและกระชากหน้ากากของเหล่าศัตรูที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วันที่7 ตีร ทั้งที่เป็นศัตรูภายในและภายนอก และกลุ่มบุคคลที่นิ่งเงียบเห็นด้วยกับริฎอชาห์ นั้น ล้วนแล้วเป็นหนึ่งในความบารอกัตของหยดเลือดของบรรดาชุฮาดาอ์ และกล่าวเสริมว่า หลังจากเหตุการณ์วันที่7 ตีร ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ได้ฉวยโอกาสที่เหมาะสมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในการช่วยการปฏิวัติอิสลาม ให้หลุดพ้นจากเส้นทางที่กำลังมีการเบี่ยงเบนได้สำเร็จ และได้ส่งมอบการปฏิวัติอันจริงแท้ครั้งนี้ให้กับประชาชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงความเปล่งบานด้านจิตวิญญาณของสังคม หลังจากเหตุการณ์ วันที่7 ตีร ว่า บรรดาศัตรูได้ประจักษ์เห็นว่า เหตุการณ์ในครั้งนั้น สร้างพลังอำนาจแห่งการปฏิวัติที่มันซึมซับเข้าสู่สังคมอย่างแท้จริง และพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่า การก่อเหตุรุนแรงและการปะทะแบบรุนแรงกับการปฏิวัติอิสลามนั้น จะไม่มีวันบรรลุผลอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การกระชากและเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของมหาอำนาจผู้ที่แอบอ้างตนเป็นผู้เรียกร้องสิทธิมนุษย์ชน นั้น ก็เป็นอีกหนึ่งความบารอกัตของหยดเลือดและหยาดโลหิตของบรรดาชุฮาดาอ์ และกล่าวเสริมว่า บุคคลที่เป็นอาชญากรในเหตุการณ์ วันที่7 ตีร ปัจจุบันนี้ยังคงลอยนวลในยุโรปและอเมริกา อีกทั้งมีการการเคลื่อนไหวพบปะกับบรรดาเจ้าหน้าที่ของชาติต่างๆ อย่างอิสระ แม้กระทั้งยังเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านี้ขึ้นกล่าบรรยายในประเด็นสิทธิมนุษย์ชนอีกด้วย
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า การแสดงจุดยืนเช่นนี้ มันแสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดของความเจ้าเล่ห์ การตีสองหน้าและความสกปรกของผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน และกล่าวเสริมว่า ในประเทศของเรา มีบรรดาชุฮาดาอ์ที่ถูกลอบสังหาร จำนวน หนึ่งหมื่นเจ็ดพันกว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่ของบรรดาชุฮาดาอ์ที่ถูกลอบสังหารนั้น ล้วนมาจากชนชั้นรากหญ้าที่เป็นพ่อค้า เกษตรกร คนงาน อาจารย์มหาลัย เด็กๆและบรรดาสตรี ทว่าผู้กระทำผิดที่ได้ลอบสังหารบรรดาชุฮาดาอ์เหล่านี้กลับใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีในประเทศที่อ้างตนว่าปกป้องสิทธิมนุษยชน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อีกหนึ่งความบารอกัตของหยดเลือดของบรรดาชุฮาดาอ์ คือการอัดฉีดจิตวิญญาณแห่งการยืนหยัด และความแข็งแกร่งในสังคม อีกทั้งเสริมสร้างพลังจิตวิญญาณให้กับประชาชน และได้ชี้ถึงพิธีการแห่ศพล่าสุดของบรรดาชุฮาดาอ์ 270 คน ในกรุงเตหะราน ที่มีประชาชนออกมาร่วมกันอย่างเนืองแน่นและตื่นเต้นเร้าใจในการเข้าร่วมพิธีแห่ชะฮีดดังกล่าว ว่า การแห่ชะฮีดครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ เป็นการเคลื่อนไหว เตรียมความพร้อม กระตือรือร้น แสดงความรักและความถวิลหาอุดมการณ์อันแน่วแน่ ที่ได้ฉายพลังให้เห็นอย่างชัดเจน ซึ่งมันตรงข้ามกับความสิ้นหวัง หมดกำลังใจและความเมื่อยล้าของฝ่ายตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
ท่านผู้นำสูงสุด ได้แสดงความเสียใจในความอ่อนแอและความบกพร่องในการแนะนำบุคลิกภาพของบรรดาชุฮาดาอ์ รวมทั้งการไม่แนะนำและนำเสนอศักยภาพและความสามารถอันยิ่งใหญ่ของบรรดุฮาดาอ์เหตุการณ์วันที่ 7 ตรี ในฐานะเป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่และความแข็งแกร่งของชนชาติอิหร่านอย่างสมบูรณ์แบบ ว่า บรรดาเยาวชนที่อยู่ในสังกัดของวัฒนธรรมผู้ศรัทธา นักปฏิวัติ และบุคคลยอดนิยม นั้น ควรใช้ภาษาของภาพ และใช้ประโยชน์จากสื่อใหม่ๆ ในการนำเสนอภาพลักษณ์และภาพวาดที่สวยงามของบรรดาชุฮาดาอ์ผู้โดดเด่นเหล่านี้สู่สาธารณะชนอย่างแท้จริง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงสิทธิอันยิ่งใหญ่และสิทธิที่ไม่อาจพรรณนาได้ในคุณงามความดีของบรรดาชุฮาดาอ์ และเหล่าครอบครัวของชุฮาดาอ์ ที่มีเหนือประชาชาติอิหร่าน ว่า ครอบครัวของบรรดาชุฮาดาอ์ สามารถถ่ายทอดและนำเสนอจิตวิญญาณอันสูงส่งและความมุ่งมั่นของตนสู่สังคม ซึ่งจิตวิญญาณและความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่นี้ เป็นสิ่งที่ประเทศของเรากำลังมีความต้องการอยู่พอดีในวันนี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรู้จักศัตรู เป็นอีกหนึ่งความต้องการหลักที่สำคัญในวันนี้ และกล่าวเตือนเกี่ยวกับการโฆษณาและการสื่อสารบางอย่างที่พยายาม ปกปิด ข่าวสารโฉมหน้าอาชญากรรมของศัตรู และชี้ให้เห็นถึงการก่ออาชญากรรมบางอย่างของอเมริกาและข้าสมุนรับใช้ของมัน ที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7ตีร 1360" "การโจมตีทางเคมีในเมืองซัรดัชต์ ในวันที่ 7 ตีร 1366" " การลอบสังหารชะฮีด ศ็อดดูกีย์ วันที่ 11 ตีร 1361 " และ "โจมตียิงเครื่องบินโดยสารอิหร่านเมื่อวันที่ 12 ตีร 1367 “ เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายหรือข้าสมุนรับใช้ของอเมริกา ที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ทำการทบทวนและรำลึกอีกครั้ง และกล่าวเสริมว่า บางคน เชื่อว่า เหตุการณ์สำคัญต่างๆเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในเดือนตีร ควรจะตั้งชื่อว่า “สัปดาห์แห่งสิทธิมนุษย์ชนของชาวอเมริกัน”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมนอี ได้ย้ำอีกครั้งในความสำคัญของการรู้จักศัตรู ว่า ประชาชาติอิหร่านควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความเป็นศัตรูของศัตรู และมีความพร้อมในการเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบแห่งสงครามสื่อ สงครามเย็น รวมทั้งในด้านวัฒนธรรม การเมืองและสังคม
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ทำการตำหนิกลุ่มบุคคลที่มีความพยายามที่จะแก้ตัวให้กับโฉมหน้าและภาพลักษณ์ที่รุนแรง น่ากลัวป่าเถื่อนและปีศาจของอเมริกา ว่า บุคคลที่มีความพยายามปกปิดศัตรูที่มีความโสมม ความน่ารังเกียจของอเมริกา และบางคนที่คอยเป็นข้าสมุนรับใช้ในการเป็นสุนักจิ้งจอกในการโฆษณาชวนเชื่อ และทำการปกปิดข่าวสารแห่งโฉมหน้าอันปีศาจของอเมริกา ความเป็นจริงแล้ว เขาคือผู้ทรยศต่อประชาชาติและประเทศชาติ
ในช่วงท้ายท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประชาชาติอิหร่านมีความต้องการในสาส์นแห่งแรงบันดาลใจ สาส์นแห่งความเปล่งบานของจิตวิญญาณของบรรดาชุฮาดาอ์ และกล่าวเสริมว่า ประชาชาติอิหร่านเป็นหนี้บุญคุณของบรรดาชุฮาดาอ์และครอบครัวของชุฮาดาอ์ และสำหรับบุคคลที่ปฏิเสธข้อเท็จจริงในสิ่งนี้ เขาคือคนที่ห่างไกลจากผลประโยชน์แห่งชาติ หรือสามารถกล่าวว่า เขาคือต่างชาติ คนต่างดาว ถึงแม้นว่าจะถือบัตรประชาชนของอิหร่านก็ตาม