เนื่องในวันอีดมับอัษ บรรดาข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ คณะทูตแห่งประเทศอิสลามและพี่น้องประชาชน เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาแมนอี ผู้นำสูงสุดแห่งการปฏิวัติอิสลาม เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา (16 พ.ค)
ท่านผู้นำสูงสุดได้ย้ำถึงความจำเป็นในการใช้ประโยชน์จากบทเรียนแห่งวันมับอัษ เพื่อสามารถเผชิญหน้าอย่างชาญฉลาดกับญาฮิลียะฮ์ ( อานารยะ)ยุคใหม่ ซึ่งมีความน่ากลัวอันตรายมากขึ้นและมีความพร้อมกว่าญาฮิลียะห์ ก่อนการปรากฏตัวอิสลามด้วยซ้ำ ซึ่งมหาอำนาจ โดยเฉพาะอเมริกาเป็นหัวหน้าและปัจจัยหลักในการสร้าง “ญาฮิลียะห์ ยุคใหม่” และกล่าวย้ำว่า ประสบการณ์ 35 ปีที่ผ่านมา ของสาธารณรัฐอิสลาม บ่งชี้ว่า ประชาชาติอิสลาม ด้วยการรักษาสององค์ประกอบหลัก “บาศีรัต” และ “ความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยาน” จะสามารถเผชิญหน้ายืนหยัดกับญาฮิละห์ ยุคใหม่ และสามารถเอาชนะมันได้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวันอีดมับอัษ อีดที่ยิ่งใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ แด่ประชาชาติอิหร่าน มวลมุสลิมทั่วโลกและ ผู้ที่เรียกร้องเสรีภาพทุกท่าน ซึ่งมนุษย์ชาติล้วนแล้วจำเป็นต่อสาส์นและบทเรียนของการบิอ์ษิต และกล่าวย้ำว่า การบิอษัตของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล)เพื่อเผชิญหน้าต่อสู้กับญาฮิละห์ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในคาบสมุทรอาหรับเท่านั้น แต่มันครอบคลุมอานาจักรใหญ่ที่มีอำนาจครองโลกด้วย
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า องค์ประกอบหลัก ของญาฮิลียะห์ คือ “อารมณ์ใฝ่ต่ำ กิเลสตัณหา” และ “ความโกรธ” และกล่าวเสริมว่า อิสลามในวันนั้นต้องเผชิญหน้ากับความหลงทางแห่งวิถีชีวิตของมนุษย์ที่แพร่ขยายในวงกว้าง ซึ่งด้านหนึ่งเกิดมาจาก อามรณ์ใฝ่ต่ำ กิเลสตัณหาที่ไม่อาจยับยั้งได้ และอีกด้านหนึ่งเกิดจากการถูกครอบงำโดยความโกรธและความโหดร้ายที่นำมาซึ่งความหายนะ
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ญาฮิลียะห์ยุคสมัยนั้นถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ และวางอยู่บนสองพื้นหลักดังกล่าวเช่นกัน คือ “อารมณ์ใฝ่ต่ำ กิเลสตัณหา” และ “ความโกรธ” โดยกล่าวย้ำว่า ในวันนี้ก็เช่นกัน ยังคงเห็นความต้องการเพศที่ไม่มีเหตุและผล และไม่อาจยับยั้งได้ ความดื้อด้านและความโหดร้ายในการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างไร้ขอบเขต จะมีความแตกต่างตรงที่ว่า ญาฮิละห์ยุคใหม่เพียบพร้อมด้วยอาวุธทางวิทยาศาสตร์และความรู้ซึ่งมันมีความน่ากลัวและอันตรายอย่างยิ่ง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า ในทางตรงกันข้าม อิสลามก็ได้มีการเตรียมพร้อมที่ดีกว่า และมีการจัดตั้งกองกำลังอันยิ่งใหญ่ของอิสลามก็ได้แผ่ขยายออกไปในโลกด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย และมีความหวังสูงที่จะประสบความสำเร็จ แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องมีความรู้แจ้ง “บาศีรัต” และ “ความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยาน” เป็นที่ตั้ง
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึง สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศอิสลาม ความไม่มั่นคงและความไม่สงบ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการยึดครองของกลุ่มก่อการร้ายในบางประเทศในภูมิภาค คือ กรณีตัวอย่างของญาฮิลียะห์ยุคใหม่ในวันนี้ ซึ่งมันมีผลมาจากแผนการของมหาอำนาจผู้อหังการ โดยเฉพาะอเมริกา และกล่าวย้ำว่า ในการดำเนินการสู่ป้าหมายอันชั่วร้ายและปกป้องพลประโยชน์ของตนเองนั้น พวกเขาได้ทำการโฆษณาชวนเชื้อที่โกหกมดเท็จอย่างแพร่หลาย ซึ่งกรณีตัวอย่างในเรื่องนี้ คือคำกล่าวอ้างของอเมริกาในการปราบปรามและต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ขณะที่อเมริกากล่าวอ้างในสิ่งนี้ แต่พวกเขาเองกลับยอมรับในการสร้างกลุ่มก่อการร้ายที่อันตรายที่สุดขึ้นมา เช่น กลุ่มก่อการร้ายไอซิส อเมริกาให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในซีเรียอย่างเป็นทางการ อีกทั้งยังให้สนับสนุนกลุ่มผู้สนับกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ด้วย อเมริกายังให้การสนับสนุนรัฐเถื่อนยิวไซออนิสต์ ที่ทำการกดขี่และบีบบังคับพี่น้องชาวปาเลสไตน์ ในกาซ่าและพี่น้องทางฝั่งตะวันตกอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ในสโลแกนของพวกเขากลับอ้างเท็จว่าเป็นการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย แหละนี่คือ “ญาฮิลียะห์ยุคใหม่” นั้นเอง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงประเทศอิสลามทั้งหลาย ว่า ประชาชาติอิหร่านคือประชาชาติผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสลาม และเหล่าผู้ปกครองอิสลามพึ่งรู้ ว่า เราสามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้เผชิญหน้ากับญาฮิลียะห์ยุคใหม่นี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า วัตถุประสงค์หลักของนโยบายอันสกปรกของมหาอำนาจในภูมิภาค และในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ การสร้างสงครามตัวแทน และกล่าวย้ำว่า พวกเขามุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของตน อีกทั้งเพื่อเติมเงินให้เต็มกระเป่าให้กับกลุ่มบริษัทขายอาวุธ ดังนั้นประเทศต่างๆในภูมิภาคควรระมัดระวังให้ดีเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของนโยบายเหล่านี้
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงข้ออ้างที่เป็นเท็จของอเมริกา โดยเฉพาะความสงบสุขของอ่าวเปอร์เซีย ว่า อ่าวเปอร์เซียมันเกี่ยวข้องกับประเทศชาติในเขตภูมิภาค ไม่ใช่เกี่ยวข้องกับอเมริกา ดังนั้นความสงบสุขและความมั่นคงของอ่าวเปอร์เซีย ประเทศเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถดำเนินการเพื่อให้เกิดความสงบสุขและความมั่นคงได้
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า อเมริกาไม่ได้ต้องการสร้างความสงบสุขในเขตภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย และไม่มีความเหมาะสมและไม่มีคุณสมบัติพอที่จะออกมาแสดงทัศนะในเรื่องนี้ และกล่าวย้ำว่า ความสงบสุขของอ่าวเปอร์เซียเป็นผลประโยชน์ของทุกคน หากมันสงบสุขเราก็ได้รับประโยชน์ หากมันไร้ความสงบสุข ทุกคนก็จะไม่ได้รับความสงบสุข
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงความเท็จในการแอบอ้างของอเมริกา ที่กล่าวอ้างว่าเพื่อความสงบสุขของภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย คือเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจที่เกิดขึ้นในเยเมน โดยกล่าวย้ำว่า ในวันนี้เยเมน กลายเป็นสนามแห่งเข่นฆ่าเด็กๆและบรรดาสตรีผู้บริสุทธิ์ ซึ่งตัวการในการสร้างความไม่สงบและการเข่นฆ่าสังหารในเยเมนคือประเทศที่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิม แต่ ผู้ออกแบบและตัวการก่อการร้ายนั้นคืออเมริกา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงคำพูดเท็จของอเมริกาที่กล่าวอ้างว่าอิหร่านให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ว่า ประชาชาติอิหร่านได้ทำการต่อสู้อย่างเด็ดขาดและจริงจังกับกลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศที่ได้รับเงินและการสนับสนุนจากอเมริกา แล้วไฉนอิหร่านจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนการก่อการร้าย ในขณะบุคคลที่ให้การสนับสนุนตัวจริงอย่างเปิดเผยและทางการนั้นคืออเมริกา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามย้ำว่า อิหร่านได้ทำการต่อสู้กับการก่อการร้ายมาตลอดและเราก็จะยังคงเดินหน้าปราบปรามต่อสู้กับพวกเขาต่อไป อีกทั้งกล่าวย้ำว่า ประชาชาติอิหร่านจะให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมือกลุ่มบุคคล ทั้งในอิรัก ซีเรีย เลบานอนและปาเลสไตน์ ที่ได้ยืนหยัดต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายที่อันตรายที่สุด และกลุ่มก่อการร้ายยิวไซออนิสต์
ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ในการปฏิบัติการก่อการร้ายของอเมริกา โดยกล่าวยังเจ้าหน้าที่ของอเมริกาว่า ผู้ก่อการร้ายคือพวกคุณนี่แหละ การปฏิบัติการก่อการร้ายเป็นผลงานของพวกคุณ เราต่อต้านการก่อการร้าย และเราต่อสู้กับมัน และเราให้การสนับสนุนผู้ถูกกดขี่
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า ประชาชนเยเมน บาห์เรนและปาเลสไตน์เป็นผู้ถูกกดขี่ และกล่าวเสริมว่า ในเดือนต้องห้าม (ฮะรอม) บรรดาผู้ตั้งภาคี (มุชริกีน) ของมักกะฮ์ยังยุติสงคราม แต่วันนี้บรรดาผู้ที่ได้สร้างความทุกข์โศกให้กับครอบครัวทั้งหลายของชาวเยเมนนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าบรรดาผู้ตั้งภาคี (มุชริกีน) ในยุคนั้นเสียอีก
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การช่วยเหลือบรรดาผู้กดขี่คือคำสั่งที่ชัดแจ้งของศาสนาอิสลาม และกล่าวย้ำว่า เราจะสนับสนุนผู้ถูกกดขี่ เท่าที่เราสามารถจะกระทำได้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้เรียกร้องประเทศในภูมิภาคทั้งหลายให้มีความระมัดระวังต่อนโยบายของมหาอำนาจ ในการสร้างศัตรูปลอมและสร้างความหวาดกลัวซึ่งกันและกัน ว่า โดยพวกเขามีความพยายามที่จะหันเหศัตรูตัวหลักคือมหาอำนาจและพันธมิตรของยิวไซออนิสต์ ให้เป็นเรื่องชายขอบ และให้ประเทศอิสลามมีการหันหน้าหำหั่นซึ่งกันและกัน ดังนั้นจำต้องมีการต่อสู้กับญาฮิลียะห์ยุคใหม่นี้
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงการตื่นตัวของประชาชาติในภูมิภาค ว่า ชนชาติทั้งหลายในภูมิภาคได้ตื่นขึ้นแล้ว พวกเขาได้ปราบปรามการตื่นตัวของอิสลามได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่การตื่นตัวและความเข้าใจที่ถ่องแท้ (บะศีรัต) นั้นไม่อาจปราบปรามให้หมดไปได้ จะต้องไม่มองข้ามพลังอำนาจที่มากมายของประชาชาติอิสลาม และวันนี้ประชาชาติอิหร่านก็มีการตื่นตัวและระมัดระวังมากกว่าชาติอื่นๆในภูมิภาค
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึง มหาอำนาจผู้อหังการได้พยายามนานนับปีในการปราบปรามการตื่นตัวและการลุกขึ้นต่อสู้ในภูมิภาค และตลอดระยะเวลา 35 ปี ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยหยุดนิ่งในการต่อสู้และเผชิญหน้ากับสาธารณรัฐอิสลามในฐานะแกนหลักของการตื่นตัวอิสลาม แต่ทว่าก็ได้รับความปราชัยทุกครั้ง และหลังจากนี้ไปก็จะต้องพบกับความปราชัยและความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ก่อน การปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุด ฮะซัน โรฮานี ประธานาธิบดี อิหร่าน ได้กล่าวปราศรัย และกล่าวแสดงความยินดีในงานเฉลิมฉลองวันมับอัษ (วันประกาศแต่งตั้งท่านนบีเป็นศาสนทูต) พร้อมกับกล่าวว่า วันมับอัษ คือวันแห่งการลุกขึ้นของมวลมนุษย์ชาติ และเป็นจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับสังคมแห่งความศรัทธา และตามหลักคำสอนของอิสลามและผลพวงแห่งการบิอษัตครั้งนี้ สามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ และสังคมที่ควบคู่ด้วยความยุติธรรม หาใช่คมดาบ กระสุนอาวุธและคฤหาสน์อันยิ่งใหญ่และสูงตระง่าน แต่ทว่าเป็นความสัจจริง และวิวรณ์
ฮะซัน โรฮานี กล่าวชี้ว่า อิหร่านไม่เคยรุกรานชาติใดและจะไม่มีวันรุกรานอย่างแน่นอน ทว่าหากเราถูกรุกรานก่อน คำตอบของเราเหมือนดังสงครามแปดปีที่ผ่านมา ที่จะต้องพบกับความเสียใจอย่างแน่นอน
เขาได้ชี้ว่า หลักคำสอนที่ศาสดานำมาเพื่อประชาชาตินั้น คือ วิทยปัญญา ความยุติธรรม คามประเสริฐและคุณลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ด้านจิตวิญญาณ และกล่าวย้ำว่า หลักคำสอนของอิสลามไม่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงใดๆ โดยที่ศัตรูได้วางแผนให้หลักคำสอนเหล่านี้ควบคู่กับความรุนแรง เพื่อจะได้ไม่เข้าใจใดๆจากหลักคำสอนเหล่านี้
ประธานาธิบดีอิหร่าน ได้ชี้ถึง การส่งเสริมความแตกแยกและสร้างภาพลวงตาโรคกลัวอิหร่านในหมู่พี่น้องมุสลิม และกล่าวชี้วา ตั้งแรกเริ่มอิหร่านเรียกร้องสันติภาพ ความยุติธรรม ช่วยเหลือผู้อื่น และยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรมและผู้อหังการ และไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การกดขี่เป็นอันขาด และกล่าย้ำว่า อิหร่านไม่เคยรุกรานชาติใดและจะไม่มีวันรุกรานอย่างแน่นอน ทว่าหากเราถูกรุกรานก่อน คำตอบของเราเหมือนดังสงครามแปดปีที่ผ่านมา ที่จะต้องพบกับความเสียใจอย่างแน่นอน อิหร่านไม่ต้องการสิ่งใดยกเว้นสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายของตนเท่านั้น และกล่าวย้ำถึงประเทศอิสลามและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลายว่า จงขอความคุ้มครองยังแคมป์ของท่านศาสดาและกุรอาน ไม่ใช่แคมป์เดวิด เนื่องจากค่ายของศาสดาและอิสลามเท่านั้น ที่จะสามารถปลดปล่อยและช่วยเหลือพวกท่าน