สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประชาชนนับพันคนเข้าพบท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม

ประชาชนนับพันคนเข้าพบท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เนื่องในวันอีดฆอดีรคุม

ประชาชนนับพันคนเข้าพบท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เนื่องในวันอีดฆอดีรคุม
  
 เหตุการณ์ฆอดีรคุม คือตรรกะที่ชัดเจนและแข็งแกร่งในการปฏิเสธแนวคิดแบบเซคคิวลาร์ / ทุกการดำเนินการที่เป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชีอะฮ์และซุนนี คือการช่วยเหลือ อเมริกา อังกฤษที่ชั่วร้ายและลัทธิไซออนิสต์ /  ความพยายามต่างๆ ของอเมริกาและบรรดาพันธมิตร ในการเผชิญหน้าแบบโกหกปลิ้นปล่อนกับดาอิชนั้น มันจะพุ่งเป้าไปที่การก่อความเป็นศัตรูระหว่างชาวมุสลิมเสียมากกว่า 
     
 เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมฉลองวัน "อีดฆอดีรคุม" ประชาชนนับพันคนจากทุกภาคส่วน เข้าพบ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามเมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา (13  ตุลาคม) 
 
ซึ่งท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า "การแต่งตั้งท่านอะมีรุลมุอ์มินีนเป็นผู้นำ" และ "การให้ความสำคัญและเน้นย้ำของอิสลามต่อประเด็นการเมืองและการปกครอง" นั้น เป็นสองแนวคิดหลักที่สำคัญของเหตุการณ์ฆอดีรคุม พร้อมกับเน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการสร้างเอกภาพและความเป็นปึกแผ่นของพี่น้องมุสลิม  และกล่าวเสริมว่า ทุกคนและทุกการดำเนินการที่เป็นเหตุให้เกิดการปลุกปั่นด้านอารมณ์ความรู้สึกของฝ่ายตรงกันข้ามและความขัดแย้งระหว่างชีอะฮ์และซุนนีนั้น จะเป็นการช่วยเหลือ "อเมริกา อังกฤษที่ชั่วร้ายและลัทธิไซออนิสต์"  หมายถึงบรรดาประเทศที่เป็นผู้สร้างกระแสกลุ่มผู้โง่เขลา งมงายล้าหลังและกลุ่มพวกที่มีแนวคิดแบบตักฟีรี"

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้แสดงความยินดีเนื่องวโรกาสวันอีดฆอดีรคุม  พร้อมกับถือว่า เหตุการณ์ที่สำคัญและเปี่ยมด้วยนัยยะที่ลุ่มลึกแห่งฆอดีรคุมนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่ถูกยอมรับอย่างชัดเจนในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม  พร้อมกับกล่าวว่า ไม่มีผู้ปฏิบัติตามกลุ่มนิกายใดๆ ของอิสลาม จะเคลือบแคลงสงสัยใน "รากฐานการเกิดขึ้นจริงของเหตุการณ์ฆอดีรคุมและประโยคคำพูดอันมีเกียรติของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ที่ว่า «مَنْ كُنْتُ مَوْلاهُ، فَهذا عَلِىٌّ مَوْلاهُ» "ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา ดังนั้น อาลีผู้นี้ก็เป็นผู้ปกครองของเขาด้วย” 

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า ชุบฮาต (ข้อเคลือบแคลงสงสัย)ในปัจจุบันที่เกิดขึ้นในความนึกคิดของบรรดาผู้ที่อ่อนทางความคิด เกี่ยวกับความหมายของประโยคอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ ก็คือคำพูดต่างๆ เมื่อพันปีที่ผ่านมา ซึ่งบรรดานักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ได้ให้คำตอบไว้แล้ว

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงความหมายทั่วไปอันเป็นที่ยอมรับของประโยคคำพูดอันมีเกียรติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)ในวันอีดฆอดีรคุม นั้นหมายถึงการแต่งตั้งท่านอะมีรุลมุอ์มีนีน(อ)เป็นผู้นำและเป็นวะศีย์(ตัวแทนของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ) และกล่าวเสริมว่า ประโยคนี้ยังมีความหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งอยู่ด้วยที่จะต้องไม่เพิกเฉยและหลงลืม นั่นก็คือ อิสลามได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการปกครองและการเมืองของประชาชาติ

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงการโฆษณาชวนเชื่อยังมีเป้าหมายของศัตรูประชาชาติอิสลามเพื่อแยกอิสลามจากการเมืองและมุ่งเน้นศาสนาอิสลามเฉพาะประเด็นปัจเจกบุคคลเท่านั้น  พร้อมกับกล่าวเสริมว่า  เหตุการณ์ฆอดีรคุม คือตรรกะที่ชัดเจนและแข็งแกร่งในการปฏิเสธแนวคิดแบบเซคคิวลาร์ (การแยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร) ทั้งนี้เนื่องจากว่า ฆอดีรคุมนั้นเป็นมัศฮัร(สัญลักษณ์และภาพสะท้อน)ถึงการให้ความสำคัญและการเน้นย้ำของอิสลามต่อเรื่องการปกครองและการเมือง

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ปฏิเสธความคิดที่ว่า ประเด็นการแต่งตั้งอะมีรุลมุอ์มีนีนเป็นผู้นำโดยมือของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)นั้นเป็นเพียงแค่เรื่องการแต่งตั้งทางด้านจิตวิญญาณเท่านั้น  พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณนั้นไม่อาจแต่งตั้งได้ และความหมายที่แท้จริงของเหตุการณ์อันจำเริญนี้ก็คือ การให้ความสำคัญในเรื่องของการปกครองและการบริหารสังคม และนี่คือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ของ ฆอดีร สำหรับมวลมุสลิม 
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เรื่องของฆอดีรคุม เป็นประเด็นเรื่องหลักความศรัทธา รากฐานและฐานรากที่สำคัญในอุดมการณ์ของชีอะฮ์  ขณะเดียวกันท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า  สถานที่ของการอภิปรายถกเถียงและการพิจารณาตรวจสอบตรรกะที่แข็งแกร่ง และการเป็นหลักฐานข้อพิสูจน์ที่เด็ดขาดของชีอะฮ์ในประเด็นของฆอดีรคุมนี้ ควรให้อยู่ในแวดวงทางวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเท่านั้น  และประเด็นดังกล่าวนี้ไม่ควรจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการดำเนินชีวิตในสาธารณชนของชาวมุสลิม ในความเสมอภาคและความเป็นพี่น้องกันของพวกเขา

จากมุมมองนี้ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ทำการพิจารณานโยบายหลักของมหาอำนาจ กล่าวคือ สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นระหว่างนิกายในอิสลาม โดยเฉพาะระหว่างซุนนีกับชีอะฮ์  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องมุสลิมนั้น แน่นอนยิ่งว่าจะเป็นสาเหตุทำให้พละกำลังความมุ่งมั่นและแรงจูงใจทั้งหลายของพวกเขาถูกใช้ไปในความขัดแย้งต่างๆ ภายใน จนไม่ใส่ใจต่อศัตรูที่สำคัญและศัตรูหลักของตนเอง และนี่คือเป้าหมายที่นักล่าอาณานิคมและมหาอำนาจได้วางแผนไว้

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเผชิญหน้ากับแนวคิด อุดมการณ์และทิศทางของสาธารณรัฐอิสลาม นั้น เป็นปัจจัยหลักที่สำคัญของการลงทุนอันมหาศาลของมหาอำนาจในการสร้างความขัดแย้งระหว่างหมู่พี่น้องมุสลิม  พร้อมกับกล่าวเสริมว่า อเมริกา ไซออนิสต์และ "ผู้เชี่ยวชาญจอมเก๋าในการสร้างความแตกแยก หมายถึงรัฐบาลที่ชั่วร้ายของอังกฤษ" หลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม พวกเขาได้เพิ่มความพยายามต่างๆ อย่างเต็มที่เพื่อที่จะสร้างความขัดแย้งและการเบี่ยงเบนความคิดของชีอะฮ์และซุนนีออกไปจากศัตรูหลัก

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า  กลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีที่เกิดขึ้นในอีรัก ซีเรียและอีกหลายประเทศนั้นเป็นผลพวงจากการการวางแผนของมหาอำนาจเพื่อสร้างความแตกแยก ความขัดแย้งระหว่างหมู่พี่น้องมุสลิม พร้อมกับกล่าวเสริมว่า  พวกเขาได้สร้าง กลุ่มอัลกออิดะฮ์ และ ดาอิชขึ้นมา เพื่อสร้างความแตกแยกและจัดการกับสาธารณรัฐอิสลาม" ทว่าในวันนี้ภัยกำลังย้อนกลับไปสู่ตัวพวกเขาแล้ว

ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค ว่า  การพิจารณาอย่างรอบคอบและการวิเคราะห์เกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าความพยายามต่างๆ ของอเมริกาและบรรดาพันธมิตร ที่พวกเขาได้ตั้งชื่ออย่างเสแสร้งว่า "การจัดการกับกลุ่มดาอิช" นั้น พวกเขาพุ่งเป้าไปที่การสร้างความแตกแยกและก่อความเป็นศัตรูในระหว่างชาวมุสลิมมากกว่าที่จะทำลายล้างเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ของขบวนการนี้

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า ทุกคนที่ยึดมั่นในอิสลามและยอมรับในการตัดสินชี้ขาดของคัมภีร์อัลกุรอาน ไม่ว่าเขาจะเป็นชีอะฮ์หรือซุนนีก็ตาม พึงรู้ว่า นโยบายต่างๆ ของอเมริกาและไซออนิสต์ คือศัตรูที่แท้จริงและศัตรูหลักของอิสลามและชาวมุสลิม

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การระมัดระวังและการหลีกเลี่ยงอย่างแท้จริงในการปลุกปั่นด้านอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อนิกายอื่นๆ คือพันธะกิจหลักที่สำคัญของหมู่พี่น้องมุสลิม  พร้อมกับกล่าเสริมว่า ชีอะฮ์และซุนนีจะต้องรับรู้ว่า ทุกการดำเนินการหรือทุกคำพูด อาทิ  การดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ของกันและกันนั้น จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดความเปราะบางและเป็นการจุดเพลิงไฟแห่งความแตกแยก และแน่นอนยิ่งว่า สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับศัตรูร่วมของบรรดามุสลิมทั้งมวล 

ในช่วงท้ายท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงความปราชัยของเหล่าผู้สร้างฟิตนะห์และมหาอำนาจโลกทั้งหลายในช่วงระยะเวลา 35  ปีที่ผ่านมา  พร้อมกับย้ำว่า 
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ในครั้งนี้ บรรดาศัตรูของประเทศนี้ก็จะพบกับความปราชัยอีกครั้ง และมุสลิมทั้งมวลที่ดำเนินชีวิตอยู่ในสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านก็จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของตน ด้วยความรู้เท่าทันและมีวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้ง 




700 /