บรรดานักศึกษานับพันคนจากมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชั้นสูงได้เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เมื่อช่วงบ่ายวันพุธที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งในการพบปะครั้งนี้ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง เพื่อสามารถนำเสนออุปสรรค์ ปัญหา ความท้าทาย ข้อเรียกร้องและทัศนะต่างๆภาคสังคมของนักศึกษา ณ. เบื้องหน้าท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งท่านผู้นำสูงสุด ได้มีการตอบคำถามต่างๆของบรรดานักศึกษา พร้อมกับชี้แนวทางในการแก้ปัญหาที่เร่งด่วน และชี้ถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศและภูมิภาค
หลังจากที่ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ฟังคำพูดต่างๆของตัวแทนจากองค์กรและนักศึกษาเป็นเวลา เก้าสิบนาที แล้ว ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวชื่นชมจิตวิญญาณ “แห่งความเบิกบาน มีชีวิตชีวา เรียกร้องตามความต้องการ จิตวิญญาณแห่งความคิดสร้างสรรค์ จิตวิญญาณแห่งแห่งการวิพากษ์และในขณะเดียวกันมีความรับผิดชอบในหน้าที่” ในสังคมของนักศึกษา พร้อมกับอธิบายรากเหง้าและปัจจัยเหตุเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดในฉนวนกาซ่า ว่า อาชญากรรมต่าง ๆ เหล่านี้เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ และเป็นตัวตนที่แท้จริงของพวกระบอบไซออนิสต์ที่มีคุณลักษณะของหมาป่าและการเข่นฆ่าเด็กอย่างแท้จริง ซึ่งมีหนทางแก้ไขเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือการกำจัดระบอบไซออนิสต์ให้หมดสิ้น อย่างไรก็ตาม กว่าที่จะถึงช่วงเวลานั้น การมุกอวิมัตอย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยว โดยการติดอาวุธของชาวปาเลสไตน์และการขยายตัวของสิ่งนี้ไปยังเขตเวสต์แบงก์ เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะจัดการและเผชิญหน้ากับระบอบไซออนิสต์ที่ป่าเถื่อนนี้ ขณะเดียวกัน การสนับสนุนและการปกป้องอย่างออกนอกหน้าและไร้ยางอายของอเมริกาและตะวันตกที่มีต่อโศกนาฏกรรมและการก่ออาชญากรรมของไซออนิสต์ นั้นจำต้องถือเป็นประสบการณ์หนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง และจะมีผลกระทบในปฏิสัมพันธ์ มุมมองและพฤติกรรมการแสดงออกของเราที่มีต่อตะวันตกและเข้าใจและรับรู้ว่าข้อเท็จจริงต่างๆและตัวตนที่แท้จริงของอเมริกา คือสิ่งนี้ และในวันอัลกุดส์นี้ ประชาชาติอิหร่านจะรวมพลครั้งยิ่งใหญ่เพื่อประกาศและแสดงให้เห็นว่าเป็นประชาชาติที่ปกป้อง และจะเป็นสหายของผู้ถูกกดขี่และเป็นศัตรูของผู้กดขี่ตลอดไป
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ผู้ถูกกดขี่ในฉนวนกาซ่า และได้กล่าวเสริมว่า เหตุการณ์เหล่านี้ เป็นเครื่องแสดงถึง นโยบายความรุนแรงที่เปิดเผยและกำปั้นเหล็ก ซึ่งตลอดอายุขัย 66 ปีของตน ระบอบการปกครองเถื่อนและไร้ความชอบธรรมแห่งไซออนิสต์นี้ ได้ดำเนินการอย่างซ้ำซาก ด้วยความภาคภูมิใจและอุกอาจอยู่เสมอ
ท่านผู้นำสูงสุดได้ย้ำว่า ดังเช่นที่ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้กล่าวไว้ อิสราเอลจะต้องถูกกำจัดไป แน่นอนยิ่งการกำจัดอิสราเอลนั้น เป็นเพียงแนวทางแก้ไขที่แท้จริงแนวทางเดียวเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายถึงการกำจัดประชาชนชาวยิวในพื้นที่นี้ให้หมดไป ทว่าสำหรับการดำเนินการที่มีตรรกะนี้ ย่อมมีกลไกและแนวทางปฏิบัติ ซึ่งสาธารณรัฐอิสลามได้นำเสนอไปแล้วต่อประชาคมระหว่างประเทศ
ท่านได้กล่าวเสริมว่า บนพื้นฐานของกลไกและแนวทางที่ทุกชาติยอมรับนี้ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และเป็นชาวเมืองที่มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่แห่งนี้ จะประกาศเลือกอำนาจการปกครองที่ตนเองต้องการโดยอาศัยการลงประชามติ และโดยวิธีการนี้เองที่รัฐบาลเถื่อนผู้ฉกชิงจะถูกทำลายไป
ท่านผู้นำการปฏิวัติได้กล่าวว่า อย่างไรก็ตามกว่าจะถึงช่วงเวลาที่ระบอบที่โหดร้ายป่าเถื่อนและอาชญากรนี้จะถูกทำลายลงโดยการช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า การมีอำนาจที่เข้มแข็งและการมุกอวิมัตอย่างเด็ดเดี่ยวมั่นคงและด้วยการติดอาวุธนั้น คือแนวทางแก้ไขจัดการกับระบอบที่ทำลายล้างนี้
ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวว่า ใครอย่าได้หลงคิดว่า หากฉนวนกาซาไม่มีขีปนาวุธต่าง ๆ แล้ว ระบอบไซออนิสต์ก็คงลดราลงไปบ้างแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากว่าในเขตเวสต์แบงก์เองก็ไม่มีขีปนาวุธหรือปืนใด ๆ และอาวุธเพียงอย่างเดียวของประชาชนเหล่านั้นก็มีเพียงแค่ “ก้อนหิน” แต่รัฐบาลเถื่อนไซออนิสต์นี้ก็ได้กระทำการเข่นฆ่าและดูถูกเหยียดหยามประชาชนในที่นั้นเช่นกัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงการเหยียดหยามและการวางยาพิษนายยัสเซอร์ อาราฟัต โดยน้ำมือของชาวไซออนิสต์ และกล่าวเสริมว่า บรรดาผู้ยึดครองไม่ได้ใส่ใจใด ๆ แม้แต่บรรดาผู้ประนีประนอม และเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะยอมอ่อนข้อลง เฉพาะกรณีที่ชาวปาเลสไตน์มีอำนาจเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงความพยายามของยิวไซออนิสต์สำหรับการหยุดยิง โดยกล่าวว่า รัฐบาลที่ประกอบอาชญากรรม “เกินกว่าที่มนุษยชาติจะคาดคิดและจินตนาการได้” นั้น เมื่อเผชิญกับการมุกอวิมัต (การยืนหยัดต้านทาน)ที่แข็งแกร่งของชาวปาเลสไตน์ พวกเขาก็หมดหนทาง และกำลังมองหาหนทางแก้ปัญหา และสิ่งนี้มันพิสูจน์ให้เห็นว่ายิวไซออนิสต์นั้นจะเข้าใจเฉพาะภาษาของการใช้กำลังเพียงเท่านั้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติได้กล่าวเสริมว่า เมื่อพิจารณาถึงความจริงข้อนี้ เราเชื่อมั่นว่าเขตเวสต์แบงก์เอง ก็จำเป็นต้องติดอาวุธเหมือนกับฉนวนกาซ่า และบรรดาผู้ที่มีความปรารถนาต่อชะตากรรมของปาเลสไตน์ พวกเขาก็จงดำเนินการเคลื่อนไหวในด้านนี้ดู เพื่อที่จะทำให้ความเดือดร้อนและความทุกข์ยากของประชาชนชาวปาเลสไตน์บรรเทาลงได้บ้าง ภายใต้ความเข้มแข็งขึ้นของพวกเขาและความอ่อนแอลงของศัตรูไซออนิสต์
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การสนับสนุนทางการเมืองต่อประชาชนในฉนวนกาซ่านั้น เป็นหน้าที่ของชนชาติทั้งหลายไม่ว่าเขาจะเป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม และโดยการชี้ถึงการประกาศความชิงชัง และเกลียดชังของชนชาติทั้งหลายที่มีต่อความป่าเถื่อนของอิสราเอลนั้น ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวย้ำว่า อินชาอัลลอฮ์ ในวันอัลกุดส์นี้ โลกจะได้ประจักษ์เห็นคลื่นมหาชนของประเทศอิหร่าน และประชาชนจะได้แสดงให้เห็นว่า แรงบันดาลใจในการให้การสนับสนุนชาวปาเลสไตน์นั้น ยังคงเป็นกระแสคลื่นที่ทรงพลังเหมือนเช่นเคยในแผ่นดินแห่งอิสลามแห่งนี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงคำขวัญที่ว่า ไม่ยุ่งกับฉนวนกาซา และไม่ยุ่งกับเลบานอน แต่จะเอาเรื่องกับพวกสร้างฟิตนะฮ์ พร้อมกับกล่าวเสริมว่า บางคนโดยอาศัยคำขวัญนี้ ต้องการที่จะแสดงให้เห็นความเป็นจริงในด้านกลับกันของชนชาติอิหร่าน แต่ประชาชนจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น และในวันศุกร์นี้พวกเขาจะแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า พวกเขาจะเป็นสหายของผู้ถูกกดขี่และเป็นศัตรูของผู้กดขี่ตลอดไป
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อการสนับสนุนและปกป้องอย่างออกนอกหน้าและไร้ยางอายของบรรดามหาอำนาจและโดยการนำของอเมริกาที่มีต่อโศกนาฏกรรมและการใช้ความรุนแรงที่ไม่อาจจะบรรยายได้ของไซออนิสต์ และกล่าวเสริมว่า เหตุการณ์ในฉนวนกาซ่าเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดและความทุกข์โศกยิ่ง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ จะต้องทำการวิเคราะห์ตรวจสอบดูพฤติกรรมของพวกจักรวรรดินิยมในเหตุการณ์ครั้งนี้ ด้วยการมองให้ลึกมากยิ่งขึ้นต่อเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในฉนวนกาซ่า
ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า หลายรัฐบาลของตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาและอังกฤษที่ชั่วร้ายได้แสดงการสนับสนุนอย่างชัดเจน ต่ออาชญากรรมซึ่งแม้แต่คนทั่วไปก็ไม่อาจยอมรับมันได้ และในท่ามกลาง “การเข่นฆ่าเด็ก การทำลายล้าง ความทุกข์ระทมและการทรมาน” ของประชาชนในฉนวนกาซ่านี้ ประธานาธิบดีอเมริกาได้กล่าวคำพูดที่น่าขันว่า อิสราเอลมีสิทธิที่จะปกป้องความสงบสุขของตัวเอง ! แล้วชาวปาเลสไตน์นั้นไม่มีสิทธิบ้างหรือที่จะปกป้องความสงบสุขและชีวิตของพวกเขา ?
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวเสริมว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ของประเทศมหาอำนาจทั้งหลายนั้น ไม่เข้าใจเลยว่า ด้วยกับการปกป้องอาชญากรรมต่าง ๆ ของไซออนิสต์ผู้ชั่วร้ายและผู้ก่อความเสียหายนั้น พวกเขากำลังทำลายเกียรติของตนเองและประเทศของพวกเขาต่อหน้าชนชาติทั้งหลาย และประวัติศาสตร์จะทำการตัดสินอย่างหนักหน่วงในความร่วมมือของพวกเขาต่อโศกนาฏกรรมเหล่านี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงรากเง้าที่มาของพฤติกรรมที่อุกอาจไร้ยางอายของตะวันตก โดยกล่าวว่า การปกป้องอาชญากรรมต่าง ๆ ของพวกไซออนิสต์นั้น ได้หยั่งรากและฝังลึกอยู่ในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมและในตรรกะที่ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากคุณค่าทางด้านศีลธรรมเลยแม้แต่น้อยนิด และไม่มีความสำนึกทางด้านมนุษยธรรมแต่อย่างใดเลย
ในการสรุปคำพูดส่วนนี้ ท่านผู้นำสูงสุดได้กล่าวว่า อเมริกาคือผู้ซึ่งอยู่ในความท้าทายกับสาธารณรัฐอิสลามในกรณีต่าง ๆ นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่เราได้เห็นอยู่ เราจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับอเมริกาให้มากยิ่งขึ้นจากปัญหานี้ และการทำความรู้จักดังกล่าวนี้ ในฐานะประสบการณ์ที่มีความสำคัญยิ่ง จะมีผลกระทบในปฏิสัมพันธ์ มุมมองและพฤติกรรมการแสดงออกของเราที่มีต่ออเมริกา และสิ่งนี้จะต้องกลายเป็นมาตรฐานสำหรับประชาชนของเรา นักศึกษา ปัญญาชนและสำหรับเราทุกคน
ท่านผู้นำการปฏิวัติได้ย้ำว่า พฤติกรรมของพวกจักรวรรดินิยม ด้วยกับความโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ถูกกดขี่ในฉนวนกาซ่านั้น ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พวกเขาไม่มีความเชื่อมั่นแต่อย่างใดทั้งสิ้นในเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ สิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรม และสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวอ้างเกี่ยวกับเรื่องเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนนั้น คือการเย้ยหยันต่อเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนเท่านั้น
ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวย้ำอีกครั้งว่า การกล่าวตักเตือนในครั้งนี้หาใช่เจาะจงแก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของอเมริกาไม่ ทว่าเป็นการตักเตือนสำหรับพวกเราด้วย เพื่อที่จะได้รู้จักในหน้าที่ของพวกเราเอง และในการตัดสินและการวิเคราะห์ของพวกเราจะได้รับรู้และเข้าใจว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับใคร
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมว่า คำขวัญและสโลแกนที่ต่อต้านอเมริกา ตะวันตกและมหาอำนาจ ที่ได้ยินในประเทศนั้น เป็นการแสดงออกถึงข้อเท็จจริงและฮะกีกัตที่แท้จริงของตัวตนและการมีอยู่ของอเมริกา ทว่าบางคนมีความคิดที่ผิดๆว่า คำขวัญและสโลแกนเหล่านี้คือเป็นการกระทำที่แสดงความตะอับศูบ ความอคติและปราศจากเหตุและผล
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า มุมมองในการต่อต้านอเมริกาและตะวันตก ที่มีอยู่ในอิหร่านนั้น คือมุมมองที่วางอยู่บน พื้นฐานของหลักตรรกะ และวางอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ และการคิดคำนวณที่ถูกต้อง
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงคำพูดล่าสุดที่กล่าวไว้ในการพบปะกับบรรดาเจ้าหน้าที่และพนักงานของรัฐว่า ตามที่ได้อธิบายไปแล้ว เป้าหมายหลักของศัตรูคือ สร้างความระส่ำระสายในกระบวนการและหน่วยงานคิดคำนวณของพวกเรา เพราะหากระบอบหนึ่งในด้านกระบวนการและหน่วยงานความคิดเกิดความระส่ำระสายแล้ว แม้แต่การรับเอาสิ่งที่ถูกต้องก็จะส่งผลออกที่ผิดพลาดอีกทั้งประสบการณ์ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆสำหรับเขาอีกต่อไป
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้นับประสบการณ์บางประอย่างของประชาชนชาวอิหร่านต่อพฤติกรรมของตะวันตกในช่วงสิบทศวรรษที่ผ่านมา ว่า การดำรงตำแหน่งของทรราชย์ที่แปลกประหลาด ริฎอ กัลป์ดาร์ การบุกยึดอิหร่านในทศวรรษที่ยี่สิบ ปล้นสะดมแหล่งทรัพยากรน้ำมัน การก่อรัฐประหารเมื่อวนที่ ยี่สิบแปด โมรดอด การให้สนับสนุนอย่างเต็มรูปแบบต่อทรราชย์มุฮัมมัด ริฎอ ปาห์ลาวี พยายามทำลายชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม สนับสนุนซัดดัมอย่างเต็มรูปแบบและคำกล่าวร้ายป้ายสีต่างๆอีกมากมาย ล้วนแล้วเป็นประสบการณ์ที่ทรงค่ายิ่งที่ประชาชาติอิหร่าน ได้รู้จักธาตุแท้อย่างแท้จริงและลุ่มลึกของอเมริกา แต่ทว่าบรรดานักวิชาการและนักคิดนักเขียนที่นิยมตะวันตก เช่น ระบบและกระบวนการคิดคำนวณของพวกเขาเกิดความระส่ำระสาย แม้กระทั้งประสบการณ์อันขมขื่นเหล่านี้มิได้ใช้ประโยชน์ที่ถูกต้องแต่อย่างใด
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การฟื้นฟู การทำให้ภูมิปัญญามีชีวิตชีวาที่ถูกต้องเป็นหนึ่งในการรับใช้ที่สำคัญของการปฏิวัติอิสลาม พร้อมกับกล่าวเสริมว่า มันตรงกันข้ามกับความต้องการของประชาชาติ มีกลุ่มหนึ่งนั้นคือกลุ่มเคลื่อนไหวที่ต่อต้านผู้นิยมตะวันตก ได้เข้ามาบริหารประเทศอีกครั้งหนึ่งที่จำต้องมีการยืนหยัดต่อการขับเคลื่อนของกลุ่มดังกล่าว ซึ่งการยืนหยัดครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสอดคล้องกับหลักสติปัญญาอย่างสมบูรณ์แบบ
ในภาคส่วนแรกของคำพูดของท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ในการพบปะกับบรรดานักศึกษา ท่านถือว่าเป็นการพบปะที่ดี และเป็นการบ่งชี้ถึงจิตวิญญาณแห่งความศรัทธา ความเร่าร้อน ตรรกะ และแรงจูงใจที่มีอยู่ในตัวของบรรดาเยาวชน โดย ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า เนื้อหาสาระในวันนี้ ที่ตัวแทนของนักศึกษาได้นำเสนอมานั้น เป็นเครื่องบ่งชี้ของการมีอยู่ของจิตวิญญาณอันนี้ในตัวของบรรดานักศึกษา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า แม้นว่าบางเนื้อหาที่มีการนำเสนอมานั้นไม่มีหลักเหตุและผล หรือ เป็นสิ่งที่ไม่อาจบังเกิดขึ้นได้ หรือ อาจเป็นสิ่งที่ผิด ทว่าสิ่งที่สำคัญในรายละเอียดของสิ่งนี้ คือ การมีอยู่ของจิตวิญญาณแห่งความเบิกบาน มีชีวิตชีวา จิตวิญญาณแห่งการเรียกร้องที่มีอยู่ในตัวของนักศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
ท่านผู้นำสูงสูดกล่าวย้ำว่า เยาวชนนักศึกษาจำต้องมีจิตวิญญาณแห่งการเรียกร้อง มีแรงบันดาลใจ มีความร่าเริงเบิกบาน ปรากฏตัวในทุกเวที ใส่ใจและเฝ้าสังเกตประเด็นต่างๆในประเทศ ซึ่งด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาล ในวันนี้จิตวิญญาณนี้ก็ยังคงอยู่ในตัวของบรรดานักศึกษา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ทว่าจิตวิญญาณแห่งการเรียกร้อง การวิพากษ์ที่มีอยู่ในตัวของนักศึกษานั้นจำต้องควบคู่และคำนึงถึงหลักจริยธรรม ความเป็นธรรม ขอบเขตของหลักชะรีอัตและหลีกเลี่ยงจากการนำเสนอเนื้อหาที่ตนเองไม่มีความเชื่อมั่นและความรอบรู้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวยังบรรดานักศึกษาว่า หวังว่า จิตวิญญาณแห่งความสำนึกในภาระหน้าที่ การเรียกร้อง การวิพากษ์นี้ จะคงอยู่กับพวกท่านตลอดไปแม้นว่าพวกท่านจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ของประเทศในอนาคตก็ตาม เพราะหากมันเป็นเช่นนี้ แน่นอนยิ่งประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวว่า การจัดพิมพ์บทความวิชาการทางวิทยาศาสตร์ในเว็บไซด์วิชาการต่างๆที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก เป็นการกระทำที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง แต่ในที่นี้สิ่งที่เป็นเป้าหมายสูงสุดคือ งานวิทยาศาสตร์จะต้องเกี่ยวข้องกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจกับวัฒนธรรมสังคม ก็เป็นอีกประเด็นเนื้อหาหนึ่งในการนำเสนอของนักศึกษา ซึ่งท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวในประเด็นนี้ว่า เรายอมรับว่า บางครั้งรูปแบบและวิธีการบริหารจัดการเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบในการกำหนดทิศทางวัฒนธรรม ทว่าประเด็นที่สำคัญและมีชีวิตชีวา คือมุมมองโลกทัศน์และกรอบทิศทางด้านวัฒนธรรม ที่ทุกคนและทุกระดับชั้นจำต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงเนื้อหาหนึ่งที่นักศึกษานำเสนอ โดยเฉพาะในประเด็นระยะเวลาของการเข้ารับเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นตัวขัดขวางช่วงเวลาการแต่งงานของนักศึกษา ว่า การแต่งงานของบรรดาเยาวชนเป็นประเด็นที่สำคัญ ซึ่งหากสังคมมีการละเลยและไม่ใสใจในประเด็นนี้ อาจนำมาซึ่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ในอนาคตติดตามมาก็เป็นได้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า แนวทางในการแก้ปัญหากรณีทหารในการแต่งงานของเยาวชน นั้น หาใช่ลดระยะเวลาการเข้ารับเกณฑ์ทหารไม่ แต่จำต้องหาวิธีการและรูปแบบอื่น ซึ่งสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ แรงบันดาลใจในการแต่งงานของเยาวชน
ท่านผู้นำสูงสุด ได้แสดงความผิดหวังที่อายุการแต่งงานเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในบรรดาหญิงสาว พร้อมกับกล่าวย้ำว่า บรรดาเยาวชน ครอบครัวของเยาวชนและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยจำต้อง ปูพื้นฐานสำหรับการแต่งงานในแวดล้อมของมหาวิทยาลัย และจำต้องคิดหาแนวทางและการสกัดกั้นไม่ให้อายุในการแต่งงานเพิ่มสูงขึ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ประเพณีและความเชื่อบางอย่างที่ผิดๆ ก็เป็นสิ่งสกัดกั้นในการแต่งงานของเยาวชน พร้อมกับกล่าวย้ำว่า บรรดาเยาวชนจะมีจิตวิญญาณแห่งการเรียกร้องและเสนอแนะในรูปแบบใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งจำต้องสร้างพื้นฐานในการทำลายประเพณีและความเชื่อที่ผิดๆเหล่านี้ให้หมดไป
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงความบารอกัตด้านจิตวิญญาณและวัตถุของซุนนะห์อันดีงามของการแต่งงาน ว่า จำต้องมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจังในสังคม เพื่อให้การแต่งงานเริ่มแพร่กระจายในหมู่เยาวชนและนักศึกษาในทิศทางที่ดีขึ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามยังได้ตอบคำถามของนักศึกษาท่านหนึ่ง ที่ได้ถามว่า จุดยืนทางการเมืองของบางคนและนักศึกษาและกลุ่มองค์กรนักศึกษาจำต้องสอดคล้องกับทัศนะของท่านผู้นำสูงสุดเสมอไปหรือไม่?
ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวตอบว่า ไม่ใช่ การจินตนาการเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งจุดยืนของประชาชนโดยเฉพาะบรรดานักศึกษาที่เป็นแนวหน้าของสังคมจำต้องเรียนรู้ในแบบอย่างและนำเอาทัศนะของท่านผู้นำมาเทียบเป็นบรรทัดฐาน
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า นักศึกษาอยู่ในฐานะเป็นมนุษย์ที่เป็นมุสลิม ผู้ศรัทธา และเจ้าของทัศนะ จำต้องมองเวทีและเหตุการณ์ต่างๆด้วยการวิเคราะห์อย่างละเอียด และบนพื้นฐานของการวิเคราะห์ดังกล่าวก็จะสามารถกำหนดจุดยืนที่มีต่อบุคคลอื่น กลุ่มต่างๆและรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า บรรดาทัดฐานที่ถูกต้องของการวิเคราะห์ จำต้องมีความศรัทธา ความยำเกรง กล่าวคือ การไม่เอาอามรณ์ นัฟสูของตนเข้ามาก้าวกายฝ่ายที่ตนสนับสนุนหรือฝ่ายตรงกันข้าม ในการชื่นชมและการตำหนิ
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า อย่าได้คิดและจินตนาการว่า ทุกคนจำต้องรอให้ท่านผู้นำออกมาประกาศจุดยืนเสียก่อนเป็นอันดับแรกในประเด็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด หรือนโยบายการเมืองหนึ่งการเมืองใด แล้วจากนั้นทุกคนก็คล้อยตามจุดยืนนั้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า วิธีการนี้จะเป็นตัวล็อกการกระทำต่างๆอย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ผู้นำมีหน้าที่ที่ชัดเจน ซึ่งด้วยเตาฟิกของพระผู้อภิบาลจะสามารถปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดี ส่วนนักศึกษาก็มีภารกิจของนักศึกษาเอง ซึ่งจำต้องอาศัยบรรทัดฐานของความยำเกรง และการคำนึงในภาวะเงื่อนไขของเวที เป็นที่ตั้ง
ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงประเด็นหนึ่ง โดยกล่าวว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นหากบนพื้นฐานหนึ่งที่ท่านผู้นำแสดงทัศนะหนึ่งทัศนะใดออกมา ซึ่งบางครั้งทัศนะดังกล่าวจะมีผลต่อการพิจารณาในตัวบุคคลที่ท่านผู้นำมีความหวังดีต่อเขา แต่มันไม่ใช่ความหมายว่า ทัศนะของผู้อื่นต้องเป็นอันตกไป
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ในความเป็นจริง บรรดานักศึกษาคือสัญลักษณ์แห่งจิตสำนึกของการตื่นตัวของประชาชาติ และเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงจุดสนใจของพี่น้องประชาชนในสังคม ดังนั้นจำต้องมีความรอบรู้ มีความเฉลียวฉลาด เปิดกว้างและมีโลกทัศน์ในความรับผิดชอบในหน้าที่ที่หลากหลาย อีกทั้งจำต้องรู้จักในแวดล้อมของประเทศและภูมิภาค การคุกคาม โอกาส ศัตรู และการสู้รบ
ในช่วงท้ายของการปราศรัยครั้งนี้ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้แนะและแนะนำให้กับบรรดานักศึกษา บางประการ
คำแนะนำประการแรก คือ เสริมสร้างการศึกษาวิจัยด้านศาสนาและการเมืองควบคู่กับการปฏิบัติงานด้านวิทยาศาสตร์ และการยกระดับความสามารถทางการวิเคราะห์
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เรียกร้องให้บรรดานักศึกษาทำการตะฟักกุรในประเด็นต่างๆ พร้อมกับกล่าวย้ำถึงการหลีกเลี่ยงจากมุมมองที่อ่อนไหวและมุมมองเชิงหนังสือพิมพ์ที่มีต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ว่า ประเด็นปัญหาจำนวนมาก อาทิเช่น ประเด็นที่ถูกนำเสนอจากปากของนักศึกษานั้นจำต้อง มีการนำเสนอในการเสวนาแบบอิสระ ที่ข้าพเจ้าเคยนำเสนอไปแล้ว และต้องมีการกำหนดภาระหน้าที่ในการถกประเด็นแบบอิสระของนักศึกษาที่จัดขึ้นในแวดล้อมของมหาวิทยาลัยการแข่งขันเชิงวาทกรรมในแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ด้วยหลักตรรกะที่แข็งแรงและควบคู่กับความอดทนต่อแรงต้านทาน คือคำแนะนำประการที่สองที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวให้กับบรรดานักศึกษา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า อย่าได้หวาดผวาและหวาดกลัวต่อกลุ่มผู้ต่อต้าน หรือ มีความโกรธแค้น ทว่าควรเสริมสร้างรากฐานและเพิ่มความแข็งแกร่งทางจุดยืนในการเข้าสู่การแข่งขันทางวาทกรรม และอดทนต่อทัศนะของฝ่ายตรงกันข้าม