เมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา บรรดาครอบครัวชะฮีด ฮัฟตุม เมตียร์ และบรรดาครอบครัวของชะฮีดและทหารผ่านศึกจำนวนหนึ่งของกรุงเตหะราน ได้เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม โดย ฯพณฯ ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของสังคมและประเทศชาติที่จะต้องทำความเข้าใจและเฝ้าติดตามสาส์นต่างๆของบรรดาชะฮีด และการสานต่อในแบบฉบับแห่งความซื่อสัตย์ของประชาชาติต่อแนวทางอันเจิดจรัสและแนวทางที่เปี่ยมด้วยความเข้มข้นของบรรดาชะฮีดนั้น เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้บรรดามหาอำนาจผู้อหังการต้องพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนั้นท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ชี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีรัก ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอิรัก คือ สงครามระหว่าง “ กลุ่มก่อการร้ายและผู้สนับสนุนตะวันตก” กับ “ ผู้ต่อต้านการก่อการร้ายและผู้สนับสนุนเอกราชของชนชาติทั้งหลาย”
ช่วงแรกของการปราศรัย ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงคามสำคัญของเดือนรอมฎอนที่กำลังจะมาเยือน โดยถือว่า เดือนรอมฎอน เป็นเดือนที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นเดือนแห่ง “การตะวัชชุห์อย่างบริสุทธิ์ใจ เป็นเดือนที่บริสุทธิ์ มีความเร้าร้อน และมีจิตวิญญาณ”ในการเข้าหาพระผู้อภิบาล พร้อมกับได้กำชับให้พี่น้องประชาชนตระหนักและรู้ถึงคุณค่าของเดือนอันยิ่งใหญ่นี้ ด้วยการวิงวอนขอความมัฆฟิรัต รอฮ์มัตและขออภัยโทษจากพระผู้อภิบาล
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า เหตุการณ์ในวันที่ 7 ตียร์ ปี 1360 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ไม่มีวันลืม พร้อมกับกล่าวเสริมว่า บรรดาชูฮาดาอ์ ไม่พึงประสงค์สิ่งใดจากเรา ทว่าเราต่างหากที่พึงประสงค์ที่จะได้ยินสาส์นต่างๆจากพวกท่าน เรียนรู้เข้าใจเป้าหมายของพวกท่านและเฝ้าติดตามแนวทางอันผาสุกและรุ่งโรจน์ของพวกท่าน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ยังโองการอัลกุรอาน ที่ว่า การห่างไกลจากความหวาดกลัวและสิ้นหวัง คือสาส์นแห่งการแจ้งข่าวดีของบรรดาชะฮีดที่มีต่อสังคมอิสลาม พร้อมกับกล่าวเสริมว่า จำต้องทำความเข้าใจในสาส์นนี้ เพื่อจะสามารถสานต่อแนวทางอันเจิดจำรัสในการบรรลุซึ่งเป้าหมายของการปฏิวัติด้วยความเร่าร้อนและความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ท่านผู้นำสูงสุด ได้เทิดเกียรติ์และชื่นชม “ ในการเคียงคู่ ความอดทนและความภาคภูมิใจ” ของบรรดาครอบครัวชะฮีดผู้ทรงเกียรติและทหารผ่านศึก จากเหตุการณ์ ฮัฟตูเมตียร์ อันนำมาซึ่งการเป็นชะฮีดนับสิบท่านของบรรดาสาวกของท่านอิมามและการปฏิวัติ โดยมีบุคคลที่มีบุคลิกภาพโดดเด่นร่วมอยู่ด้วย เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ด้านความคิด วิชาการ และการเมือง นั้นคือ ท่านอยาตุลลอฮ์ ชะฮีด เบเฮชตี้ อันนำมาซึ่งปรากฏการณ์ของการศึกษาและมาตรวัดของพฤติกรรมของประชาชาติอิหร่านและศัตรูของประชาชาตินี้ในเวลาต่อมา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า การศึกษาและการพิจารณา ในการก่ออาชญากรรมครั้งร้ายแรงของเหตุการณ์ ฮัฟตูเมตียร์ นั้น เป็นการบ่งชี้ว่า หน่วยงานของการกดขี่โลก มีความรู้สึกถึงความอ่อนแอและความพ่ายแพ้ในการเผชิญหน้ากับ “ตรรกะของสาธารณรัฐอิสลาม การตะฟักกุรและวัฒนธรรมของประชาชาติอิหร่าน” นอกเหนือจากฆาตกรที่ก่ออาชญากรรมอันป่าเถื่อนครั้งนี้แล้ว ก็ยังมีฆาตกรที่ให้การสนับสนุนในการลอบสังหารบรรดาเจ้าหน้าที่และพี่น้องประชาชนจำนวน 17000 คน ในผืนแผ่นดินนี้อีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า เหตุการณ์ฮัฟตูเมตียร์ เป็นฉากเวทีแห่งการเปิดโปงบรรดาผู้เรียกร้องสิทธิมนุษย์ชนอันจอมปลอมได้อย่างสมบูรณแบบ พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ต้นเหตุของเหตุการณ์ก่ออาชญากรรมและฆาตกรลอบสังหารชาวอิหร่านนับพันคน ในสมัยนั้นอยู่ในอ้อมแขนของตะวันตก และในปัจจุบันนี้เช่นกัน บุคคลเหล่านี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภาและหน่วยงานของรัฐบาลอเมริกา และตะวันตกอีกเช่นกัน
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ขณะที่บรรดาผู้เรียกร้องสิทธิมนุษย์ชนของตะวันตก ได้อ้าแขนตอบรับฆาตกรกลุ่มก่อการร้ายสังหารเลือดประชาชาติอิหร่าน โดยที่สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มก่อการร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน โดยจะมีการกล่าวร้ายในลักษณะเช่นนี้ และข้อเท็จจริงเช่นนี้ จะเป็นบรรทัดฐานที่ดีสำหรับมาตรวัดในคำกล่าวอ้างของชาติตะวันตกทั้งหลายในประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงการทิ้งระเบิดเคมีต่อพี่น้องประชาชนชาว ชัรดัชต์ เมื่อวันที่แปด เดือน เจ็ด ปี 1366 โดยทรราชซัดดัม พร้อมกับกล่าวเสริมว่า อเมริกาและยุโรป แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใช้ระเบิดเคมีสังหารพี่น้องประชาชนชาวเมือง ซัรดัชต์ และก่อนหน้านี้ยังได้สังหารพี่น้องฮะลับเชห์ แต่ก็ยังคงให้การสนับสนุนทรราชซัดดัมและให้การยืนยันในการกระทำของซัดดัมอยู่ตลอดเวลา และตราบใดที่สามารถใช้ประโยชน์จากซัดดัมได้ ก็จะไม่คัดค้านใดๆทั้งสิ้น และนี้คืออีกบรรทัดฐานหนึ่งในการสร้างความกระจ่างชัดในข้อเท็จจริงต่อคำกล่าวอ้างอันจอมปลอมของชาติตะวันตกทั้งหลาย
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เทิดเกียรติแห่งการยืนหยัดของประชาชาติอิหร่านในการเผชิญหน้ากับบรรดาศัตรู พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ประชาชาตินี้ด้วยการยืนหยัดและแบกรับค่าใช้จ่าย ได้สร้างตรรกะของตนเองในการเผชิญหน้ากับบรรดาศัตรูจนประสบชัยชนะ ในลักษณะที่ว่า สำหรับคนที่มีจิตใจที่เป็นธรรมแล้ว ในวันนี้ ถือว่าสาธารณรัฐอิสลามและประชาชาติอิหร่านนั้นถูกกดขี่ ทว่ายังถือว่า เป็นประชาชาติ ที่ “มีความองอาจ มีเกียรติ มีความเป็นอิสระและกำลังสู่ความก้าวหน้า” ซึ่งแนวทางนี้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้าและความซื่อสัตย์ของพี่น้องประชาชนต่อแนวทางของบรรดาชูฮาดาอ์ จะสามารถก้าวกระโดดและมีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ความล้มเหลวสามศตวรรษที่ผ่านมาของบรรดาศัตรู อันเป็นเหตุผลของความเข้มข้นในความเกลียดชังที่มีต่อประชาชาติอิหร่าน พร้อมกับกล่าวเสริมว่า มหาอำนาจโลกผู้อหังการ มีความเกลียดชังต่อท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) การปฏิวัติและประชาชาติอิหร่านโดยที่พวกเขาจะไม่มีวันลดละในการหลอกหลวงและใส่ร้ายป้ายสีเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ ประชาชาติและเจ้าหน้าที่จำต้องมีความรอบคอบ ชาญฉลาด และระมัดระวังอย่างเต็มที่
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค พร้อมกับกล่าวย้ำว่า บรรดาศัตรูของอิสลามนั้น ในวันนี้พวกเขาลงทุนในการสร้างสงครามกลางเมืองระหว่างชนชาติทั้งหลาย เพื่อทำให้ประชาชาติห้ำหั่นชีวิตกันเอง ภายใต้ชื่อของเชื้อชาติและนิกายศาสนา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การโฆษณาชวนเชื่อของบรรดามหาอำนาจเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอิรักและในอีกบางประเทศนั้น เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงการผูกความหวังของพวกเขาไว้ที่การสร้างสงครามระหว่างชีอะห์และซุนนี พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ในอิรักนั้น บรรดาผู้สืบทอดและกากแดนของรัฐบาลซัดดัม พร้อมกับคนบางกลุ่ม “ที่เผอเรอ โง่เขลา ขาดความเข้าใจและขาดจิตวิญญาณ” ได้ร่วมมือกันก่ออาชญากรรม และบรรดาศัตรูก็ได้เรียกเหตุการณ์ต่างๆในครั้งนี้ว่า “สงครามระหว่างชีอะห์และซุนนี” ทว่ามันเป็นเพียงแค่ความคาดหวังหนึ่งเท่านั้น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า พวกเขาได้กุเรื่องเท็จ โดยเรียกเหตุการณ์ในอิรักว่า เป็นสงครามระหว่างชีอะห์กับซุนนี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือสงครามระหว่างกลุ่มผู้ก่อการร้ายกับบรรดาผู้ต่อต้านการก่อการร้าย มันคือสงครามระหว่างบรรดาผู้ผูกใจอยู่กับเป้าหมายต่างๆของอเมริกาและตะวันตกกับบรรดาผู้สนับสนุนความเป็นเอกราชของชนชาติทั้งหลาย และมันคือสงครามระหว่างมนุษยธรรมกับความโหดร้ายและความป่าเถื่อนทั้งหลาย
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงความพยายามของบรรดาศัตรูอิสลามที่จะให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆในอิรักนั้น เกิดขึ้นในบางประเทศอื่นๆ พร้อมกับกล่าวว่า ชนชาติทั้งหลายจะต้องเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวเหล่านี้อย่างรอบคอบและชาญฉลาด และพึงรู้ว่า บรรดาศัตรูนั้นจะใช้วิธีการทุกรูปแบบในการทำลายความเป็นเอกราชและเกียรติศักดิ์ศรีของชาวมุสลิม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความพยายามที่จะหลุดพ้นออกจาก “ความวิตกกังวลของการตื่นตัวของอิสลามและขบวนการเคลื่อนไหวในโลกอิสลาม” นั้นเอง ที่เป็นเหตุผลหลักของความพยายามของแนวรบมหาอำนาจที่จะสร้างสงครามระหว่างชีอะห์และซุนนี และในการอธิบายถึงแนวทางต่างๆขั้นพื้นฐานในการเผชิญหน้ากับศัตรูนั้น ท่านถือว่าประชาธิปไตยแบบอิสลามเท่านั้นที่จะเป็นสื่อช่วยในการเยียวยาแก้ไขที่ไม่มีใครเหมือน
ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า ชนชาติที่มีเกียรติและกล้าหาญของอิหร่าน ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า จวบจนวันนี้ ได้ทำให้ศัตรูล้มเหลว ด้วย “ความมีเอกภาพ ความระมัดระวัง และความเข้าใจที่ลึกซึ้ง บะศีรัต” และไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลังจากนี้ก็เช่นกัน ทุกๆการโจมตีและแผนการร้ายต่างๆของมหาอำนาจจะไม่บรรลุผล และท้ายที่สุดแล้วแนวรบของบรรดาผู้ครอบงำ ลัทธิจักรวรรดินิยม ในการเผชิญหน้ากับการตื่นตัวของอิสลาม จะต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวในช่วงท้ายด้วยการกำชับ พี่น้องประชาชาติทั้งหลาย โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่ ปัญญาชน นักศิลปะ นักเขียน นักวิชาการและนักศึกษาให้ปกป้องรักษามรดกอันทรงค่าของบรรดาชูฮาดาอ์ ในฐานะผู้มีเกียรติของการปฏิวัติอิสลามและการทดแทนบุญคุณในความยิ่งใหญ่ของพวกเขา