เมื่อช่วงเช้าวันพุธ ที่ผ่านมา ( 20 พฤศจิกายน) ท่าน อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวปราศรัยท่ามกลางการรวมพลครั้งยิ่งใหญ่ของกองกำลังอาสาสมัครบาสิญนับหมื่นคน โดย ฯพณฯ ถือว่า บาสิญคือ มัศฮัร ฉายภาพลักษณ์แห่งความมั่นคง ความภาคภูมิใจ และความน่าเกรงขามของระบอบอิสลาม อีกทั้ง ฯพณฯ ยังได้อธิบาย คุณลักษณะและรูปแบบในการหลอกลวงและการปฏิเสธสัจธรรมของมหาอำนาจโลก ซึ่งมีอเมริกาเป็นแกนนำ โดยถือว่า การยืนหยัด และความองอาจที่แข็งแกร่งของชาติ คือหนทางเดียวที่จะทำให้ศัตรูต้องสิ้นหวัง พร้อมกับกล่าวย้ำในการสนับสนุนอย่างจริงจังและเด็ดขาดต่อรัฐบาลและคณะผู้บริหาร ว่า ในประเด็นนิวเคลียร์ จำต้องระมัดระวังเรื่องเขตสีแดง อีกทั้งในการปกป้องสิทธิของชาติ จะต้องไม่ถอยไม่แต่ก้าวเดียว
ในการพบปะครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ท่าน อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า บาสิญคือมัศฮัรแห่งความยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่านและเป็นหน่วยกองกำลังที่ทรงประสิทธิภายในประเทศ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า บาสิญ สำหรับมิตรสหายของระบอบ การปฏิวัติและประเทศชาติแล้วนั้น เป็นบ่อเกิดแห่งความภาคภูมิใจ ความหวัง และการเชื่อมั่น แต่สำหรับผู้ประสงค์ร้าย ศัตรู และผู้มีความอคติต่อระบอบอิสลามแล้ว ถือเป็นบ่อเกิดแห่งความหวาดกลัว
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึง การเวียนบรรจบพร้อมกันของสัปดาห์บาสิญกับวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของท่านหญิงซัยนับ(ซ) ว่า วีกรรมของท่านหญิงซัยนับ(ซ) เป็นการเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของวีรกรรมอาชูรอ ซึ่งหมายความว่า วีรกรรมของท่านหญิงซัยนับ(ซ) คือวีรกรรมแห่งการฟื้นฟู ปกปักษ์พิทักษ์รักษาวีรกรรมแห่งอาชูรอนั้นเอง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า ความยิ่งใหญ่ของภารกิจของท่านหญิงซัยนับ(ซ)นั้น ไม่อาจเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นใดได้ เว้นแต่กับวีรกรรมแห่งอาชูรอเท่านั้น พร้อมกับกล่าวเสริมว่า วีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลามและมนุษยชาติท่านนี้ เสมือนดังภูผาที่สูงตระหง่าน และยืนหยัดอย่างมั่นคงในการเผชิญหน้ากับความทุกข์โศกทั้งปวง และเหตุการณ์อันข่มขื่น อีกทั้งยังกลายเป็นแบบฉบับและแบบอย่างอันอมตะสำหรับมวลมนุษย์ชาติอีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง สุนทรพจน์อันเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด ในสภาพแห่งความสงบมั่นทางจิตใจของท่านหญิงซัยนับ(ซ) ในการเผชิญหน้ากับชาวกูฟะห์ และในวังของอิบนู ซิยาด และยะซีด ว่า สตรีผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้เป็นอนุสาวรีย์แห่งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เสมือนกับท่านอิมามฮูเซ็น(อ)ในวันอาชูรอ
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ผลลัพธ์แห่งการยืนหยัดของท่านหญิงซัยนับ(ซ) นั้น มันได้ปลุกกระแสตลอดหน้าประวัติศาสตร์สำหรับรูปแบบการเคลื่อนไหว การขับเคลื่อนและการยืนหยัดอยู่บนแนวทางแห่งสัจธรรม พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ในการขับเคลื่อนและการกำหนดทิศทางของเรานั้นจำต้องมีแบบอย่างของท่านหญิงซัยนับ(ซ)คอยกำกับอยู่เสมอ และเป้าหมายก็เพื่อเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของอิสลาม สังคมอิสลาม และเกียรติยศศักดิ์ศรีของมนุษย์ชาติ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงปัจจัยเหตุผลหลักที่ก่อให้เกิดจิตวิญญาณเช่นนี้ในตัวของท่านหญิ
ซัยนับ (ซ) ในบรรดาอัมบิยาอ์ เอาลิยาอ์ของพระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธา นั้นเพราะ มีการเผชิญหน้าและปฏิบัติอย่างสัตย์จริงต่อพันธะสัญญาของพระผู้อภิบาล พร้อมกันนั้น ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ถือว่า ความสัตย์จริงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับบรรดาศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ บรรดาเอาลิยาอ์ บรรดาผู้ศรัทธา และ แม้แต่สามัญชนธรรมดา ก็ล้วนแล้วมีความสำคัญทั้งสิ้น และเราทุกคนจำต้องตระหนัก และในพันธะสัญญาเหล่านี้ที่เรามีไว้กับพระองค์นั้น เราก็จะต้องตอบคำถามเหล่านี้ด้วย
ท่านอยาตุลลฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า ตามหลักฐานที่ชัดแจ้งของอัลกุรอาน พันธะสัญญาอันนี้ คือ การยืนหยัดอย่างมั่นคงในการเผชิญหน้าต่อสู้กับศัตรูในเวทีทางทหาร การเมือง เศรษฐกิจ และการไม่หันหลังให้กับศัตรู
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ตามพื้นฐานของพันธะสัญญาดังกล่าวแล้วนั้น ที่ใดมีเวทีแห่งการกดขี่ ที่นั้นจำต้องยืนหยัดต่อสู้กับศัตรู และบรรดาผู้ศรัทธาจำต้องมีเจตนารมณ์และความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการพิชิต กำราบและมีชัยเหนือศัตรู
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงประโยคคำพูดของตน ที่เคยกล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ ในประโยค “ การอ่อนน้อมเยี่ยงวีรบุรุษ” ว่า บางคนถือว่า “ การอ่อนน้อมเยี่ยงวีรบุรุษ” คือ การลดละจากรากฐานหลัก และอุดมการณ์ของระบอบอิสลาม และศัตรูบางกลุ่ม ก็ได้นำเอาสิ่งนี้มาอ้างถึง ในการร่นถอยของระบอบอิสลามต่อรากฐานหลักดังกล่าว ในขณะที่ความเข้าใจในความหมายดังกล่าวนั้น เป็นสิ่งที่ขัดแย้งและค้านกับข้อเท็จจริง และเป็นการเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำ ว่า การอ่อนน้อมเยี่ยงวีรบุรุษ หมายถึง การสนธิกำลังอย่างมีศิลปะ แล้วใช้ประโยชน์จากรูปแบบต่างๆที่หลากหลายเพื่อก้าวไปถึงยังจุดหมายและเป้าหมายและอุดมการณ์ต่างๆของระบอบอิสลาม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวเสริม โดยชี้ ถึง เป้าหมายและวัตถุประสงค์อันหลากหลายของระบอบอิสลาม เพื่อการพัฒนา การเจริญเติบโตและการสรรสร้างอารยะธรรมอันยิ่งใหญ่ของอิสลาม ว่า เป้าหมายดังกล่าวจำต้องเป็นไปในรูปลักษณะที่ละก้าว และที่ละขั้นตอน โดยมีผู้ชี้นำ นักวิชาการระดับมันสมองและคณะผู้บริหารเป็นผู้ริเริ่มในการก้าวเดิน แล้วจากนั้นประชาชนทั้งหมดร่วมกันเคลื่อนไหวและก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียงกัน
ท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า ระบอบการปกครองที่ถูกต้องเช่นนี้ จะต้องขับเคลื่อนอย่างมีระบบและมีตรรกะ เพื่อก้าวไปถึงการพัฒนาและความเจริญก้าวหน้าของระบอบอิสลาม ซึ่งนักกิจกรรมความเคลื่อนไหวทางการเมือง คณะผู้บริหารระดับประเทศ และนักกิจกรรมความเคลื่อนไหวในเวทีของกองกำลังอาสมัครบาสิญ์ ก็จำต้องตระหนักและให้ความสำคัญในสิ่งเหล่านี้ให้ดี
จากนั้น ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งโจทย์คำถามบางประการ ว่า การตอกย้ำของระบอบอิสลามในการพัฒนา และความเจริญก้าวหน้านั้น มันหมายถึงการก่อสงครามของระบอบอิสลามกระนั้นหรือ??? ระบอบอิสลาม ต้องการที่จะเผชิญหน้า ท้าทายกับทุกรัฐบาลและประชาชาติทั้งหลายหรือ?? เหมือนดังที่บางเวลา บางครั้งได้ยินมาจากปากศัตรูของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านบางกลุ่ม อาทิเช่น จากปากสุนัขอัปมงคล สุนัขโสมม สุนัขบ้าระดับภูมิภาค คือ รัฐเถื่อนยิวไซออนิสต์
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า คำกล่าวอ้างของศัตรูเช่นนี้ มันเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับโลกทัศน์ วิสัยทัศน์ วิธีการและรูปแบบของอิสลามอย่างสิ้นเชิง เพราะเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของระบอบอิสลาม นั้น วางอยู่บนพื้นฐานแห่งบทเรียน หลักคำสอนจากอิสลาม อัลกุรอาน ท่านศาสดาแห่งอิสลาม และบรรดาวงศ์วานผู้บริสุทธิ์ของท่านศาสดาทั้งสิ้น ที่ได้มอบความยุติธรรม ความเมตตา และความดีงามให้กับประชาชาติทั้งหลาย
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ผู้คุกคามโลกที่แท้จริง คือ กองกำลังแห่งความชั่วร้ายสามานย์ที่สร้างความเสื่อมเสียและความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ รัฐเถื่อนยิวไซออนิสต์และผู้สนับสนุนเขา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ระบอบการปกครองอิสลาม ยังคงมีเจตนาในการสร้างความรัก ความเมตตา และการรับใช้มนุษย์ชาติ อีกทั้งยังต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชาติทั้งหลายอีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ระบอบการปกครองอิสลาม จะไม่ประกาศความเป็นศัตรูแม้แต่กับพลเมืองอเมริกา ถึงแม้นว่ารัฐบาลอเมริกา จะมีความอหังการ เป็นศัตรู หยิ่งยโส ปองร้าย และมีอคติกับประชาชาติอิหร่านและระบอบอิสลามก็ตาม
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับระบอบการปกครองอิสลาม และสิ่งที่ระบอบการปกครองอิสลามที่กำลังเผชิญหน้า นั้น คือมหาอำนาจผู้อหังการ
หลังจากที่ ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวย้ำในข้อเท็จจริงของเรื่องนี้แล้ว ท่านก็ได้กล่าวอธิบายเสริม ในคุณลักษณะต่างๆในเชิงประวัติศาสตร์ของมหาอำนาจผู้อหังการ และกรณีตัวอย่างของพวกเขาในยุคสมัยปัจจุบัน ให้กับพี่น้องกองกำลังบาสิญ์นับหมื่นคนได้รับรู้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า มหาอำนาจผู้อหังการ เป็นศัพท์หนึ่งที่มีในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน พร้อมกับกล่าวเสริมว่า โครงสร้างหลักของมหาอำนาจผู้อหังการยังคงอยู่เหมือนเดิมตลอดหน้าประวัติศาสตร์ แต่ทว่ารูปแบบต่างๆของพวกเขานั้น จะมีความแตกต่างกัน และมีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ย้ำถึง การคัดค้านไม่เห็นด้วยในการเผชิญหน้าในลักษณะที่ไร้สติปัญญา ในทุกเวทีและทุกด้าน พร้อมกับกล่าวย้ำ ว่า ในทุกภาคส่วนและในทุกเวที อาทิเช่น การต่อสู้ และการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจผู้อหังการ นั้น จะต้องมีการวางแผน ใช้สติปัญญาไตร่ตรอง และมีวิทยะปัญญา
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ยุทธ์วิธีในการบรรลุซึ่งการบริหารจัดการและการมีวิทยปัญญาอย่างมีประสิทธิภาพในการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจผู้อหังการ นั้น คือ การรู้จัก “ คุณลักษณะพิเศษ ปฏิกิริยา และทิศทางของระบอบมหาอำนาจ” ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับกล่าวย้ำว่า หากปราศจาก การรู้จัก การเข้าใจที่ถูกต้องถึงคุณลักษณะพิเศษของระบอบล่าอาณานิคม เหล่านี้แล้ว ก็จะไม่สามารถที่จะกำหนดวาง และกำหนดแผนงานอย่างมีวิทยปัญญาในการเผชิญหน้ากับพวกเขาได้เป็นอันขาด
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึง คุณลักษณะในเชิงพฤติกรรมของระบอบมหาอำนาจผู้อหังการ ว่า พวกเขาจะยึดมั่นในคุณลักษณะหลักของตนเอง คือ ถืออภิสิทธิ์และถือตนเหนือกว่าผู้อื่นใด
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า เมื่อประเทศหนึ่ง ได้เผชิญหน้ากับระบอบระหว่างประเทศ โดยถือตนเองเป็นแกนหลัก และถือว่าตนมีความเหนือกว่าผู้อื่นแล้ว สมการแห่งความน่าหวาดกลัวและภัยอันตรายต่อการมีปฏิสัมพันธ์ระดับนานาชาติก็จะปรากฏขึ้นในทันที
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การถืออภิสิทธิ์และความชอบธรรมในการแทรกแซงและคุกคามชาติอื่นๆ การกำหนดคุณค่าต่างๆที่ตนเองปรารถนายังประเทศอื่นๆ และการแอบอ้างในอำนาจการบริหารจัดการโลก ก็เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ ของการถืออำนาจและถืออภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นใดอย่างเบ็ดเสร็จของระบอบล่าอาณานิคม ซึ่ง ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า นักการเมืองอเมริกาบางคน ได้เอ่ยพูด เสมือนกับว่าตนเอง เป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของโลก และเป็นเจ้าของเขตภูมิภาคนี้ เสียเอง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การไม่ยอมรับสัจธรรมก็เป็นอีกหนึ่งผลลัพธ์ อันเป็นคุณลักษณะหนึ่งของความถือตนเป็นใหญ่ของมหาอำนาจผู้อหังการ
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ ถึง การยืนหยัดต่อสู้ของมหาอำนาจผู้อหังการและอเมริกาในการเผชิญหน้ากับสิทธิของประชาชาติทั้งหลายว่า ประเด็นนิวเคลียร์อิหร่าน ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ของการต่อต้านและคัดค้านจากกลุ่มล่าอาณานิคมและในการเผชิญหน้ากับสิทธิอันชอบธรรมของประชาชาติทั้งหลาย
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ผู้ใด หรือชาติใดที่เป็นชนชาติที่มีตรรกะ และใช้หลักเหตุและผล ในการเผชิญหน้ากับสัจธรรม ล้วนแล้วต้องยอมสิโรราบ ทว่า มหาอำนาจผู้อหังการนั้น จะไม่มีวันยอมรับคำพูดที่เป็นสัจธรรม และสิทธิอันชัดเจนของบุคคลอื่นๆ และจะมีความพยายามอย่างมาก เพื่อเหยียบย่ำและทำลายล้างสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การอนุญาต ให้ก่ออาชญากรรมยังประชาชาติอื่น นั้น ก็เป็นอีกหนึ่งคุณลักษณะอันโดดเด่นของมหาอำนาจผู้อหังการ พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ระบอบล่าอาณานิคม จะไม่ให้การเคารพ และจะไม่ให้คุณค่าใดๆ สำหรับประชาชาติที่ไม่ยอมปฏิบัติและนอบน้อมและสิโรราบต่อพวกเขา และการก่ออาชญากรรมในสิทธิของพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่อนุญาตให้พึงกระทำได้
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้กล่าวเสริม กรณีตัวอย่าง ที่ไร้คำบรรยายในประเด็นนี้ในจุดยืนแห่งความชั่วร้าย และความน่ารังเกียจของมหาอำนาจผู้อหังการ ที่ได้ก่อกรรมต่อพี่น้องชาวพื้นเมืองในอเมริกา การก่ออาชญากรรมของอังกฤษต่อสิทธิพลเมืองผู้ดั่งเดิมชาวออสเตรเลีย และการจับชนผิวดำชาวแอฟริกามาเป็นแรงงานทาสด้วยน้ำมือของอเมริกา เป็นต้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การที่อเมริกาใช้ระเบิดปรมาณูนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ถือเป็นการก่ออาชญากรรมครั้งร้ายแรงในหน้าประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัย พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ในโลกนี้ ได้มีการใช้ระเบิดปรมาณูนิวเคลียร์เพียงแค่สองครั้งสองหนเท่านั้น ซึ่งทั้งสองครั้งนั้น อเมริกาเป็นผู้นำมาใช้ในการสังหารพี่น้องชาวญี่ปุ่น แม้นว่าจะด้วยการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงครั้งนี้ แต่ ตนเองก็ยังแนะนำและถือว่า ตนเป็นผู้พิทักษ์ดูแลรักษาประเด็นนิวเคลียร์ในแผ่นดินนี้
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ สังหาร และการทารุณกรรมพี่น้องประชาชนในเวียดนาม อีรัก ปากีสถาน และอัฟกานิสถาน ว่า การทรมาน และการทารุณกรรมที่น่ารังเกียจ และน่าสลดใจใน กัวเตนาโมและอะบูฆอรีบนั้น จะไม่มีวันลบเลือนความทรงจำอันนี้ไปจากประชาชาติทั้งหลายได้อย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวถึงกรอบและขอบข่ายที่จำเป็นในการรู้จักคุณลักษณะของมหาอำนาจผู้อหังการในการเผชิญหน้าอย่างมีวิทยปัญญากับระบอบล่าอาณานิคม โดยถือว่า คุณลักษณะอีกประการหนึ่งของมหาอำนาจล่าอาณานิคม คือ การหลอกลวงและการปลิ้น ปล้อน กลับกลอก
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า การก่ออาชญากรรมในคราบของผู้รับใช้บริการ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายของมหาอำนาจผู้อหังการ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้พิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงต่อกรณีข้อกล่าวอ้างในการบุกโจมตีญี่ปุ่นด้วยอาวุธปรมาณูในการโฆษณาของอเมริกา ว่า อเมริกากล่าวอ้างว่า หากการใช้ระเบิดปรมาณูในฮิโรชิมาและนางะซากิ ไม่อาจทำให้ ชาวญี่ปุ่น จำนวนสองแสนคน เสียชีวิตได้แล้ว สงครามโลกก็จะไม่มีวันยุติลง และสังคมมนุษย์ชาติ ก็จำต้องทนรับการสังหารพี่น้องประชาชนอีก สองล้านคน ด้วยเหตุนี้ การที่อเมริกา บุกโจมตีญี่ปุ่น ในความเป็นจริงแล้ว ก็คือการรับใช้มนุษย์ชาตินั้นเอง
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า การโกหก ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ และการหลอกลวงครั้งใหญ่เช่นนี้ ก็กำลังเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งตามข้อมูลและหลักฐานที่มีอยู่นั้น ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ก่อนการก่ออาชญากรรมของอเมริกาในญี่ปุ่น ฮิตเลอร์ ในฐานะ ผู้วางรากฐานและปัจจัยหลักที่สำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง ได้ฆ่าตัวตาย เช่นเดียวกัน มูสาลีนีย์ ในฐานะเป็น ผู้วางรากฐานและปัจจัยอื่นๆในสงคราม ซึ่งก่อนที่จะมีการบุกถล่มนั้น ก็ถูกจับกุมตัว และก่อนหน้านี้สองเดือน ชาวญี่ปุ่นเอง ก็ได้ออกมาประกาศขอยอมแพ้ ขอยุติสงครามแล้ว
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงของอเมริกาในการบุกถล่มญี่ปุ่น ว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ คือ อเมริกา ต้องการที่จะทำการทดสอบอาวุธชนิดใหม่ของตน คือ อาวุธปรมาณูนิวเคลียร์ ในภาคสนามจริง ซึ่งการทดลองครั้งนี้ นำมาซึ่งการเข่นฆ่า การสูญเสีย และการเสียชีวิตของพี่น้องผู้บริสุทธิ์ชาว ฮิโรชิมา และนางะซากิ จำนวนมาก แต่ทว่า ในวันนี้ ในการโฆษณาของตนเอง กลับอ้างว่า การก่ออาชญากรรรมของตนนั้นอยู่ในคราบและรูปแบบของการบริการรับใช้มนุษย์ชาติ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ปฏิกิริยาและการเผชิญหน้าอย่างผู้กลับกลอกในเหตุการณ์ ใช้อาวุธเคมีในซีเรีย ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ในการหลอกลวงของระบอบมหาอำนาจผู้อหังการ
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ประธานาธิบดี และคณะผู้บริหารของอเมริกา ได้ประกาศถึงเส้นสีแดงและขีดอันตรายของการใช้อาวุธนิวเคลียร์หลายต่อหลายครั้งมาแล้ว ทว่า รัฐบาลอเมริกา เอง ยังได้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ด้วยการมอบให้กับซัดดัมในการบุกโจมตีอิหร่าน ซึ่งมันไม่เพียงแต่ที่เขาจะคัดค้านแต่กลับให้การสนับสนุนส่งเสริม ด้วยการมอบวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอนุภาพทำลายลายล้างสูงจำนวน ห้าร้อยตัน ให้กับซัดดัม จอมเผด็จการแห่งแบกแดด เพื่อนำมาใช้ในการผลิตแก็สพิษในการสังหารพี่น้องชาวอิหร่าน ผู้ปกป้องแผ่นดินอันทรงเกียรติของตนเอง
ท่านผู้นำสูงสุด ยังถือว่า การสังหารผู้โดยสารจำนวน สามร้อยกว่าคน บนเครื่องบินโดยสารของอิหร่านโดยอเมริกา และการสนับสนุนในด้านข้อมูลเชิงลึกอย่างเต็มที่ให้กับซัดดัม ก็เป็นหนึ่งผลงานในการก่ออาชญากรรมของอเมริกา โดย ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า การจุดไฟสงคราม และการสร้างความแตกแยก ก็เป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งของระบอบมหาอำนาจผู้อหังการ
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง การเผชิญหน้าระหว่างแนวรบแห่งธรรมะกับแนวรบแห่งอธรรมของมหาอำนาจผู้อหังการตลอดหน้าประวัติศาสตร์ โดยมีการตั้งโจทย์คำถามหลัก ว่า อะไรคือเหตุผลหลักของอเมริกาในการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆ ต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน???
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ตอบคำถามดังกล่าว ได้ชี้ถึงปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการก่อตัวของการปฏิวัติอิสลาม ว่า การปฏิวัติของประชาชาติผู้ยิ่งใหญ่อิหร่าน และระบอบการเลือกสรรของประชาชาตินี้ ได้ก่อตัวขึ้น ด้วยการประท้วงต่อต้านมหาอำนาจผู้อหังการ และปัจจัยอื่นๆอีกหลายด้าน มีการพัฒนา และเจริญก้าวหน้า ด้วยเหตุนี้ มหาอำนาจผู้อหังการ ด้วยคุณลักษณะที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ไม่อาจที่จะทนรับสภาพของระบอบนี้ได้ เว้นแต่จะต้องพบกับความสิ้นหวังอันเป็นความปราชัยที่เจ็บปวดเท่านั้น
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า สืบเนื่องจากความสิ้นหวังของศัตรู ซึ่งถือเป็นปัจจัยพื้นฐานหลักของความปราชัยของมหาอำนาจผู้อหังการในการดำเนินการใส่ป้ายป้ายสีประชาชาติอิหร่าน อย่างต่อเนื่อง โดย ฯพณฯ กล่าว ย้ำว่า ประชาชาติอิหร่านทุกภาคส่วน บรรดาเยาวชน และทุกคนไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใด แม้แต่คนต่างศาสนิกที่มีความรักและเคารพมั่นในแผ่นดินบ้านเกิด จำต้องกระทำและปฏิบัติทุกวิธีทางเพื่อสร้างความสิ้นหวังในใจของศัตรู อีกทั้งให้พวกเขาต้องพบกับความสิ้นหวังในการใส่ร้ายป้ายสีต่างๆนาๆ ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวชี้ถึง ความเป็นศัตรูอย่างต่อเนื่องของศัตรูในระดับผู้บริหารระดับสูงของอเมริกา ตั้งแต่วันแรกของการปฏิวัติจวบจนวันนี้ ว่า การปลุกระดมเผ่าพันธุ์ การวางแผนก่อรัฐประหาร การยุยงซัดดัม และการให้ความช่วยเหลืออย่างไร้ขอบเขตแก่อีรัก การบอยคอรต์ และการคว่ำบาตรในรูปแบบต่างๆ เป็นตัวอย่างที่บ่งชี้ในความเป็นศัตรูอย่างต่อเนื่องของอเมริกากับประชาชาติอิหร่าน โดย เมื่อสามสิบห้าปีที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวโดยตรงในเขตพื้นที่ที่ละเอียดอ่อนของเอเชียตะวันตก กระนั้นก็ตาม แม้นว่าจะมีศัตรูรายล้อมอยู่อย่างมากมาย แต่อิหร่านก็ยังสามารถพัฒนาและมีความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และกลายเป็นแบบอย่างสำหรับประชาชาติทั้งหลายในภูมิภาคอีกด้วย
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ บทบาทของประธานาธิบดีอเมริกาคนปัจจุบัน ในการก่อฟิตนะห์ ในปี 88 ว่า ในสมัยนั้น มีเครือข่ายสื่อสารมลชนแห่งหนึ่ง ที่สามารถให้การช่วยเหลือบรรดาผู้สร้างฟิตนะห์ ซึ่งมีความต้องการในการปรับปรุงซ่อมแซม แต่ทว่า รัฐบาลอเมริกาชุดนี้แหละที่มิได้ยับยั้ง และสกัดกั้นให้หยุดการดำเนินการดังกล่าว
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า พวกเขายังคงตั้งความหวังอันเลื่อนลอยและมีความโง่เขลาสิ้นดี ที่คิดว่า โชเซียลมิเดีย ทวิตเตอร์ และเฟสบุกส์ นั้น สามารถที่จะโค่นล้มและทำลายระบอบอิสลาม นี้ได้ และด้วยเหตุผลอันนี้ จึงได้ทุ่มความสามารถทั้งหมดในการดำเนินการนี้
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การคว่ำบาตร ในรูปแบบต่างๆนาๆนั้น ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของศัตรูในการทำลายอิหร่าน ซึ่ง ฯพณฯ กล่าวย้ำว่า ปัญญาของพวกเขาคือ พวกเขายังไม่รู้จักประชาชาตินี้ดีพอ ไม่รู้จักพลังความศรัทธา และไม่รู้จักความสามัคคี อีกทั้ง พวกเขาไม่ได้นำเอาความผิดพลาดและความพ่ายแพ้ในอดีตเหล่านั้นมาเป็นบทเรียนและอุทาหรณ์แต่ประการใด
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงนิพจน์อันถาวรของประเทศและระบอบอิสลาม ในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา ว่า ทุกๆความสำเร็จของเรา และความพ่ายแพ้ปราชัยของมหาอำนาจผู้อหังการ ได้บ่งชี้และพิสูจน์ว่า พลังอำนาจ และการยืนหยัด คือวิธีการและหนทางเดียวในการคลี่คลายการถูกคุกคามและการร่นถอยของศัตรู ซึ่งประชาชาตินี้ ก็ย่อมรู้ดีในประเด็นข้อเท็จจริงประการนี้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงประเด็นการเจรจานิวเคลียร์ และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ ว่า ข้าพเจ้าขอสนับสนุนรัฐบาล คณะผู้บริหารภายในประเทศ และเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการเจรจาครั้งนี้ อย่างจริงจัง เพราะการให้การสนับสนุนยังทุกรัฐบาลนั้น ถือเป็นกิจของข้าพเจ้า
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ข้าพเจ้าเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหาร มาหลายสมัย ซึ่งได้สัมผัสและลิ้มรสแห่งความหนักอึ้งและความยากลำบากของงานบริหารมาแล้ว และข้าพเจ้าเองก็ย่อมรู้ดีว่า บรรดาคณะผู้บริหารต้องการความช่วยเหลือและแรงสนับสนุน และด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าขอสนับสนุนอย่างจริงจังต่อรัฐบาลและคณะผู้บริหารชุดปัจจุบัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า ทว่า อีกด้านหนึ่งนั้น ข้าพเจ้าขอกำชับในการพิสูจน์และยืนหยัดในสิทธิของประชาชาติอิหร่าน รวมทั้ง ประเด็นสิทธินิวเคลียร์ด้วย และขอย้ำว่า อย่าได้ละเลยและล่าถอยในสิทธิของประชาชาติอิหร่านแม้แต่ก้าวเดียว
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ข้าพเจ้าจะไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวในรายละเอียดของการเจรจา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังมีเขตเส้นสีแดง ที่จำต้องพึงระมัดระวังไว้จงดี และบรรดาเจ้าหน้าที่ก็จำต้องระมัดระวังในเขตเส้นสีแดงอันนี้ด้วย และอย่าได้หวาดกลัวและหวาดผวาต่อการสร้างภาพบรรยากาศแวดล้อมและแรงคุกคามของของศัตรูเป็นอันขาด
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า เหตุผลหลักของการคว่ำบาตรและการปฏิปักษ์ต่ออิหร่าน คือ ความอาฆาตพยาบาทของมหาอำนาจผู้อหังการอเมริกา พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ความอาฆาตพยาบาทของอเมริกาที่มีต่อประชาชาติอิหร่านนั้น เสมือนการอาฆาตพยาบาทของอูฐ และเป้าหมายในการกดดันและคว่ำบาตรอิหร่าน ก็เผื่อประชาชาติอิหร่านจะยอมสยบแก่พวกเขาเท่านั้น แต่ทว่า พวกเขาคิดผิดแล้ว เพราะ แม้นว่าจะถูกแรงกดดันและคว่ำบาตรมากสักเพียงใดก็ตาม ประชาชาติอิหร่านก็จะไม่มีวันยอมสยบให้กับผู้ใดเป็นอันขาด
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า จากของการถูกคว่ำบาตรครั้งนี้ ด้วยความโปรดปรานและพระกรุณาธิคุณของพระผู้อภิบาล ประชาชาติอิหร่านจะสามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงจุดอ่อนของประเด็นการตัดสินใจ และการกำหนดแผนงานด้านเศรษฐกิจในประเทศ อีกทั้งความคาดเดาของศัตรูที่อาศัยจุดอ่อนนี้ในการทำลาย ว่า มันเป็นสิ่งที่ค้านกับความคาดเดาของศัตรู เพราะในแรงกดดันและการถูกคว่ำบาตรครั้งนี้ มันเป็นโอกาสสำหรับเราที่จะกำจัด ปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า การคว่ำบาตรไม่อาจส่งผลกระทบแต่ประการใด และอเมริกาเองก็ได้ตระหนักและรับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะ ในขณะที่มีการคว่ำบาตรนั้น ก็ได้ใช้มาตรการคุกคามทางทหารควบคู่ไปด้วย และสิ่งนี้บ่งชี้ว่า การคว่ำบาตรนั้นไม่บรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ว่า การคุกคามทางทหารนั้น ประธานาธิบดีและคณะผู้บริหารอเมริกา ได้เอ่ยพูดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงและต่ำทรามที่สุด
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ประธานาธิบดีอเมริกา และคณะผู้บริหารประเทศอเมริกา แทนที่จะมาคุกคามทางทหารต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ควรที่จะกลับไปคิดใคร่ครวญในเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังจะล่มสลาย และทฤษฎีของตนเองเสียดีกว่า กลับไปคิดเสียเถอะว่า จะทำอย่างไรให้รัฐบาลนั้นไม่ต้องเจอกับสภาวะการประกาศหยุดราชการมากไปกว่าสองสัปดาห์เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ประชาชาติอิหร่านจะให้การเคารพแก่ประชาชาติและประเทศทั่วโลก แต่สำหรับประเทศที่ประกาศศัตรูกับอิหร่าน แล้วนั้น ก็จะทำการตอบโต้พวกเขาอย่างสาสมและจะต้องเสียใจที่สุด และจะโต้ตอบเสมือนกับการตบหน้าที่จะฝากรอยแผลเป็นไปยังศัตรูตลอดชั่วกัลปาวสาน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า คณะผู้บริหารอเมริกาที่มีความระมัดระวังเป็นพิเศษต่อท่าทีคำพูดในการแสวงหาความพึงพอใจของเครือข่ายนายทุนยิวไซออนิสต์ นั้น พึงรู้ว่า ซึ่งสิ่งนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งความคาดเดา ต่ำต้อย และไร้ศักดิ์ศรีและเกียรติยศสิ้นดี โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า รัฐเถื่อนไซออนิสต์ ถูกตราหน้าและถึงวาระที่ต้องล่มสลาย เพราะรัฐเถื่อนไซออนิสต์ผู้น่าอนาถ ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่และการกดขี่ ซึ่งทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการกดขี่และถืออำนาจบาตรใหญ่ ล้วนแล้วจะไม่ยั่งยืน
ท่านยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวเสริม โดย แสดงความน่าเวทนา จากการประจบสอพลอ ของรัฐบาลแห่งชาติยุโรปบางประเทศที่มีต่อยิวไซออนิสต์ ซึ่ง ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาหาใช่มนุษย์ โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ในห้วงเวลาหนึ่ง ชาติฝรั่งเศสได้รับเกียรติและความไว้วางใจทางการเมือง ด้วยเหตุผลแห่งการยืนหยัดของประธานาธิบดีในประเทศในการเผชิญหน้ากับอังกฤษ และอเมริกา แต่ทว่าในวันนี้ นักการเมืองฝรั่งเศส ไม่เพียงแต่จะแสดงความต่ำต้อยกับอเมริกาเท่านั้น ในการเผชิญหน้ากับ สุนัขอัปมงคล สุนัขโสมม ยิวไซออนิสต์ ก็แสดงออกถึงความต่ำต้อยอัปยศเช่นกัน อันเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลฝรั่งเศสอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจำต้องหาแนวทางในการเยียวยารักษาในสิ่งนี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงความหมายที่แท้จริงของ บาสิญ ว่า บาสิญคือ การปรากฏตัวของพี่น้องประชาชนในทุกภาคสนาม พร้อมกับกล่าวย้ำว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องหลักที่ชัดแจ้งไม่มีข้อครางแคลนสงสัยใดๆ ว่า ที่ใดที่พี่น้องประชาชนได้ออกมามีส่วนร่วมในภาคสนาม อีกทั้งมีความสามัคคีและความเป็นเอกภาพแล้ว ย่อมประสพชัยชนะอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า บาสิญ คือการฉายภาพลักษณ์แห่งการปรากฏอันจำเริญ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า บาสิญสามารถก้าวผ่านบททดสอบแห่งความซื่อสัตย์ในทุกขั้นตอนและในทุกสมัยอย่างดีเยี่ยม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ผู้ใดที่เชื่อมั่นในคุณค่าของอิสลาม อีกทั้งให้การเคารพและให้เกียรติในความเหน็ดเหนื่อย ความอุตสาหะวิริยะ การต่อสู้ต่างๆ และการบริการรับใช้ของบาสิญ ถือว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งในสมาชิกบาสิญเช่นกัน แม้นว่าเขาจะเป็นสมาชิกขององค์กร เครือข่ายของบาสิญ หรือไม่ใช่สมาชิกองค์กรของบาสิญก็ตาม
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า พลังความสามารถของบาสิญ สามารถที่จะคลี่คลายกิจการงานในทุกภาคสนาม พร้อมกับชี้ถึงการเข้าร่วมอย่างแพร่หลายของพี่น้องประชาชนจากทุกภาคส่วนในกองกำลังบาสิญ ทั้งในระดับบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม บันเทิง การเมือง และสังคม ว่า ความสามารถของบาสิญ จำต้องมีการยกระดับและพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยึดมั่น ใน “ข้อปฏิบัติด้านศีลธรรม การปฏิบัติและสังคม” นั้น เป็นบ่อเกิดแห่งการพัฒนา การเจริญเติบโต และความก้าวหน้าอันสูงสุดของบาสิญอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกล่าวเสริมว่า การเสริมสร้างความอดทน การเสียสละ การนอบน้อม การเพิ่มพูนความสามารถภายใน การมีทิศทาง การเผชิญหน้ากับพี่น้องประชาชนอย่างมีเมตตาธรรม และการมีปฏิสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับแวดล้อมและสังคม และความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อรับใช้ประเทศชาติ ก็เป็นอีกหนึ่งความจำเป็นที่จะสามารถพัฒนากองกำลังอาสาสมัครบาสิญในประเทศให้ก้าวถึงยังเป้าหมาย และจะสามารถส่งผลกระทบที่น่าทึ่งได้อย่างมากมายยิ่งนัก
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ด้วยคุณลักษณะเช่นนี้ของบาสิญ จะสามารถเป็นพลังแห่งการยืนหยัด ความมั่นคง ความน่าเกรงขาม และความภาคภูมิใจของระบอบอย่างแน่นอน และขอสรรเสริญพระองค์ ที่บาสิญของเราก็มีคุณลักษณะเช่นนี้
ในช่วงท้ายของการปราศรัยครั้งนี้ ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงบรรดาเยาวชน ว่า เป็นที่ชัดเจนว่า อนาคตอันสดใสของประเทศชาติ และความหวังของประเทศและระบอบอิสลามนั้น ขึ้นอยู่กับพวกท่านทั้งหลาย และพวกท่านที่เป็นเยาวชนทั้งหลาย สามารถที่จะนำพาประเทศชาติสูจุดสูงสุดและความสำเร็จอย่างแน่นอน อีกทั้งสามารถจัดตั้งแบบอย่าง ต้นแบบที่สมบูรณ์แบบของอารยะธรรมอิสลามสมัยใหม่ได้เป็นแน่แท้
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า สิ่งจำเป็นในการปฏิบัติภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งเช่นนี้จากพวกท่านบรรดาเยาวชนทั้งหลาย นั้น คือ การเสริมสร้างความศรัทธาทางศาสนา ความยำเกรง ความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ ความรู้ความสามารถ ความร่าเริงและเบิกบานในการงาน ความซื่อสัตย์สุจริต การรับใช้สังคม และการกีฬา