สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

คณะนักศึกษาเข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

คำปราศรัยท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เนื่องในวันต่อต้านมหาอำนาจแห่งชาติ

เมื่อเช้าวันอาทิตย์ ที่ผ่านมา ( 3 พฤศจิกายน) เนื่องในวาระคล้ายวันต่อต้านมหาอำนาจแห่งชาติ ฯพณฯ ท่านอยาตุลลอฮ์  คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม  ได้พบปะกับบรรดานิสิตนักศึกษานับพันคนอย่างคึกคัก โดย ฯพณฯ   ได้ทำการวิเคราะห์พิจารณารากเหง้าของชาติมหาอำนาจที่เผชิญหน้ากับอิหร่าน พร้อมกับประกาศให้การสนับสนุนอย่างจริงจังต่อคณะผู้บริหารที่มุ่งมั่นในการเจราเพื่อสันติที่จะเกิดขึ้น โดยกล่าวย้ำว่า  ปฏิกิริยาในอดีตของอเมริกา บ่งชี้ว่า ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์นั้นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการประกาศความเป็นศัตรูกับอิหร่านได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น   รอยยิ้มแห่งความเจ้าเล่ห์ของศัตรู อย่าได้มีผู้ใดหลงกลเป็นอันขาด  หากการเจรจาได้บรรลุผลก็เป็นสิ่งที่ดียิ่ง และหากมิได้เป็นเช่นนั้น ก็จึงทำการพิสูจน์อย่างต่อเนื่องตามคำชี้แนะที่ได้ให้ไว้อยู่เสมอ ว่า เพื่อสามารถแก้ไขอุปสรรค์ปัญหานั้นจำต้องมีโลกทัศน์และมุมมองเชิงภายใน


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงสามเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น ในวันที่ ๑๓  ออบอน  ว่า    เหตุการณ์เนรเทศ ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)  ในปี ๑๓๔๓   เนื่องจากคำปราศรัยของท่าน ที่ต่อต้านการสวามิภักดิ์ต่อเจ้าหน้าที่และทหารของอเมริกาในอิหร่าน อันเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน   การสังหารอย่างเหี้ยมโหดและไร้ความปราณีต่อนักศึกษา ในกรุงเตหะราน โดยสมุนของทรราชที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา เมื่อปี ๑๓๕๗    และการเคลื่อนไหวและขับเคลื่อนอย่างกล้าหาญและองอาจของนักศึกษาในการบุกยึดสถานทูตอเมริกา ในกรุงเตหะราน ในปี ๑๓๕๘  นั้น  ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับอเมริกา  และด้วยกับเหตุผลนี้เอง ทำให้วันที่ ๑๓ ออบอน จึงประกาศให้เป็นวันแห่งการต่อสู้กับมหาอำนาจแห่งชาติ


ท่านผู้นำสูงสุด ได้เสริมกล่าวในคำปราศรัยของท่าน ด้วยการอธิบายศัพท์ของพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่เกี่ยวกับมหาอำนาจ แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหานั้น ท่านได้ชี้และย้ำเตือนในประเด็นหนึ่ง ว่า  เยาวชนผู้ศรัทธาและนักศึกษาที่หาญกล้าที่ได้บุกยึดสถานทูตอเมริกา เมื่อปี ๑๓๕๘  นั้น สามารถค้นพบถึงธาตุแท้และแก่นแท้ของสถานทูตอเมริกาว่าเป็นรังสอดแนม รังหน่วยสืบราชการลับ แล้วได้สำแดงให้กับประชาชาคมโลกทั้งหลายได้รับรู้  


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวย้ำว่า  ในวันนั้น เยาวชนของเรา ได้ เรียกสถานทูตอเมริกาว่า คือ รังสอดแนม  และในวันนี้ เมื่อผ่านพ้นมาเกือบสามทศวรรษ สถานทูตต่างๆของอเมริกาที่อยู่ในยุโรปที่เป็นพันธมิตรของอเมริกา ก็ได้ตั้งชื่อสถานทูตอเมริกาว่าเป็นรังสอดแนม เช่นกัน  ซึ่งในประเด็นนี้ บ่งชี้ว่า บรรดาเยาวชนของเรามีความก้าวหน้าในด้านปฏิทินประวัติศาสตร์โลก มากถึงสามสิบกว่าปี


 หลังจากที่ท่าน อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี   อธิบายประเด็นดังกล่าวนี้ เกี่ยวกับความอหังการ  ซึ่งกล่าวย้ำว่า  ความอหังการสามารถหมายรวมถึงมนุษย์และรัฐบาลทั้งหลาย  ที่ได้แทรกแซงในกิจการและการงานของบุคคลอื่นและชาติต่างๆ  และยังถือว่าการยัดเหยียดและคุกคามชาติอีกทั้งบุคคลอื่นนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของตน และจะไม่มีความรับผิดชอบต่อผู้ใดทั้งสิ้น  

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า  สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความอหังการ (อิสติกบอร์) คือ ประชาชาติและมนุษย์ชาติทั้งหลายที่ไม่ยอมและไม่มีวันตกอยู่ภายใต้การถูกบีบบังคับ  การถูกแทรกแซง  และตกอยู่ในอำนาจครอบงำของมหาอำนาจ และจะลุกขึ้นต่อสู้กับพวกเขา ซึ่งอิหร่านคือเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นเช่นนี้


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  กล่าวย้ำกรณีที่รัฐบาลอเมริกาคือรัฐบาลจอมอหังการ ที่ถือสิทธิในความถูกต้องและชอบธรรมในการแทรกแซงกิจการของชาติอื่นๆ  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ประชาชาติอิหร่าน ด้วยกับการปฏิวัติของตนเองนั้น ในความเป็นจริงแล้วนั้น คือการลุกขึ้นต่อต้านการกดขี่ การใช้อำนาจบาตรใหญ่และการครอบงำของอเมริกา  และเช่นกัน หลังจากที่การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านประสพความสำเร็จและประสพชัยชนะแล้ว ก็ได้มีการขุดรากถอนโคนของมหาอำนาจจากภายในให้สิ้นซาก  ซึ่งมันต่างกับบางประเทศ   ที่ไม่ได้ทำลายมันให้สิ้นซากและยังคงเหลือกิ่งไม้ไว้เพื่อใช้กิน


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำ กรณีการประนีประนอม กับมหาอำนาจนั้น  จะไม่ยังคุณประโยชน์ใดๆต่อประเทศและประชาชาติทั้งหลาย   พร้อมกับกล่าวเสริมว่า   ปฏิกิริยาของชาติมหาอำนาจอเมริกา เป็นเหตุให้ประชาชาติทั้งหลายเริ่มมีความรู้สึกสั่นคลอน ไร้ความเชื่อมั่น และเริ่มมีท่าทีไม่พอใจ  พร้อมกันนั้นจากประสบการณ์ ได้บ่งชี้แล้วว่า ทุกชาติและประชาชาติทั้งหลายที่มอบความไว้วางใจต่ออเมริกา ล้วนแล้วจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แม้แต่ชาติพันธมิตรของอเมริกาเอง 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ยกกรณีตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ในประเด็นนี้  อาทิเช่น  การมอบความไว้วางใจของ ดร. มุศอดดิก ต่ออเมริกา  และคำตอบของอเมริกาที่มีต่อเหตุการณ์ก่อรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๒๘ มุรดอด  เช่นเดียวกัน  กรณีการทรยศของอเมริกา ที่มีต่อ มุฮัมมัด ริซาห์ ปาลาวีย์  หลังจากที่ได้หลบหนีออกจากอิหร่าน  ซึ่ง ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ในวันนี้ ในท่ามกลางบรรดาชาติเหล่ามหาอำนาจเหล่านั้น  อเมริกาคือ ชาติที่น่ารังเกียจมากที่สุด 

ท่าน อยาตุลลอฮ์  คาเมเนอี  กล่าวเสริม ว่า ในวันนี้หากมีการสำรวจความคิดเห็นอย่างเป็นธรรม และโปร่งใส ในโลกแล้ว จะพบว่า ทัศนะของพี่น้องทั่วโลก นั้น จะไม่มีรัฐบาลหน้าไหนที่น่ารังเกียจที่สุดนอกจากรัฐบาลของอเมริกาอีกแล้ว


ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวสรุปคำปราศรัยในส่วนนี้ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ด้วยเหตุนี้ การประกาศปรปักษ์กับชาติมหาอำนาจผู้อหังการ และการประกาศวันต่อต้านมหาอำนาจโลกแห่งชาติ คือประเด็นหลัก ซึ่งมีทีมาและวางอยู่บนพื้นฐานแห่งการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังกำชับสอนให้เหล่าบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวมีการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง มีความละเอียดอ่อนในประเด็นการต่อสู้กับมหาอำนาจ ว่า  เยาวชนรุ่นแรกของการปฏิวัติ ไม่จำเป็นต่อการวิเคราะห์ในประเด็นการต่อสู้กับมหาอำนาจ อันเพราะว่า พวกเขานั้น ประจักษ์เห็นกับสายตา ถึงการกดขี่ การศอเล็มของอเมริกา และให้การสนับสนุนต่อรัฐบาลทรราชที่ไร้ซึ่งความปรานี แต่ทว่า เยาวชนหนุ่มสาวในวันนี้ จำต้องมีการพิจารณา และวิเคราะห์ให้ถูกต้อง ว่า เหตุใด ประชาชาติอิหร่านจึงประกาศปฏิปักษ์และต่อสู้กับมหาอำนาจและต่อต้านปฏิกิริยาของอเมริกา และอะไรคือเหตุผลที่อิหร่านต้องรังเกียจและเกลียดชังอเมริกา???  


ท่านผู้นำสูงสุด ได้นำเสนอประเด็นสำคัญบางอย่างในเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้กับอเมริกา  ซึ่งท่านผู้นำสูงสุด นอกจากยังให้การสนับสนุนคณะผู้บริหารและคณะเจรจาประชุม ๕+๑  แล้ว  ยังกล่าวย้ำว่า  บุคคลเหล่านี้คือลูกหลานของการปฏิวัติและเป็นเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐอิสลาม  ซึ่งได้มีความพยายามและความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการทำภารกิจที่หนักอึ้งในครั้งนี้  และ “ ทุกคนไม่ควรที่จะบ่อนทำลายพวกเขา ใส่ร้ายป้ายสีพวกเขา หรือถือว่าเป็นการประนีประนอมกับศัตรู” 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง การเจรจากับหกประเทศ ซึ่งอเมริกาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกเหล่านั้นด้วย ซึ่งมันเป็นการเจรจาเฉพาะในเรื่องนิวเคลียร์เท่านั้น หาใช่เรื่องอื่นใด  โดย ฯพณฯ กล่าวเสริมว่า  ด้วยการอนุมัติของพระผู้อภิบาล การเจรจาครั้งนี้มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อเราอย่างแน่นอน  เพราะประชาชาติอิหร่านได้รับประสบการณ์ในเรื่องนี้มาแล้ว อาทิเช่น  ประสบการณ์ในการระงับการพัฒนานิวเคลียร์เป็นการชั่วคราว ในปี ๘๒ และ ๘๓  ซึ่งมันสามารถยกระดับและพัฒนากระบวนการคิดและการวิเคราะห์ของพี่น้องประชาชนเพิ่มมากขึ้น   


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังอธิบายเสริมถึงผลลัพธ์ของประสบการณ์แห่งชาติ ว่า หนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ในการเจรจากับชาติยุโรป ในรูปแบบของการร่นถอย  ซึ่งเราได้ยอมรับต่อการถูกระงับแต่ในความจริงแล้วนั้นเสมือนเป็นการถูกยัดเหยียดเสียมากกว่า  ทว่าภายหลังจากสองปีแห่งการถูกระงับและหยุดการพัฒนาในกิจการส่วนใหญ่แล้ว  ทั้งหมดล้วนเข้าใจแล้วว่า แม้นว่าจะด้วยการกระทำและการมีมาตรการเช่นนี้  พึงรู้ว่าความหวังในการร่วมมือกับฝ่ายตะวันตกนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า   หากเราไม่ปฏิบัติและกระทำเช่นนี้ บางที่อาจเป็นไปได้ว่า จะมีบางคนกล่าวอ้างว่า หากมีการร่นถอยอีกครั้งหนึ่ง ปัญหาประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านก็สามารถแก้ไขคลี่คลาย และจะกลายเป็นปัญหาปรกติธรรมดาทั่วๆไป  ทว่าประสบการณ์ในการระงับชั่วคราวนั้น  ทำให้ทุกคนได้สัมผัสและเข้าใจแล้วว่า ฝ่ายตรงกันข้ามกับเรากำลังแสวงหาเป้าหมายอื่นที่นอกเหนือจากสิ่งนี้  ด้วยเหตุนี้เองงานการและการพัฒนาจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง


ท่านผู้นำสูงสุด  ได้ชี้ถึงความแตกต่างด้านสถานะของนิวเคลียร์อิหร่านในวันนี้กับอิหร่านเมื่อหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ว่าเป็นความแตกต่างราวฟ้ากับดิน พร้อมกันนั้นยังได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจังแก่บรรดาคณะผู้บริหารในการเจรจาประเด็นดังกล่าวกับอเมริกาว่า   เราไม่มีความมั่นใจต่อการเจรจาที่จะมีขึ้น เพราะไม่เป็นที่แน่ชัดว่าผลลัพธ์ที่จะออกมานั้นจะเป็นไปตามความหวังของประชาชาติอิหร่านหรือไม่ แต่ทว่าเราเชื่อว่าในประสบการณ์ครั้งนี้มิได้มีปัญหาแต่อย่างใด แต่มีเงื่อนไขว่าประชาชาติต้องมีการตื่นตัว และพึงตระหนักว่าจะมีเหตุการณ์อันใดที่จะเกิดขึ้นอีก 


 ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ตำหนิสื่อสารมวลชนบางแขนงอย่างรุนแรง  ที่ใช้คำ “โฆษณาชวนเชื่อ ไม่ว่าจะในรูปลักษณะมักง่ายหรือมีความอคติ” ว่า บางกลุ่มได้อาศัยบรรทัดฐานเส้นแบ่งของสื่อสารมวลชนต่างชาติ มีความพยายามที่จะหลอกลวงพี่น้องประชาชน จึงได้ประโคมข่าวในลักษณะที่ว่า  หากประเด็นนิวเคลียร์สามารถหาบทสรุปและลงเอยในทิศทางที่ดีได้แล้ว ปัญหาต่างๆทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาอื่นๆก็จะสามารถแก้ไขและคลี่คลายลงได้อย่างง่ายดาย


ท่านผู้นำสูงสุด ได้พิสูจน์ในความผิดพลาดและการเป็นโมฆะของการโฆษณาชวนเชื่อและประโคมข่าวเช่นนี้  ด้วยการยกหลักฐานอ้างอิงถึงแผนการร้ายต่างๆของอเมริกาในการต่อสู้กับอิหร่าน และก่อนที่จะมีการหยิบยกและนำเสนอประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านนั้น ขอเรียกร้องและเชิญชวนประชาชาติอิหร่านทุกท่านโดยเฉพาะบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวที่เป็นนิสิตนักศึกษาและนักเรียนให้ทำการไตร่ตรองพิจารณาในเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบ 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตั้งโจทย์คำถามบางอย่าง ว่า ในยุคต้นของการปฏิวัติอิสลาม อเมริกาได้คว่ำบาตรอิหร่าน และยังคงดำเนินอยู่จวบจนวันนี้ มันมีเรื่องของประเด็นนิวเคลียร์มาเกี่ยวข้องด้วยหรือ ?  ในวันที่เล็งเป้ายิงเครื่องบินโดยสารของอิหร่าน อันเป็นการสังหารหมู่ผู้โดยสารทั้งลำจำนวน ๒๙๐  คน  ประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือ?  ในหลายปีของช่วงแรกในการปฏิวัติ ซึ่งอเมริกาเป็นผู้บงการในการวางแผนก่อรัฐประหารในฐานทัพชะฮีด โนเชห์ นั้น ประเด็นนิวเคลียร์มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือ?  การให้ความสนับสนุนในเรื่องอาวุธและการเมืองของอเมริกาที่มีต่อกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติอิสลามหลังจากที่การปฏิวัติได้รับชัยชนะ มีสาเหตุมาจากกระบวนการผลิตนิวเคลียร์ของอิหร่านกระนั้นหรือ? 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ ถึงคำตอบเชิงปฏิเสธของคำถามดังกล่าวทั้งหมด พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ด้วยเหตุนี้ ประเด็นนิวเคลียร์อิหร่าน มันเป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างเท่านั้น  และหากอาศัยสมมุติฐานดังกล่าว ว่า หากในวันหนึ่ง เราร่นถ้อยในประเด็นนี้  พวกเขาก็จะยังคงประกาศความเป็นศัตรูกับอิหร่านผู้มีเกียรตินี้ อย่างต่อเนื่อง ด้วยกับข้ออ้างต่างๆนาๆนับสิบเหตุผล อาทิเช่น  ประเด็นการพัฒนาและความเจริญก้าวหน้าด้านขีปนาวุธ  ประชาชาติอิหร่านต่อต้านรัฐบาลทรราชยิวไซออนิสต์  และสาธารณรัฐอิหร่านเป็นผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มมุกอวิมัต

หลังจากที่ได้ยกหลักฐานในข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวย้ำว่า  การเป็นศัตรูของอเมริกา กับสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านนั้น อันเนื่องจากเหตุผลที่ว่า  ประชาชาติอิหร่านได้ปัดปฏิเสธทุกคำเรียกร้องของอเมริกา  พร้อมกับมีความเชื่อว่า อเมริกาไม่มีวันที่จะเอาผิดและกระทำสิ่งใดๆกับอิหร่านได้เป็นอันขาด 


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า  อเมริกา เป็นศัตรู กับตัวตนและการมีอยู่ของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และต่อต้าน  “อิทธิพล ศักดิ์ศรี และอำนาจของระบอบการเลือกตั้งของอิหร่าน” ดังเหตุการณ์ล่าสุด กรณีนักการเมืองท่านหนึ่งของอเมริกา ซึ่งเป็นถึงระดับมันสองของอเมริกา ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า   ไม่ว่าอิหร่านจะมีอาวุธนิวเคลียร์ครอบครอง หรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่ายังคงเป็นตัวอันตรายอยู่เสมอ อันเพราะอิทธิพล และศักดิ์ศรี หรือตามคำกล่าวของพวกเขาแล้ว  คือความเป็นเจ้าโลกและมหาอำนาจของอิหร่านที่มีเหนือภูมิภาค 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้สรุปเนื้อหาคำปราศรัยในส่วนนี้ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ประเด็น นิวเคลียร์ เป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างเท่านั้น เพราะตราบใดที่อเมริกายังคงจมปลกอยู่ในความเกลียดชังต่ออิหร่าน ตราบนั้นจะไม่มีวันลดละในการทำลายอิหร่าน ให้กลายเป็นประเทศที่ล้าสมัย ไร้ศักดิ์ศรี และไร้เกียรติ


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวเสริม โดยชี้ถึงการมีโลกทัศน์ต่อความสามารถภายในและการพึ่งพาอำนาจภายในต่อการแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาที่มีอยู่  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  หากประชาชาติได้พึ่งพาอาศัยพลังอำนาจและความสามารถของตน แน่นอนยิ่งไม่ว่าจะถูกคว่ำบาตรจากศัตรูและอุปสรรค์ปัญหาต่างๆนาๆก็จะไม่มีวันปั่นป่วนและระสำระสายเป็นอันขาด และเราทุกคนจำต้องมุ่งหน้าเพื่อให้บังเกิดซึ่งเป้าหมายและวัตถุประสงค์อันนี้  


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า  คำพูดของข้าพเจ้าที่มีต่อคณะผู้บริหารทั้งในอดีตและวันนี้ คือ เพื่อการมุ่งพัฒนาและการเจริญเติบโตและความคล่องตัวในทุกกิจการงาน จงอาศัยและพึ่งพาความสามารถที่หลากหลายและแพร่หลายของมนุษย์ ธรรมชาติและภูมิศาสตร์ของอิหร่าน

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่าการขับเคลื่อนและการเคลื่อนไหวทางการทูตก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  การพึ่งพายังความสามารถภายใน มิได้หมายความว่า ต้องปฏิเสธการเจรจาทางการทูต  แต่ทว่าจำต้องตระหนักว่า การเคลื่อนไหวทางการทูตนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการงาน ซึ่งหัวข้อและประเด็นหลักก็คือ การพึ่งพายังความสามารถภายในนั้นเอง ซึ่งสิ่งนี้เองที่สามารถเข้าสู่โต๊ะเจรจา แล้วนำเกียรติยศ และศักดิ์ศรีกลับคืนสู่ประเทศ


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม เรียกร้องให้ประชาชาติและคณะผู้บริหารให้ความสำคัญและใส่ใจในประเด็นเหล่านี้ ว่า อิหร่านในการเผชิญหน้ากับบรรดาศัตรู ซึ่งเริ่มตั้งแต่ช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลามที่ประสพความสำเร็จจนถึงวันนี้ ไม่มีวันหยุดหย่อนแม้แต่น้อย และหลังจากนี้ไปก็จะคงดำเนินการเช่นนี้อีกต่อไป 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  ได้อธิบายถึงเหตุผลในคำกล่าวดังกล่าว ว่า  ในช่วงสิบทศวรรษแรกของการปฏิวัติอิสลาม เราขาดสื่อต่างๆด้านวัตถุ อาทิเช่น เงินทอง อาวุธ ประสบการณ์ หน่วยงานที่เป็นระบบ และกองกำลังติดอาวุธที่มีประสิทธิภาพ  ขณะที่แนวรบฝ่ายตรงกันข้ามของการปฏิวัติอิสลาม  คือ รัฐบาลทรราช บาศ ซัดดัม  และมหาอำนาจตะวันตกและตะวันออกก็ให้การสนับสนุน จนถึงขั้นสูงสุดของอำนาจและขีดความสามารถ  แต่ทว่า ยังไม่สามารถสร้างความปราชัยให้กับอิหร่านได้แม้แต่น้อย


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า  ในวันนี้เงื่อนไขของประชาชาติอิหร่าน และแนวรบของฝ่ายตรงกันกันข้ามนั้น มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อหลายปีก่อน  เพราะในวันนี้สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน มีวิทยาศาสตร์  เทคโนโลยี อาวุธ มีศักดิ์ศรีในระดับนานาชาติ และเยาวชนหนุ่มสาวที่มีความสามารถอีกหลายล้านคนที่พร้อมในการปฏิบัติงาน ในขณะที่แนวรบฝ่ายตรงกันข้าม กล่าวคือ อเมริกา และพันธมิตรของอเมริกา กลับต้องมาเจอกับอุปสรรค์ปัญหาต่างๆนาๆทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และปัญหาความขัดแย้งต่างๆอีกมากมาย

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในอเมริกา การหยุดและปิดราชการเป็นเวลาสิบห้าวันของรัฐบาลอเมริกา ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและการขาดดุลการค้านับพันล้านดอลลาร์ ความขัดแย้งที่ร้าวฉานระหว่างยุโรปกับอเมริกา ในประเด็นต่างๆ อาทิเช่น การบุกโจมตีทางทหารยังซีเรีย  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงแค่กรณีตัวอย่างของสถานะปัจจุบันของแนวรบฝ่ายตรงกันข้ามของประชาชาติอิหร่าน   โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ในวันนี้ ประชาชาติอิหร่าน  มีความรอบรู้ มั่นคง และมีการพัฒนาและเจริญก้าวหน้า ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับช่วงเวลายี่สิบปี หรือสามปีก่อนได้เลย 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า  ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกเขาก็คงจะกดดันเราอย่างต่อเนื่อง  ทว่า เราต้องพึ่งพา ขีดความสามารถที่อยู่ภายในของตนเองต่อการแบกรับความกดดันเหล่านี้ แล้วก็ก้าวข้ามและผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้ได้ดีและอย่างมีประสิทธิภาพ


ท่านผู้นำสูงสุด ยังให้การสนับสนุนอีกครั้ง ต่อการกระทำและความพยายามของรัฐบาลที่มีเกียรติและคณะผู้บริหาร ในเวทีทางการเมืองและการทูต ว่า  การกระทำเช่นนี้คือเป็นประสบการณ์อันหนึ่งซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ยังคุณประโยชน์ก็เป็นได้  หากการเจรจาได้ผลก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และหากไม่ได้ผล นั้นมันหมายความว่า  ในการแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาต่างๆนาๆของประเทศ จำต้องอาศัยและพึ่งพาและยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง


ขณะเดียวกัน ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า  ข้าพเจ้าขอกล่าวซ้ำในคำสั่งเสียครั้งก่อนหน้านี้ อีกครั้งหนึ่ง ว่า อย่าได้มอบความไว้วางใจต่อศัตรูที่เผยรอยยิ้มออกมาเป็นอันขาด


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า คำสั่งเสียของข้าพเจ้าที่มีต่อบรรดาคณะผู้บริหารในเวทีทางการทูตและการเจรจาคือ พึงระมัดระวังไว้ รอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ของศัตรู อย่าได้ทำให้พวกท่านต้องหลงกลและเดินทางผิดเป็นอันขาด  

 

 ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริม ว่า บรรดาคณะผู้บริหาร จำต้องมีความระมัดระวังและไตร่ตรองอย่างรอบคอบต่อการแสดงทัศนะและความคิดเห็นและการกระทำของฝ่ายตรงกันข้าม เพราะด้านหนึ่งพวกเขาเผยรอยยิ้มออกมา อันเป็นการส่อให้เห็นถึงความต้องการในการเจรจา แต่ทว่าอีกด้านหนึ่งนั้น จะออกมากล่าวโดยทันควัน ว่า  ทางออกทั้งหมดขึ้นอยู่บนโต๊ะเจรจาเท่านั้น  ในขณะเดียวกันนั้นไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะกระทำผิดอันการใดก็ไม่รู้ 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ชี้ถึงคำพูดของนักการเมืองอเมริกาท่านหนึ่ง ที่เรียกร้องให้มีการทำลายอาวุธนิวเคลียร์อิหร่านว่า   หากอเมริกามีความสัตย์จริงในเรื่องนี้  ซึ่งการเจรจาจะต้องเกิดขึ้นด้วยความจริงจังแล้วนั้น จำต้องตบปากบุคคลเช่นนี้ที่กล่าวในเรื่องงมงาย แล้วบดขยี้ปากบุคคลเหล่านี้ให้เละ 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า  รัฐบาลที่มีความงมงายและแบกรับหน้าที่เช่นนี้ต่อประเด็นระดับโลก และประเด็นนิวเคลียร์ ถือเป็นความผิด ที่จะมาคุกคามประเด็นนิวเคลียร์ต่อประเทศอื่น


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า   เนื่องจากอเมริกาถูกครอบงำโดยนายทุนผู้มีอิทธิพล และบริษัทของยิวไซออนิสต์ ที่มีอำนาจเหนือรัฐบาล สภาคองแกรส จึงมีการเอาใจและสานสัมพันธ์ที่ดีกับยิวไซออนิสต์  และบรรดาผู้อัปยศทั้งหลายจำต้องสมยอมที่จะอ่อนข้อต่อพวกเขา ทว่า  เราไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องอ่อนข้อกับพวกเขา


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า เราได้กล่าวมาตั้งแต่เริ่มแรก และในวันนี้ก็จะกล่าวเช่นนี้ และในอนาคตก็จะกล่าวอีกเช่นเดียวกันว่า  เราถือว่า ยิวไซออนิสต์คือรัฐเถื่อนและเป็นลูกนอกสมรส 


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงความไหวพริบและเฉลียวฉลาดของประชาชาติอิหร่านและคณะผู้บริหารประเทศ ว่า   เราขอสนับสนุนทุกการกระทำของคณะผู้บริหารเพื่อก่อผลประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง แต่ทว่า ข้าพเจ้าขอสั่งเสียกำชับแด่พี่น้องประชาชนทั้งหลาย คณะผู้บริหาร โดยเฉพาะเยาวชนหนุ่มสาว ว่า จงเปิดตากว้าง อันเพราะแนวทางเดียวที่จะก้าวไปถึงจุดหมายและเป้าหมายของประเทศชาติได้นั้น คือปกป้องรักษาความรอบรู้และความชาญฉลาดให้คงอยู่เสมอ 


ในช่วงท้าย ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า หวังว่า ด้วยความโปรดปรานและพระกรุณาธิคุณของพระผู้อภิบาล จะสามารถมอบเยาวชนหนุ่มสาวที่มีจิตวิญญาณแห่งความร่าเริงเบิกบานให้กับประเทศชาติ และด้วยนวัตกรรมของตนจะสามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดแห่งความสำเร็จอย่างมีความภาคภูมิใจ 


700 /