สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประธานสภาคุบเรฆอน (สภาคัดสรรผู้นำ)และคณะเข้าพบท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม

การมีมุมมองและโลกทัศน์ในเชิงรวม มหาภาค และองค์รวมต่อเหตุการณ์

 เมื่อช่วงเที่ยงของวันพฤหัสบดีที่ (๕  กันยายน) ประธานสภามัจญ์ลิส คุบเรฆอน (สภาชำนาญการสูงสุดในการคัดสรรผู้นำ)และคณะเข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม  ซึ่ง พณฯ  ได้กล่าวชี้แนะยังคณะผู้บริหาร และผู้มีอำนาจในการตัดสินใจในระดับชนชั้นต่างๆอันหลากหลายของระบอบอิสลาม  ด้วยการมีโลกทัศน์แห่งมหาภาคและองค์รวมต่อประเด็นกิจกรรมภายในของประเทศ ภูมิภาค และระดับโลก  อีกทั้งมีจุดยืนที่ควบคู่ไปด้วยความบาศีรัต โลกทัศน์และห่างไกลจากความรีบร้อน  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ในการตัดสินใจและการวางจุดยืนของบรรดาคณะผู้บริหารนั้น จำต้องคำนึงถึงสามองค์ประกอบหลัก คือ “อุดมการณ์และเป้าหมาย”  “กลยุทธ์ในเชิงรวม” และ “ข้อเท็จจริง”   และจงขับเคลื่อนด้วยทิศทางแห่งวิถีแห่งภูมิปัญญา ชาญฉลาด และมุ่งหวังในอนาคต ในการเสริมสร้างโครงสร้างขั้นพื้นฐานภายในระบอบ  การแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาและการยืนหยัดบนหลักพื้นฐานที่มั่นคง


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า  การมีมุมมองและโลกทัศน์ในเชิงรวม มหาภาค และองค์รวมต่อเหตุการณ์และปัญหาต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง  พร้อมกับกล่าวว่าย้ำว่า  หนึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าวคือ การก่อตัวของระบอบสาธารณรัฐอิสลาม ที่ได้บังเกิดขึ้นในห้วงเวลาพายุที่พัดโหมกระหน่ำ  ด้วยการพึ่งพิงยังอิสลาม  และในขณะที่โลกใบนี้กำลังเคลื่อนสู่วัตถุนิยม  ซึ่ง  ปรากฏการณ์เช่นนี้เสมือนกับเป็นมุอญิซาตอันหนึ่ง (สิ่งมหัศจรรย์) 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงการต่อต้านและการเป็นศัตรูกับระบอบอิสลาม เริ่มตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามได้ประสบกับชัยชนะจนถึงในวันนี้  ว่า  เหตุผลหลักในการเป็นศัตรูครั้งนี้ ก็เพราะอิสลามนั้นเอง


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า  การวิเคราะห์ที่ถูกต้องจากสภาพปัจจุบันที่เกิดขึ้นในภูมิภาคและโลกในขณะนี้ และการตั้งแถวแนวรบต่างๆในการเผชิญหน้ากับระบอบอิสลามนั้น ขึ้นอยู่กับการมีโลกทัศน์เชิงมหาภาค องค์รวมและวางอยู่บนหลักตรรกะแห่งข้อเท็จจริง  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  จากการที่ภูมิภาคในเอเชียตะวันตก เคยตกอยู่ในอำนาจการครอบครองอย่างอึกกะทึกครึกโครมของมหาอำนาจนานนับปี  แต่ทว่าในเงื่อนไขและสภาวะปัจจุบัน ก็ได้เกิดปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่คือการตื่นตัวอิสลามขึ้นมา  อันเป็นปรากฏการณ์ที่ค้านกับความต้องการของมหาอำนาจอย่างสิ้นเชิง

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า  การจินตนาการที่ว่า การตื่นตัวอิสลามได้จบสิ้นลงแล้วนั้น เป็นการจินตนาการที่ผิด  เพราะว่า การตื่นตัวอิสลามหาใช่เป็นปรากฏการณ์ในลักษณะการเมืองเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเหมือนกับการสับเปลี่ยนที่คนหนึ่งมาและคนหนึ่งไป ทว่า การตื่นตัวอิสลามคือ สภาพของการตื่นตัว  ความเชื่อมั่นในตัวเอง และการพึ่งพาอาศัยอิสลามที่ปรากฏขึ้นอย่างแพร่หลายในสังคมอิสลาม 


ท่านอยาตุลลออ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า สิ่งที่เราพบเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคในวันนี้ คือ ปฏิกิริยาของมหาอำนาจที่มีต่อการตื่นตัวอิสลามโดยมีอเมริกาเป็นหัวโจ๊กในการต่อต้านครั้งนี้

ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงความพยายามของแนวรบฝ่ายมหาอำนาจในการแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาคที่วางอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนตัว ว่า   การปรากฏตัวของมหาอำนาจในภูมิภาคนี้ เป็นการปรากฏตัวอย่างผู้รุกราน เห็นแก่ตัว และการใช้อำนาจข่มขู่ เพื่อทำลายล้างการมุกอวีมัต การต่อสู้กับการปรากฏตัวครั้งนี้ของพวกเขา แต่ทว่า แนวรบฝ่ายมหาอำนาจก็ยังไม่สามารถทำลายล้างกลุ่มมุกอวีมัตได้ และจากนี้ไปก็เช่นกันจะไม่มีวันสามารถทำลายล้างกลุ่มมุกอวีมัตได้อีกต่อไป


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักของมหาอำนาจในการยึดครองเขตภูมิภาคนี้ภายใต้บริบทของยิวไซออนิสต์ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า เหตุการณ์ล่าสุดในซีเรีย ซึ่งได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวอ้างใช้อาวุธเคมี อันมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรลุเป้าหมายเช่นนี้  โดยที่อเมริกามีความพยายามอย่างยิ่ง ด้วยการเล่นภาษาและคำพูด อ้างเรื่องของสิทธิมนุษยธรรมเพื่อให้พวกเขาต้องเข้ามาสู่ปัญหานี้


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า สิ่งที่บรรดานักการเมืองของอเมริกาได้ละเลยและไม่ให้ความสำคัญคือ ประเด็นสิทธิมนุษยธรรม   โดย ฯพณฯ กล่าวย้ำว่า  ในขณะที่อเมริกาออกมากล่าวอ้างประเด็นสิทธิมนุษยธรรม  แต่ทว่าในอดีตที่ผ่านมานั้นอเมริกากลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดไม่ว่า  ค่ายกักกันกวนตานาโม และ อบูฆอรีบ   การนิ่งเฉยและนิ่งเงียบต่อการทิ้งระเบิดอาวุธเคมีของซัดดัมในเมืองฮาลับจาของอิรัก และในเมืองต่างๆ ของอิหร่าน   และการเข่นฆ่าสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งในอัฟกานิสถาน ปากีสถานและอิรัก


ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า  ปัญหามนุษยธรรมคือสิ่งที่ไม่มีใครในโลกจะเชื่อได้ว่าอเมริกากำลังมุ่งแสวงหาสิ่งนี้อย่างแท้จริง  


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า เรามีความเชื่อว่า อเมริกากำลังผิดพลาดและกำลังก้าวเดินในทางที่ผิดกรณีของซีเรีย และด้วยกับสิ่งนี้พวกเขาจะได้รู้สึกถึงความเสียหายและความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับตนเองในเรื่องนี้อย่างแน่นอน


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า ระบอบการปกครองของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน จนถึงวันนี้ หลังจากผ่านพ้นสามสิบปีมาแล้ว  ซึ่งในสภาวะเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่มีความอ่อนแอใดๆในการเผชิญหน้ากับบรรดาศัตรูและการคุกคามในทุกรูปแบบแล้ว กลับมีความเข้มแข็งและทรงพลังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งในด้านการยืนหยัดต่อสู้   การมีบทบาทอิทธิพลและความสามารถต่างๆอย่างเห็นได้ชัด


ท่านผู้นำสูงสุด ได้อธิบายถึงข้อเท็จจริงในการก่อตั้งระบอบสาธารณรัฐอิสลาม การยืนหยัดอย่างมีเกียรติศักดิ์ศรี และมั่นคงที่นับวันยิ่งทวีความเข้มข้น  มาตรแม้นว่าบรรดาศัตรูทั้งหลายจะรวมตัวกันตั้งแนวรบในระดับภูมิภาคและโลกก็ตาม   พร้อมกับกล่าวย้ำว่า    ในการตัดสินใจและการวางจุดยืนของบรรดาคณะผู้บริหารนั้นจำต้องคำนึงถึงสามองค์ประกอบหลักเป็นที่ตั้ง  คือ  ๑ “อุดมการณ์และเป้าหมาย”   ๒   “กลยุทธ์ในเชิงรวม”   ๓  “ข้อเท็จจริง”   


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายถึงอุดมการณ์และเป้าหมาย ว่า  อุดมการณ์ของการปฏิวัติอิสลามแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน คือ การสร้างอารยะธรรมแห่งอิสลาม  และสังคมก้าวหน้า ทั้งในเชิงวัตถุและจิตวิญญาณ 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำ ว่า  วิธีการและกลยุทธ์ในการบรรลุถึงอุดมการณ์นี้ก็ถูกกำหนดวางอย่างชัดเจนมาแล้ว  ซึ่งเป็นวิธีการ อาทิเช่น การพึ่งพายังระบอบอิสลาม การไม่ประนีประนอมกับการกดขี่  และการไม่ถูกกดขี่ในการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ    วิธีการ กลยุทธ์ในการพึ่งพายังคะแนนเสียของประชาชน   กลยุทธ์สำหรับการทำงานและความพยายามของส่วนรวม และกลยุทธ์สำหรับเอกภาพแห่งชาติ


ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า การมีโลกทัศน์ที่ถูกต้องในข้อเท็จจริง ถือเป็นประเด็นองค์ประกอบหลักประการที่สามที่จำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  อุดมคตินิยมจำต้องควบคู่ด้วยการโลกทัศน์ยังข้อเท็จจริง  แต่ทว่า การมีโลกทัศน์ยังข้อเท็จจริงนั้นจำต้องมีอยู่ในรูปลักษณะที่ถูกต้อง และครอบคลุมทุกภาคส่วนและต้องห่างไกลจากการลำเอียงและอคตินิยม


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึง การมีอยู่ของความหอมหวานและความขมขื่นในสังคม ว่า ในการตัดสินใจและการมองยังปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศนั้น จะต้องไม่มองยังข้อเท็จจริงแห่งความขมขื่นเพียงด้านเดียว  ทว่าจำต้องมองยังข้อเท็จจริง อาทิเช่น  การมีอยู่ของเหล่าปัญญาชนชั้นนำ และชั้นแนวหน้า การมีอยู่ของกลุ่มนักกิจกรรมและนักประดิษฐ์คิดค้นด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศ  การซึมซับจิตวิญญาณแห่งศาสนาในหมู่พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะบรรดาเยาวชนหนุ่มสาว   การคงอยู่ของคำขวัญแห่งศาสนาและอิสลาม  และการมีอิทธิพลและบทบาทที่เพิ่มสูงขึ้นของระบอบสาธารณรัฐอิสลามในระดับภูมิภาคและระดับสากล  และด้วยการพึ่งพายังข้อเท็จจริงแห่งความหอมหวานเช่นนี้ จงพยายามขจัดและลบเลื่อนความขมขื่นเหล่านี้ให้หมดไปหรือให้มันลดน้อยลงเท่าที่จะกระทำได้


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  กล่าวเสริมว่า  ข้อเท็จจริงแห่งการมีอยู่ของความขมขื่น นั้นเสมือนเป็นสิ่งกีดขวางสำหรับเรา ซึ่งอย่าได้ปล่อยให้เรานั้นต้องหันแหและออกจากเส้นทางหลักเป็นอันขาด   ทว่าจำต้องมีโลกทัศน์และวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องในการกำจัดและขจัดสิ่งกีดขวางนี้ให้หมดไป  และสามารถก้าวข้ามและผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า  ยุทธ์ศาสตร์ของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ในช่วงสิบทศวรรษแรกของการปฏิวัตินั้น ก็ได้วางอยู่บนพื้นฐานและรูปแบบเช่นนี้เหมือนกัน  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ไม่เคยปิดตาของท่านเลยในการเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงต่างๆเหล่านี้  และท่านเองก็ไม่เคยละเลยในการปฏิบัติตามพื้นฐานหลักเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า  ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) คือบุคคลที่กล่าวว่า   “ ยิวไซออนิสต์ คือมะเร็งร้ายที่จะต้องถูกกำจัดและทำลายล้างให้สิ้นซาก”   และท่านเองไม่เคยที่จะอ่อนข้อและทำการอำพรางตะกียะห์กับยิวไซออนิสต์ เลยแม้แต่น้อย 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ไม่เคยอำพรางและตะกียะห์ในการเผชิญหน้ากับอเมริกาและความชั่วช้าสามาลย์ของอเมริกาแม้แต่น้อย   และถ้อยคำประโยคที่โด่งดัง “ อเมริกาคือซาตานตัวใหญ่”  ก็คือคำพูดที่มาจากท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)นั้นเอง

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า ประโยค “การบุกยึดสถานทูตอเมริกา คือการปฏิวัติครั้งที่สอง และบางครั้งมันอาจจะมีความสำคัญมากกว่าการปฏิวัติครั้งแรกด้วยซ้ำไป”   ก็เป็นคำพูดของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) อีกเช่นกัน


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายถึงการปฏิบัติ และปฏิกิริยาของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ในช่วงสิบทศวรรษแรกของการปฏิวัติอิสลาม ในประเด็นสงครามอีรัก-อิหร่าน ว่า  ในสมัยนั้น ซึ่งทุกคนพากันตะโกนคำขวัญ “สงคราม สงคราม จนถึงชัยชนะ”  แต่ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) กลับกล่าวประโยคคำขวัญว่า “สงคราม  เพื่อกวาดล้างภัยฟิตนะห์”

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้สรุปเนื้อหาการบรรยายในส่วนนี้ว่า   การยืนหยัดของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)ในลักษณะเช่นนี้เอง ทำให้รากฐานแห่งระบอบอิสลามมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น

ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวว่า สถานะของบุคคลหรือกลุ่มประเทศที่พยายามแสวงหาความพึงพอใจจากมหาอำนาจซึ่งได้ละทิ้งรากฐานหลักของตนเองนั้น ขณะนี้กำลังเผชิญวิบากกรรมต่อหน้าและสายต่อของเรา 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า  หากในอียิปต์ มีคำขวัญในการต่อสู้กับอิสราเอล และไม่ละเลยในการเผชิญหน้ากับพันธะสัญญาของอเมริกาแล้ว เหตุการณ์ก็จะไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน  เหตุการณ์ซึ่งจอมเผด็จการผู้ต่ำต้อยในสายตาของประชาชนอียิปต์ถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกอย่างเป็นอิสระ และผู้ที่ประชาชนเลือกสรร กลับถูกจับเข้าคุกและถูกดำเนินคดี 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า  หากในอียิปต์มีการยืนหยัดบนรากฐานอย่างมั่นคง  และผู้ชุมนุมประท้วงสนับสนุนยังประธานาธิบดีของประชาชนมีความยืนหยัดอย่างแท้จริงแล้ว ประชาชนก็ย่อมที่จะเข้ามาสมทบยังพวกเขาอย่างแน่นอน


คำพูดส่วนนี้ของ พณฯ ได้กล่าวแนะนำในประเด็นหนึ่งที่ว่า  ยุทธ์ศาสตร์และนโยบายหลักที่สำคัญของศัตรูอิสลามคือ การสร้างความแตกแยก ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ มัศฮับ นิกายให้เกิดขึ้นในภูมิภาค


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า  บรรดาศัตรูเพื่อให้บรรลุแผนนโยบายดังกล่าว และกระพือเชื้อเพลิงแห่งฟิตนะห์ ได้อาศัยข้าสมุนสองจำพวกมาเป็นเครื่องมือรับใช้   ซึ่งกลุ่มแรกคือข้าสมุนกลุ่มตักฟีรีย์ ภายใต้ชื่อ พี่น้องซุนนี่ และกลุ่มที่สองคือข้าสมุนภายใต้ชื่อชีอะห์  

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า  ทุกกลุ่มองค์กรและทุกรัฐบาลที่ตกหลุมพรางแห่งกลลวงที่อันตรายยิ่งนี้ ย่อมที่จะส่งผลกระทบต่อการตื่นตัวอิสลามอย่างแน่นอน


ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า  บรรดาอุลามาอ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชีอะห์และซุนนีย์จำต้องระมัดระวังในสิ่งนี้ เพราะความแตกแยกและความคัดแย้งระหว่างมัศฮับอิสลาม ย่อมนำมาซึ่งการตั้งแนวรบใหม่ และนำมาซึ่งการหันเห การละเลยเพิกเฉยจากศัตรูตัวฉกาจและศัตรูตัวหลักของอิสลาม


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวเสริมถึงประเด็นความจำเป็นในการมีโลกทัศน์ภาคมหาภาคและองค์รวมในทุกประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงในสังคม พร้อมกับกล่าวชี้บางอุปสรรค์ปัญหาในประเทศว่า  แนวทางหลักในการแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาในประเทศ คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งในด้านโครงสร้างขั้นพื้นฐานภายในของระบอบที่วางอยู่บนพื้นฐานแห่งโลกทัศน์ที่มีภูมิปัญญาและชาญฉลาด


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี  กล่าวเสริมว่า การเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศก็เช่นกัน จะสามารถบังเกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ ได้อาศัยใช้ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการบริหารที่ถูกต้องเชิงเศรษฐกิจ


ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า  หนึ่งในข้อดีตามสภาวะเงื่อนไขปัจจุบัน คือ การเข้ามารับตำแหน่งของคณะรัฐบาลชุดใหม่ที่มีความสด พร้อมคณะที่มีความเชี่ยวชาญและมากด้วยความสามารถในการตัดสินใจเพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมายแห่งความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เป็นนักการศาสนาที่มากด้วยประสบการณ์ เป็นนักกิจกรรมความเคลื่อนไหวในเวทีต่างๆและเป็นนักปฏิวัติ  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ในสภาวะเงื่อนไขปัจจุบันนี้ ทุกคนจำต้องให้การช่วยเหลือและให้ความร่วมมือ และข้าพเจ้าเอง ก็จะให้การสนับสนุนช่วยเหลือรัฐบาลชุดนี้ เหมือนกับที่ได้ให้การช่วยเหลือยังคณะรัฐบาลชุดก่อนๆที่ผ่านมา


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า การสนับสนุนของข้าพเจ้าต่อรัฐบาลนั้น มิได้มีความหมายว่าเป็นการสนับสนุนเห็นชอบในทุกเรื่องของรัฐบาล ซึ่งในบางครั้งอาจจะมีข้อติเตียน ตักเตือนอยู่บ้างแต่ทว่าคำตักเตือนนี้อย่าได้เป็นเหตุในการสกัดกั้นความช่วยเหลือต่อรัฐบาลเป็นอันขาด

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือยังรัฐบาลแล้ว ก็จำต้องให้คำตักเตือนและคำแนะนำที่ดีอีกด้วย


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า  บรรดาคณะผู้บริหารประเทศก็จำต้องน้อมรับคำตักเตือนและคำแนะนำที่ดีเหล่านี้ และแม้นว่าในบางครั้งคำตักเตือนและคำแนะนำอาจจะมีในลักษณะที่รุนแรงและบาดลึกก็ตาม ก็ต้องยอมรับฟัง


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงการตั้งแนวรบอย่างชัดเจนในระดับภูมิภาคและระดับโลก ว่า  ด้วยความอ่อนโยน  ความยืดหยุ่นอย่างมีศิลปะและเยี่ยงวีรบุรุษในทุกเวทีแห่งการเมือง นั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเป็นสิ่งยอมรับได้ แต่ทว่า การปฏิบัติหน้าที่อย่างมีศิลปะนั้น ย่อมมิได้หมายความว่าจะต้องก้าวล้ำเขตสีแดง  ต้องหันหลังจากยุทธ์ศาสตร์และนโยบายหลัก และไม่ใส่ใจต่ออุดมการณ์

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า  ตามหลักการแล้วนั้นทุกๆรัฐบาลย่อมมีกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเอง ซึ่งจะก้าวเดินตามกฎพื้นฐานดังกล่าวนี้ 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี   ได้ประเมินสถานการณ์ในประเทศ  โดยถือว่า ประเทศชาติจะมีอนาคตที่ดีและสดใสอย่างแน่นอน พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ข้าพเจ้ามีความหวังว่าอนาคตต้องสดใส่อย่างแน่นอน  และเชื่อมั่นว่า ทุกอุปสรรค์ปัญหาภายในประเทศ ไม่ว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม ซึ่งมีความลึกซึ้งกว่าอดีตที่ผ่านมาด้วยซ้ำไปนั้น  ย่อมจะได้รับการแก้ไขอย่างแน่นอน


ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้กล่าวชื่นชม การปฏิบัติตัวอย่างทรงค่าของคณะสภามัจญลิซคุบเรฆอน ในการเป็นเจ้าภาพจัดงานศพเหล่าชุฮาดาอ์นิรนาม ว่า  การเข้าร่วมของประธานสภามัจญลิซคุบเรฆอน และคณะในพิธีฝั่งศพเหล่าชุฮาดาอ์นิรนามนั้น ถือเป็นบทเรียนอันทรงค่าและยิ่งใหญ่สำหรับสังคม เพราะประเทศและสังคมจำต้องมีการคงไว้และรำลึกถึงเหล่าบรรดาชุฮาดาอ์และแนวทางของบรรดาชุฮาดาอ์อยู่เสมอ 


ในเบื้องต้นก่อนที่ท่านผู้นำสูงสุดจะกล่าวปราศรัยนั้น  อยาตุลลอฮ์ มะห์ดาวีย์ กะนีย์ ประธานสภาคุบเรฆอน ได้กล่าวบรรยายพร้อมรายงานให้กับท่านผู้นำสูงสุดได้รับฟัง 

 

   



 

 

 






700 /