สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

บรรดานิสิตนักศึกษา เข้าพบท่านผู้นำสูงสุด

การบรรลุสู่สังคม “ ความยุติธรรม อุดมการณ์และจิตวิญญาณ”

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ ๒๘ กรกฎาคมที่ผ่านมา   บรรดานิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาชันสูงต่างๆของประเทศ  ประมาณหนึ่งพันกว่าคน  ได้เข้าพบท่านผู้นำการปฏิวัติ ซึ่งเป็นการพบปะแบบกันเองและอย่างฉันท์พี่น้อง  มีการอธิบายนำเสนอประเด็นสังคมนิสิตนักศึกษา และมีการแลกเปลี่ยนทัศนะคติมุมมองต่างๆในประเด็น วิชาการ  มหาวิทยาลัย  วัฒนธรรม  สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

 

การพบปะครั้งนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 17:00   น,   จนถึงเวลานมาซมัฆริบและอีชา   ตัวแทนจากองค์รสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาจำนวน 12   คน   ได้นำเสนอประเด็นมุมมอง ความต้องการและจุดยืนของพวกเขาต่อหน้าท่านผู้นำสูงสุด


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม นอกจากได้ตอบคำถามแล้ว ยังได้อธิบายถึงประเด็นที่สำคัญต่างๆของบรรดานักศึกษาอีกด้วย   โดยได้อธิบายในประเด็นอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง  ภาระหน้าที่ของสังคมและนักศึกษา  และแนวทางในการเสริมสร้างเพิ่มพูนความเบิกบาน ร่าเริง และการขับเคลื่อนอย่างแท้จริงในรั้วมหาวิทยาลัย


ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวขอบคุณพระผู้อภิบาล ที่ได้ประทานและเปิดโอกาสให้มีการพบปะกับบรรดานักศึกษาทั้งหลายที่มีความร่าเริง เบิกบาน  ภายในบรรยากาศแห่งจิตวิญญาณและความกันเองฉันท์พี่น้องเช่นนี้  โดย ฯพณฯ กล่าวชี้ถึงประเด็นเนื้อหาที่ได้มีการนำเสนอมานั้นล้วนเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง   เป็นประเด็นที่มีการเตรียมการมาอย่างดีและเป็นประเด็นที่ดีอย่างยิ่ง   อีกทั้งได้กำชับแนะนำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ จำต้องพิจารณาแนวทางเพื่อให้ข้อเสนอของเหล่านิสิตนักศึกษาเหล่านี้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม


ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้ตอบคำถามและอธิบายชี้แจง ให้กับบรรดานักศึกษา ที่ได้เรียกร้องให้อธิบายในประเด็นความหมายของคำว่า “อิอ์ ติดาล”  ว่า  ประธานาธิบดีที่ถูกเลือกคนใหม่ของประชาชน เป็นผู้ที่นำเสนอประเด็นนี้   ซึ่งแน่นอน ความหมาย นัยยะ ที่ท่านพึงประสงค์และต้องการในประเด็นว่าด้วย “อิอ์ ติดาล” นั้น คงจะมีการอธิบายในเร็วๆนี้


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึงคำพูดหนึ่งของนักศึกษาในประเด็น ปฏิกิริยาการเผชิญหน้ากับรัฐบาลของประธานาธิบดีคนใหม่ ว่า   เหมือนดังที่ข้าพเจ้าเคยย้ำเตือนอยู่เสมอกับคณะรัฐบาลชุดก่อนๆทั้งหมด  ว่า จำต้องให้การสนับสนุนและให้การช่วยเหลือยังรัฐบาลชุดนี้


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า  บางคนอาจจะเอ่ยพูดว่า หากรัฐบาลชุดนี้เป็นเช่นนี้  ก็จะให้การช่วยเหลือ และหากมิได้เป็นเช่นนั้น ก็จะทำการตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์  ซึ่งข้าพเจ้าเองก็มิได้ต่อต้านและคัดค้านการวิพากษ์วิจารณ์แต่ประการใด แต่ทว่า สิ่งแรกที่ต้องตระหนักในที่นี้นั้น  คือ การวิพากษ์วิจารณ์กับกับการสืบเสาะหาข้อบกพร่องนั้นมันมีความแตกต่างกัน  และประการที่สอง ต้องให้โอกาสในการปฏิบัติภารกิจ ความพยายามอุตสาหะและขับเคลื่อนเสียก่อน

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมนเอี ถือว่า ฝ่ายบริหารต้องแบกรับภาระหน้าที่แสนจะยากลำบากและหนักอึ้งเป็นอย่างมาก  โดย ฯพณฯ กล่าวย้ำว่า ไม่มีผู้ใดที่จะปราศจากข้อบกพร่อง ดังนั้นอย่างตั้งความคาดหวังที่สูงเกิน ที่นอกเหนือจากความสามารถในเชิงหลักตรรกะ


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า จำเป็นที่ต้องคำนึงถึงอุปสรรค์ปัญหาและข้อเท็จจริงในประเทศ ว่า  เหล่านักกิจกรรมความเคลื่อนไหวทางการเมือง และมหาวิทยาลัยจำต้องผนึกกำลังร่วมแรงร่วมใจซึ่งกันและกัน เพื่อขับเคลื่อนให้กิจการงานขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว ด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาล


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ย้ำถึง ประเด็นที่จำต้องหลีกเลี่ยงและห่างไกลจากความขัดแย้งอย่างแท้จริงในเชิงทัศนะคติอันนำมาซึ่งความแตกแยก ทะเลาเบาะแว้ง และเหตุความรุนแรงต่างๆ  ซึ่งฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า  ข้าพเจ้าขอร้องอย่างจริงจังยังบรรดานักศึกษาที่รักทั้งหลาย และกลุ่มนิยมชื่นชอบฝักฝ่ายทั้งหลาย ว่า อย่าปล่อยให้  “ความแตกต่างเชิงทัศนะคติในมุมมองของการวิเคราะห์ การเข้าใจและการตีความ” นั้น นำมาซึ่งความบาดหมางและความเป็นศัตรูระหว่างกัน


ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวเสริมในประเด็นนี้ ว่า  ตามคำสั่งเสียของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)  ที่ว่า จงเป็นดังนักเรียนศาสนา (ผู้ใฝ่รู้)ที่มีความจริงจังในการอภิปรายและถกเรื่องราวศาสนาในช่วงเวลาเรียน แต่ในช่วงเวลาหลังจากนั้น ก็มีสัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกัน  เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีความรักซึ่งกันและกันอยู่เสมอ


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงคำพูดของนักศึกษาบางท่าน กรณีเหตุการณ์ฟิตนะห์ ปี 88   ว่า   ในการพิจารณาเหตุการณ์ฟิตนะห์อันขมขื่น นั้น   เป็นประเด็นหลักและประเด็นสำคัญ คือ การละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย  และพฤติกรรมที่ป่าเถื่อน ของกลุ่มหนึ่งที่ลุกขึ้นมาต่อต้านผู้รักษากฎหมาย  อันนำมาซึ่งความเสียหายและผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสาธารณรัฐอิสลาม


ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า  ทั้งนี้ ขอบสนามแห่งเหตุการณ์ฟิตนะห์ครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นนั้น  บางครั้งอาจจะมีประเด็นที่เกิดขึ้น ว่า บางครั้งคนหนึ่งอาจจะเป็นผู้กดขี่ หรือผู้ถูกกดขี่ ก็เป็นได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าได้หลงประเด็นหลักเป็นอันขาด


ในประเด็นนี้ ท่านผู้นำสูงสุด ได้ตั้งประเด็นคำถามหลัก ว่า  ทำไม และด้วยเหตุผลอันใด ผู้ที่แอบอ้างตนเองว่าถูกฉ้อโกงในการเลือกตั้ง ปี 88    นั้น   ซึ่งมีการออกมาเผชิญหน้ากับประเด็นดังกล่าว   แล้วด้วยเหตุอันใด ต้องออกมาเดินขบวนก่อเหตุความรุนแรงบนท้องถนนด้วย  ?? 


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ประเด็นคำถามดังกล่าวนี้ นับหลายต่อหลายครั้งแล้วที่ข้าพเจ้าได้อธิบาย ที่สามารถให้ความกระจ่างชัดในสถานที่ที่เหมาะสม แต่ไม่ใช่ในสถานที่สาธารณะเช่นนี้  แล้วไฉนกลุ่มดังกล่าวไม่ยอมออกมาตอบ  และไฉนจึงไม่ยอมออกมาขอโทษ?? 


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า  ในที่ประชุมลับเฉพาะพวกเขากล่าวว่า การฉ้อโกงไม่ได้เกิดขึ้น แล้วด้วยเหตุผลอันใดพวกท่านจึงสร้างความเสื่อมเสียเสียหายต่อประเทศชาติ  อีกทั้งนำประเทศสู่ปากเหวแห่งความหายนะด้วย ??? 


ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงวิกฤติการณ์ การก่อเหตุจลาจลและการนองเลือดในประเทศในเขตภูมิภาค  ว่า  พึงรู้ว่า ในเหตุการณ์ฟิตนะห์ปี 88    นั้น   หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์แล้วไซร้  กลุ่มพี่น้องประชาชนจะต้องเสียชีวิตและตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างมากมายและ ประเทศชาติต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจจะพรรณนาและบรรยายได้อย่างแน่นอน ? แต่สิ่งเหล่านี้ พระองค์ไม่อนุญาตให้เกิดขึ้น  และพี่น้องประชาชนของเราก็มีความบาศีรัตพอ


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ตอบคำถามของนักศึกษาท่านหนึ่งในประเด็น “ ความพยายามอย่างแรงกล้า”  อันมีความหมายว่า  ความจริงจัง และการยืนหยัดบนพื้นฐานของหลักตรรกะในการถกเถียงที่อาจจะยอมรับได้    พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  แต่ถ้าหากว่า   ความพยายามอย่างแรงกล้าของศัตรูด้วยการอาศัยอำนาจและความโอหังนั้น ข้าพเจ้าขอคัดค้านอย่างสิ้นเชิง


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ยอมรับและเห็นด้วยในข้อเสนอแนะของนักศึกษาท่านหนึ่งในประเด็น ความจำเป็นในการควบคุมทั้งสามเหล่าอำนาจและหน่วยงานด้านต่างๆอาทิเช่น รัฐสภา  ฝ่ายตุลาการ และกรมประชาสัมพันธ์    ซึ่ง ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า  การควบคุมอำนาจบริหารฝ่ายตุลาการและรัฐสภานั้น เป็นประเด็นที่สำคัญอย่างยิ่งซึ่งบรรดานักศึกษาที่เคลื่อนไหวในด้านนี้ ก็สามารถที่จะทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียด แล้วนำมายืนเสนอ


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งคำถามพร้อมกับอธิบายในแต่ละประเด็นพร้อมกับเรียกร้องให้มีการอภิปรายและถกประเด็นอย่างละเอียดในเชิงลึกในประเด็นต่างๆเหล่านี้ในรั้วมหาวิทยาลัย

คำถามแรก :   อะไรคือความสัมพันธ์ของนักศึกษาและองค์ประกอบหลักของการปฏิวัติกับอุดมการณ์ของการปฏิวัติ? 


ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้ตอบคำถามประเด็นแรกนี้ ด้วยการอธิบายอุดมการณ์ของการปฏิวัติและความสัมพันธ์ของสิ่งนี้กับข้อเท็จจริงในสังคม


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวย้ำ ว่า การบรรลุซึ่งอุดมการณ์อันแท้จริงของการปฏิวัติอิสลามนั้น  หากปราศจากพลัง ความร่าเริง ความเด็ดเดี่ยวและความมุ่งมั่นของบรรดาเยาวชนแล้ว ก็ไม่อาจบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างแน่นอน


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ด้วยเหตุนี้ จงให้ความสำคัญกับบทบาทของเยาวชนในการบรรลุซึ่งอุดมการณ์แห่งการปฏิวัติอย่างจริงจัง  เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า บรรดาเยาวชนเหล่านี้ มีความสามารถในการแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี


หลังจากที่ท่าน อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวถึงปฐมบทดังกล่าวแล้ว  ก็ได้ทำการอธิบายถึงอุดมการณ์แห่งการปฏิวัติอิสลาม  ว่า  ระบอบการปกครองอิสลามเป็นระบอบที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ ซึ่งจำต้องมุ่งมั่นเพียรพยายามในการบรรลุซึ่งอุดมการณ์ต่างๆเหล่านี้ แต่ทว่า อุดมการณ์ต่างๆเหล่านี้มีขั้นตอนและระดับขั้นที่แตกต่างกันไป


ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การบรรลุซึ่งสังคม  “ แห่งความยุติธรรม ความเจริญรุ่งเรือง รุ่งโรจน์และจิตวิญญาณ”  นั้น เป็นอุดมการณ์หลักและเป็นระดับขั้นแรกสุดของระบอบการปกครองอิสลาม    โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดได้อธิบายในเรื่องนี้ว่า  สังคมแห่งความยุติธรรมคือสังคมที่คณะผู้บริหารมีความประพฤติที่ยุติธรรมและมีความเป็นธรรม  อีกทั้งประชาชนก็มีความเป็นธรรมและมีความประพฤติที่ยุติธรรมอีกด้วย  และนอกจากนั้น ความยุติธรรมดังกล่าว ได้แทรกซึมในภาคส่วนต่างๆของสังคม อาทิเช่น ด้านวิทยาศาสตร์ การเมือง กฎหมาย ที่เจริญรุดหน้าทันสมัย และแทรกซึมทั้งในภาคส่วนของจิตวิญญาณอีกด้วย


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การบรรลุซึ่งอุดมการณ์ต่างๆเหล่านี้ สามารถบังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างแน่นอน  และในวันนี้ เราก็สามารถปฏิบัติในเส้นทางแห่งความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองได้เป็นอย่างดีเยี่ยม  ซึ่ง ฯพณฯ ผู้สูงสุดกล่าวย้ำว่า  สังคมเช่นนี้จะกลายเป็นสังคมแห่งแบบอย่างและแบบฉบับที่ดียิ่งสำหรับประเทศอิสลามและประเทศที่ไม่ใช่อิสลาม


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงอุดมการณ์บางประการของระบอบการปกครองอิสลามที่มีระดับขั้นรองลงมาจากอุดมการณ์หลัก ว่า  เศรษฐกิจที่ยั่งยืน  ความสันติปลอดภัยในสังคม  อุตสาหกรรมที่ก้าวล้ำ   การเกษตรที่ก้าวล้ำ  ธุรกิจและการค้าขายที่มั่นคั่ง  วิทยาศาสตร์ที่ก้าวล้ำ ทรงอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมต่อโลก   สิ่งนี้ล้วนแล้วเป็นอุดมการณ์ของระบอบการปกครองอิสลามทั้งสิ้น  ซึ่งสิ่งต่างๆเหลานี้ เป็นเรื่องที่สามารถบรรลุให้บังเกิดขึ้นเป็นจริงได้อย่างแน่นอน


ประเด็นคำถามที่สอง ที่ ท่านผู้นำสูงสุด ได้นำเสนอให้กับบรรดานักศึกษาในที่นี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอุดมการณ์กับข้อเท็จจริง?


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า  ขอยกเป็นกรณีตัวอย่างคือ   การคว่ำบาตร เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น  และอีกด้านหนึ่ง  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็เป็นหนึ่งในอุดมการณ์ของการปฏิวัติ  ซึ่งในที่นี้ คำถามมีอยู่ว่า  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กับความจริง เช่น การคว่ำบาตรนั้น มันจะบังเกิดผลอย่างไร??


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า ในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างอุดมการณ์กับข้องเท็จจริง   ซึ่งอุดมการณ์นิยมนั้น เราก็ให้การยอมรับและให้การรับรอง อีกทั้งยังเป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์เห็น 

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า  อุดมการณ์นิยม ที่ปราศจากการประจักษ์เห็นข้อเท็จจริง นั้นจะนำมาซึ่งความเฟ้อฝันและการคาดเดาเท่านั้น ทั้งนี้จำต้องแยกแยะในความแตกต่างให้ถูกระหว่างข้อเท็จจริงและสิ่งที่มีความเพรียรพยายามที่ก่อในเชิงรูปลักษณะข้อเท็จจริงให้ได้


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงวิธีการหนึ่งในการทำสงครามจิตวิทยา คือ การทำให้ปรากฏข้อเท็จจริงในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง  พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ปฏิกิริยาของความบาศีรัตนั้นคือ มนุษย์จงเพ่งมองในความจริง เสมือนดั่งสิ่งนั้นเป็นความจริงและอย่าผิดพลาดในการตัดสินและการมอง


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์ของการสร้างสงครามจิตวิทยา คือ การประโคมข่าวที่เกินเลย ในบางกรณีของข้อเท็จจริง  และการไม่ใส่ใจใยดีต่อข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง    ซึ่ง ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำ ว่า   กรณีตัวอย่างคือ  หนึ่งในข้อเท็จจริงคือ นักศึกษาบางส่วนได้ออกจากประเทศ   แต่ในข้อเท็จจริงประการนี้ ยังมีความจริงเคียงคู่อยู่ด้วยคือ เพื่อความก้าวหน้าและการพัฒนาของนักศึกษาที่เป็นนักวิทยาศาสตร์  แต่ทว่าในการโฆษณาชวนเชื่อ  กลับประโคมข่าวข้อเท็จจริงส่วนแรกอย่างเอิกเกริก  แต่ข้อเท็จจริงส่วนที่สองนั้นจะไม่มีการเอ่ยถึงแม้แต่น้อย


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้สรุปคำปราศรัยของท่านในส่วนนี้ โดยกล่าวย้ำว่า  บรรดานักศึกษาผู้ใฝ่หาอุดมการณ์ ล้วนแล้วประจักษ์เห็นในสิ่งนี้  และในทุกสภาพการณ์ไม่ว่าในยามประสพชัยชนะอันหอมหวาน หรือในยามต้องพบเจอกับความขมขื่น  ก็อย่าได้เหนื่อยล้า สิ้นหวังและหมดทางออกเป็นอันขาด เพราะในการแสวงหาและใฝ่หาอุดมการณ์อันจริงแท้และถูกต้องนั้น จะไม่มีวันพบเจอกับทางตันอย่างแน่นอน 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าคาดหวังจากบรรดานักศึกษาที่รักยิ่งทั้งหลายคือ จำต้องหมั่นก้าวเดินอย่างชาญฉลาดในการก้าวสู่อุดมการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพวะการณ์ใดก็ตาม


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เปิดประเด็นคำถามข้อที่สาม ว่า  อะไรคือขอบเขตความสัมพันธ์ของภาระหน้าที่กับความคาดหวังในผลลัพธ์ ??  ซึ่งท่านผู้นำสูงสุด ได้อธิบายและตอบคำถามดังกล่าว ด้วยการหยิบยกประโยคหนึ่งของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ที่ว่า  “เราต่างก็แสวงหาภาระหน้าที่ของตน”   พร้อมกับกล่าวย้ำว่า  ประโยคดังกล่าวให้ความหมายว่า  การที่ท่านอิมาม(รฎ)ต้องทนทุกข์ในความยากลำบากเป็นเวลานานนับปี นั้น ท่านมิได้แสวงหาผลลัพธ์กระนั้นหรือ?  แน่นอนสิ่งเหล่านี้หาใช่ความถูกต้องและความจริงไม่


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวย้ำว่า  ภาระหน้าที่นิยมที่ถูกต้องนั้นคือ  ในการก้าวสู่ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบของมนุษย์นั้น ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานแห่งการปฏิบัติภารกิจ จำต้องห่างไกลและหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่คัดแย้งและตรงกันข้ามกับภารกิจ และสิ่งที่ไม่ชอบด้วยหลักการอิสลาม


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำว่า  มนุษย์ที่ปรารถนาที่จะบรรลุถึงผลลัพธ์นั้น จำต้องปฏิบัติตามหลักพื้นฐานแห่งภาระหน้าที่ได้ถูกกำหนด  และหากไม่บรรลุผลดั่งที่ปณิธานไว้   ก็จงอย่าท้อถ้อยและสิ้นหวังเป็นอันขาด

ในส่วนนี้ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวสรุปว่า  ภาระหน้าที่นิยมนั้น ไม่มีความคัดแย้งใดๆกับการใฝ่หาผลลัพธ์


จากนั้นท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้นำเสนอประเด็น “ความจำเป็นในการสร้างบรรยากาศแห่งความร่าเริงและความเบิกบานในรั้วมหาวิทยาลัย”   ว่า จำต้องสร้างบรรยากาศแห่งความร่าเริงและความเบิกบานให้เกิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยและในภาคส่วนต่างๆทั้ง ภาคส่วนการศึกษา วิทยาศาสตร์  สังคม และ การเมือง


 ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า  มหาวิทยาลัยคือรั้วแห่งบรรยากาศแห่งการค้นคว้าศึกษาในประเด็นมหาภาคของประเทศและประเด็นการเมืองต่างๆ  ซึ่ง ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า  การค้นคว้า การถกอภิปรายวิชาการ การวิเคราะห์และการเข้าใจที่ถูกต้องในประเด็นต่างๆทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ คือแนวทางหนึ่งในการสร้างความร่าเริง และความเบิกบานภายในรั้วมหาวิทยาลัย


ท่านผู้นำสูงสุด ยังอธิบายเสริมถึงแนวทางดังกล่าวว่า  การรับรู้และเข้าใจในประเด็นหลัก และรู้จักแยกแยะประเด็นข้อปลีกย่อย  และการไม่สาละวนในประเด็นเรื่องที่ไม่อยู่ในลำดับต้นๆของความสำคัญ นั้น เป็นการปูพื้นฐานสู่บรรยากาศแห่งความร่าเริงและความเบิกบานในรั้วมหาวิทยาลัย


ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า  บรรยากาศภายในรั้วมหาวิทยาลัยสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการถกอภิปรายประเด็นวิชาการที่เร่าร้อนและเชิงปลุกระดม อีกทั้งได้รับความช่วยเหลือจากคณะผู้บริหารประเทศในการกำหนดวางประเด็นเหล่านี้ในลำดับต้นๆของประเด็นที่สำคัญได้อย่างถูกต้อง


ท่านผู้นำสูงสุด ได้อธิบายความหมายที่ชัดแจ้ง อันเป็นต้นทุนแห่งการสร้างบรรยากาศแห่งความเบิกบานและความร่าเริงในรั้วมหาวิทยาลัย ได้อย่างแท้จริงได้ คือ การกำหนดหัวข้อประเด็นแห่งการสร้างวีรกรรมทางเศรษฐกิจ


ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า ประเด็นวีรกรรมทางเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นตัวชี้วัดแห่งชะตากรรมที่สำคัญ  โดยบรรดานักศึกษาเหล่านี้ก็สามารถมีส่วนร่วมในการรับใช้และช่วยเหลือประเทศชาติอย่างยิ่งใหญ่ได้ ด้วยการศึกษาค้นคว้าวิจัยอย่างละเอียดลึกซึ้งในประเด็นขอบเขตและทิศทางต่างๆ ในความก้าวหน้าและการเจริญรุ่งเรืองของประเทศ


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ทว่า วีรกรรมทางเศรษฐกิจนั้น ไม่อาจเห็นผลได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่เดือนนี้   แต่เป็นการเคลื่อนไหวในระยะยาวซึ่งจำต้องเริ่มต้นในปีนี้

ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า เศรษฐกิจแบบยั่งยืนและวิถีชีวิตนั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่งของข้อเท็จจริง ซึ่งการพิจารณาแง่มุมและมิติต่างๆของสิ่งเหล่านี้ จะสามารถก่อให้เกิดกระแสโลหิตอันใหม่ที่ไหลเวียนในตัวของเหล่านักศึกษาและรั้วมหาวิทยาลัยได้เป็นอย่างดี


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้เรียกร้องและเชิญชวนเหล่านักศึกษาแห่งรั้วมหาลัยร่วมกันวิเคราะห์พิจารณาในเชิงลึกต่อประเด็น “การตื่นตัวอิสลาม” และอิทธิผลและผลกระทบที่เกิดขึ้นในเขตภูมิภาค”     โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า  การตื่นตัวอิสลามเป็นปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่ง และสิ่งนี้จะไม่วันถูกลบล้างและถูกกำจัดจากเหล่ามหาอำนาจได้อย่างเด็ดขาด 


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในบางประเทศในแถบภูมิภาค ว่า  เหตุการณ์ที่เกิดครั้งนี้บ่งชี้ว่า มีการตื่นตัวอิสลามที่หยั่งรากลึกและคงมีอยู่ในประเทศต่างๆ แต่ทว่าด้วยกับขาดการบริหารที่ถูกต้อง การบริการที่พลุ่มพล่าม ทำให้ในวันนี้ประเทศอียิปต์อันเป็นประเทศยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่งต้องประสบกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย เหตุการณ์ความรุนแรงที่น่าสะพรึงกลัวและหวาดวิตกเป็นอย่างมาก


ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า หน่วยงานและองค์กรในแวดวงรั้วมหาวิทยาลัยจำต้องมีการอภิปรายในเชิงลึก ในประเด็น " กระบวนการและกระแสการตื่นตัวอิสลาม   การบิดเบือนข้อเท็จจริงอันยาวนานของชาติมหาอำนาจต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น   ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในบางประเทศในภูมิภาค  และการเปรียบเทียบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกระแสแห่งความมั่นคงและความต่อเนื่องในสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน” เพื่อสามารถรับใช้ประเทศชาติและพลเมืองในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ท่านผู้นำสูงสุด  ยังได้พิจารณาและอธิบายกลยุทธ์เชิงลึกของระบอบอิสลาม  ซึ่งถือว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยปลุกระดมและสร้างความเปล่งบานทางความคิดให้กับบรรดานักศึกษาได้เป็นอย่างดี

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า  การมองอย่างมีโลกทัศน์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาค เป็นการบ่งชี้ถึง บางประเด็นหัวข้ออันเป็นปัจจัยเหตุแห่งความมั่นคงของระบอบการปกครองอิสลาม อีกทั้งเป็นการบ่งชี้ถึงกลยุทธ์เชิงลึกและยุทธศาสตร์ที่ดียิ่งของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน


ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า  เป้าหมายในคำพูดของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ในประเด็นนิวเคลียร์ปฏิวัติในต่างประเทศ นั้นคือ การจัดตั้งยุทธ์ศาสตร์ในเชิงลึกนั้นเอง ซึ่งในวันนี้เหล่ามหาอำนาจได้ผนึกกำลังและต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านสิ่งเหล่านี้ แต่ทว่าไม่ประสบความสำเร็จ


ท่านผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงความพยายามของบรรดาศัตรูในการสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างพี่น้องชีอะห์กับพี่น้องซุนนี  ว่า มีการเข่นฆ่าทำลายพี่น้องชีอะห์ทั่วทุกมุมโลกเพราะพวกเขาคาดคิดว่า บรรดาชีอะห์คือศูนย์กลางแห่งธรรมชาติของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน แต่เหล่าศัตรูไม่รู้ว่า ในหลายๆประเทศนั้น มีพี่น้องอะห์ลิลซุนนะห์จำนวนมากที่ออกมาปกป้องระบอบการปกครองแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน


ท่านผู้นำสูงสุด ได้ทำการสรุปเนื้อหาในประเด็นนี้ โดยกล่าวย้ำ ถึงสังคมแห่งรั้วมหาวิทยาลัยว่า  “ประเด็นการเมือง –สังคม คือตัวกำหนดวิถีชีวิต ”ซึ่งสามารถนำมาซึ่งความเบิกบานและการขับเคลื่อนในรอบรั้วมหาวิทยาลัย  และผลของการอภิปรายและค้นคว้าทางวิชาการครั้งนี้ ก็สามารถที่จะยื่นเสนอให้กับคณะผู้บริหารในประเทศพิจารณา


ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า ความพยายามเชิงวิชาการวิทยาศาสตร์ ก็เป็นอีกเวทีหนึ่งในการเสริมสร้างความร่าเริงเบิกบานอย่างแท้จริงในรั้วมหาวิทยาลัย

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การเจริญเติบโตและความก้าวหน้าทางวิชาการและวิทยาศาสตร์ จะเป็นกุญแจดอกสำคัญในการแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาต่างๆด้านการเมืองและเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี   พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ภารกิจการงานและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยและประเทศนั้น จำต้องมีการปฏิบัติในลักษณะที่เด็ดเดี่ยวและมีความมุ่งมั่นอย่างแท้จริง


ท่านผู้นำสูงสุด ได้เรียกร้องให้บรรดานักศึกษาสร้างความสัมพันธ์กับคณาจารย์ที่ทรงคุณค่า และมีอุดมการณ์   และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับ “ มัรเญีอฺด้านอุดมการณ์ที่เป็นที่ยอมรับและไว้วางใจและศานติ”  อีกทั้งจำต้องศึกษาค้นคว้าเพื่อเพิ่มพูนวิทยาทานและความคิดความอ่านที่ชาญฉลาด


ในการพบปะครั้งนี้ ก่อนที่ ฯพณฯ ผู้นำการปฏิวัติอิสลามจะกล่าวปราศรัย ก็ได้มีตัวแทนนักศึกษาจำนวน 12   คน  ซึ่งมาจากองค์กร หน่วยงานสมาคมวิชาการ วัฒนธรรม กุรอาน และการเมืองของมหาวิทยาลัยต่างๆ  ได้เสนอทัศนะคติมุมมองและโลกทัศน์ของตนในประเด็นต่างๆที่หลากหลายให้กับท่านผู้นำได้รับฟัง


700 /