การรวมพลอย่างคึกคักและยิ่งใหญ่ของปวงชนผู้ศรัทธา และนักปฏิวัติจากทั่วทุกสารทิศของอิหร่าน ซึ่งในวันนี้ ด้วยการรวมพลอย่างยิ่งใหญ่ คึกคักและเร่าร้อน ณ. ฮะรัมท่านอิมามโคมัยนี(ร ฎ) เพื่อเป็นการแสดงตนและให้คำมั่นสัญญา และการให้สัตยาบันอย่างสัตย์จริงอีกครั้งหนึ่งต่ออุดมการณ์ของท่านภายหลังจากที่ท่านกลับคืนสู่พระองค์ ซึ่งสิ่งนี้นำมาซึ่งความปึกแผ่น สามัคคี ภราดรภาพ และเกียรติ์ยศศักดิ์ศรีของประเทศชาติและคณะผู้บริหารประเทศ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การรวมพลและการชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ที่หาเปรียบได้ ซึ่ง “ ความเชื่อมั่นของท่านอิมาม(รฎ)ยังพระองค์ ประชาชนและตัวตนนั้น ” เป็นการปูพื้นฐานสู่ความสำเร็จ การยืนหยัดอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาและการเจริญเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพของการปฏิวัติอิสลาม
พร้อมกันนี้ ฯพณฯ ได้เสริมกล่าวและชี้แนะประเด็นสำคัญในการเลือกตั้งยังพี่น้องประชาชนและบรรดาผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี ว่า ด้วยความช่วยเหลือของพระผู้อภิบาล อีกสิบวันข้างหน้า ประชาชาติอิหร่านจะสามารถสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และสามารถผ่านพ้นบททดสอบอันหนักหน่วงในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ อย่างมีเกียรติ์และมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การลุกขึ้นกิยามต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ ในวันที่ 15 โคร ดอด ปี 1342 นั้น เป็นจุดแตกหักครั้งสำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์อิหร่าน โดย ฯพณฯผู้นำสูงสุด กล่าวว่า ภายหลังจากที่ท่านอิมามโคมัยนี(ร ฎ) ถูกจับกุมตัว และหลังจากเสร็จสิ้นการปราศรัยของวันที่สิบสาม โครดอด ปี 42 จากนั้นในวันที่สิบห้า โครดอด ก็เกิดกระแสคลื่นและพลังมวลชนอันยิ่งใหญ่จากพี่น้องประชาชน ทั้งจากกรุงเตหะราน เมืองกุม และอีกหลายๆเมือง ก็ได้เชื่อมสัมพันธ์อันเหนียวแน่นและมั่นคงระหว่างประชาชนกับนักการศาสนาและบรรดามัรเญีอฺ อันนำมาซึ่งความสั่นคลอนของระบอบการปกครองแบบฏอฆูตและทรราช
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้เน้นย้ำ ว่า การเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับนักการศาสนา เป็นหลักประกันแห่งความเจริญก้าวหน้าอันก้าวไกล และในท้ายสุดนำมาซึ่งความสำเร็จของขบวนการปฏิวัติ โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวว่า ครั้นที่ประชาชนออกมาสู่สนาม โดยมีพลังแห่งอามรณ์ความรู้สึก และความคิดของพวกเขาเหล่านี้เป็นแรงสนับสนุนขบวนการปฏิวัติ ซึ่งการขับเคลื่อนและการเคลื่อนไหวครั้งนี้เสมือนเป็นองค์ประกอบที่ต่อเนื่องและนำมาซึ่งชัยชนะ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ชี้ถึง การถูกเปิดโปง กระชากใบหน้าอันป่าเถื่อนและเหี้ยมโหด ของเหล่าทรราช ฏอฆูต ในเหตุการณ์ วันที่สิบห้า โครดอด ปี 42 ว่า หนึ่งในประเด็นสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้ การวางตัวที่นิ่งเฉยและนิ่งเงียบขององค์กรสิทธิมนุษยชน และองค์กรหน่วยงานระดับนานาชาติที่มักจะกล่าวอ้างในการปกป้องสิทธิมนุษยชนอยู่เสมอ กลับเงียบกริบมิได้เอ่ยปากประท้วงคัดค้านพวกเหล่านี้แม้แต่เสียงเดียว
ท่านผู้นำกล่าวย้ำว่า นอกเหนือจากประเด็นเรื่องดังกล่าวแล้ว ลำพังเพียงแค่ตัวของท่านอิมามโคมัยนี(ร ฎ)คนเดียว แต่ด้วยการสนับสนุนจากประชาชน ก็สามารถประจักษ์แสดงและฉายภาพลักษณ์แห่งการเป็นผู้นำจากฟากฟ้าและผู้นำด้านจิตวิญญาณ ที่มีความแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นอย่างแท้จริงของตนให้กับมวลมนุษย์ชาติและประวัติศาสตร์ได้รับรู้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงคุณลักษณะสามประการแห่งความเชื่อมั่นของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ไว้ว่า ความเชื่อมั่นในเอกองค์อัลลอฮ์(ซบ) ความเชื่อมั่นในประชาชนและความเชื่อมั่นในตัวเอง ซึ่งสามประการเหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงและปรากฏฉายความจริงแท้อันหนึ่งเดียวของกะลีมะห์ คำพูด ที่มีอยู่ในตัวตนของท่านอิมาม(รฎ) และเป็นการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยว หนักแน่น และทุกๆการเคลื่อนไหวและการขับเคลื่อนของท่าน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ท่านอิมามโคมัยนี(ร) ได้กล่าวสนทนากับประชาชนด้วยความรัก และประชาชนเองก็ขานรับอุดมการณ์ของท่าน ด้วยชีวิตและจิตใจ แล้วก้าวเดินสู่สนาม และยืนหยัดต่อสู่เยี่ยงสุภาพบุรุษ และขบวนการนี้ก็ค่อยๆทยอยสู่เส้นทางแห่งชัยชนะ และในที่สุดก็ประสบกับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่โดยปราศจากการช่วยเหลือใดๆจากต่างชาติ
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้อธิบายถึงความเชื่ออันลุ่มลึกและตัวกำหนดชะตามกรรมของท่านอิมาม คือ เชื่อมั่นในอัลลอฮ์ เชื่อมั่นในประชาชน และเชื่อมั่นในตัวเอง โดย ฯพณฯ กล่าวย้ำว่า ทุกอณูของท่านอิมาม จะมีความเชื่อมั่นต่อพระองค์อย่างสูงสุดและมีความยะกีนอย่างแท้จริง ว่า ความช่วยเหลือจากพระองค์อัลลอฮ์(ซบ)ที่จะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และด้วยเหตุนี้ จึงมุ่งมั่นทำงาน ขับเคลื่อนและก้าวเดินเพื่อเอกองค์อัลลอฮ์(ซบ)เพียงองค์เดียวเท่านั้น
ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ยังมีความเชื่อมั่นและมอบความไว้วางใจอย่างแท้จริงต่อประชาชาติอิหร่าน และมีความเชื่อว่า หากประชาชาติผู้ศรัทธาที่มีความชาญฉลาดและกล้าหาญของอิหร่าน มีผู้นำที่คู่ควรและเหมาะสม ก็จะเสมือนดั่งสุริยัน ที่จะส่องแสงอันเจิดจรัส และส่องประกายในสนามต่างๆอย่างแน่นอน
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวย้ำ ว่า ในสายตาของท่านอิมาม(รฎ)นั้น ประชาชนคือผู้มีเกียรติ์ที่สุด และศัตรูของประชาตินี้เป็นผู้ที่น่ารังเกียจที่สุด และความเชื่อเช่นนี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักและปัจจัยสำคัญของการยืนหยัดต่อสู่และเผชิญหน้ากับพวกล่าอานานิคมและมหาอำนาจที่ประกาศความเป็นศัตรูกับประชาชาติอิหร่าน
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้อธิบายถึงคุณลักษณะประการที่สามของท่านอิมามโคมัยนี กล่าวคือ ความเชื่อมั่นในตัวเอง ว่า ท่านอิมาม(รฎ) ได้ฟื้นฟู และสร้างความเชื่อ “ เราสามารถทำได้” กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งในหมู่ประชาชาติอิหร่าน และสำแสดงความสามารถแห่งอาตมัน ทีแท้จริงของประชาชาติอิหร่านในทุกๆภาคสนาม ให้ประจักษ์ชัดต่อสายตาประชาโคมโลก
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้ชี้ถึง อริยะบทในด้านความกล้าหาญของท่านอิมามในการเผชิญหน้าต่อสู้กับระบอบการปกครองเผด็จการของชาห์ปาห์ลาวี่ ในช่วงการปฏิวัติ และช่วงสงครามปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ และการเผชิญหน้าต่อสู้กับมหาอำนาจโลก ว่า ความกล้าหาญ ความเด็ดเดี่ยว และความเชื่อมั่นในตัวเอง ทั้งในคำพูด การปฏิบัติและการตัดสินใจที่มีอยู่ในตัวของท่านอิมาม(รฎ) นั้น สามารถถ่ายทอดสู่ประชาชาติ และกลายเป็นแบบอย่างแห่งการยืนหยัดต่อสู้และการมีบาศีรัตของประชาชาตินี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า ภายใต้ความเชื่อมั่นในตัวเองและความกล้าหาญนี้ ทำให้ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ไม่มีความหวาดวิตกกังวล ครางแคลนสงสัย และตีโพยตีพายแม้เศษเสี้ยวธุลีเดียว แม้กระทั้งในห้วงเวลาสุดท้ายในช่วงชีวิตอันจำเริญของท่าน โดยสังเกตเห็น จากคำปราศรัย และโอวาทต่างๆของท่านที่ได้กล่าวในช่วงท้ายๆของชีวิต จะมีความเข้มข้น เด็ดเดี่ยวมากกว่า คำปราศรัยและจุดยืนของท่านในช่วงเริ่มต้นแห่งขบวนการ และการปฏิวัติด้วยซ้ำไป
ท่านผู้นำสูงสุด ได้อธิบายผลลัพธ์แห่งความเชื่อของประชาชาติอิหร่าน ที่มี ต่อสโลแกนคำขวัญของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) คือ “เราสามารถทำได้” ว่า ประชาชาติอิหร่านภายใต้ “ความเชื่อมั่นในตัวเอง” ความหวังและตะวะกัลยังพระองค์ และปล่อยวางความสิ้นหวังในยุคสมัยชาห์ปาห์ลาวี่ให้หมดสิ้น ด้วยการสร้างความภาคภูมิใจและเกียร์ติยศศักดิศรี ในด้านต่างๆให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างให้ตัวเองเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ ความภาคภูมิใจและความเจริญก้าวหน้า
ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวว่า การปลดปล่อยอิหร่านจากความอัปยศในการตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของอเมริกาและอังกฤษ การโค่นล้มเหล่าผู้ปกครองที่ฟาซาด ทุจริตและอามรณใฝ่ต่ำที่มีเหนือเสียงของประชาชน การเปลี่ยนแปลงอิหร่านจากประเทศล้าหลังกลายเป็นประเทศก้าวกระโดดในการพัฒนาและความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิบเอ็ดเท่าตัวในระดับกลางของโลก และความสัมฤทธิ์ผลของอิหร่านในด้านความก้าวหน้าอย่างน่าประทับใจในด้านการก่อสร้าง วิทยาศาสตร์ การแพทย์และการศึกษาชั้นสูง ล้วนแล้วเป็นบารอกัตและความสิริมงคลอันยิ่งใหญ่ โดยมีท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)เป็นผู้สรรค์สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาให้กับพี่น้องประชาชน ภายใต้ความเชื่อมั่นในพระองค์ ความเชื่อมั่นในประชาชนและความเชื่อมั่นในตัวเอง
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำ กรณีความเจริญก้าวหน้าและความสำเร็จในด้านต่างๆในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งความสำเร็จอันนี้อย่าเป็นต้นเหตุในการสร้างความภาคภูมิใจที่เป็นเท็จเป็นอันขาด โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำ ว่า หากเรามีการพิจารณาเปรียบเทียบตัวเราในวันนี้กับยุคสมัยแห่งฏอฆูต ก็จะสามารถประจักษ์เห็นความภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ แต่ทว่า หากมีการเปรียบเทียบกับ “อิหร่านแห่งอิสลามที่สมบูรณ์แบบ” อันเป็นสังคมที่ควบคู่กับศักดิ์ศรี ความเจริญรุ่งเรือง คุณธรรม ความศรัทธาและจิตวิญญาณแล้ว ถือว่าเป็นหนทางที่ต้องก้าวเดินอีกยาวไกลอย่างแน่นอน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า หนทางที่ต้องก้าวเดินอีกยาวไกล เป็นหนทางอันเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งสามารถก้าวไปถึงได้ ด้วยความเชื่อมั่นในสามประการของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) และประชาชาติอิหร่านด้วยกับการมีบรรดาเยาวชนที่มีความศรัทธา และยึดมั่นในสามความเชื่อมั่นดังกล่าว มีพลังความสามารถพอที่จะก้าวบรรลุสู่เป้าหมายของอิหร่านแห่งอิสลามที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ย้ำว่า อนาคตภายภาคหน้าของประชาชาติอิหร่าน จะเป็นอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง และประชาชาติก็ยังคงยึดตามแผนปฏิบัติงานดังเช่นรากฐานและแนวทางสามประการของท่านอิมาม(รฎ)เช่นเดียวกัน
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า รากฐานและแนวทางหลักของท่านอิมาม(รฎ)ก็คือคำพูดต่างๆที่ถูกเผยแพร่ออกมา บทประพันธ์และพินัยกรรมของท่าน สิ่งเหล่านี้มันคือรากฐานหลักอันสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศชาติที่ล้าหลัง และชาติอิหร่านที่ต้องพึงพาประเทศชาติที่พัฒนาแล้ว กลายเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโต ก้าวหน้า มีความภาคภูมิใจและเป็นอิสระ
ท่านผู้นำได้ชี้ถึงประเด็นที่สำคัญ ว่า เมื่อบุคคลใดได้เอ่ยนามของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) และยึดมั่นในนามของท่าน ก็จำต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในรากฐานหลักและรากฐานสำคัญของท่านอิมาม “ในฐานะมีบทบาทเสมือนเป็นแผนที่นำทาง” เช่นเดียวกัน เพราะจะสามารถเข้าใจฮะกีกัตแก่นแท้ของท่านอิมาม(รฎ)และจะสามารถปฏิบัติและเจริญรอยตามแบบอย่างของท่านได้ ก็ต่อเมื่อเข้าใจในรากฐาน พื้นฐานและแผนที่นำทางของท่านอิมาม(รฎ) เท่านั้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้ชี้ถึงแผนนโยบายหลักของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ในด้านต่างๆโดยเฉพาะ นโยบายการเมืองในประเทศว่า พึงพาเสียงของประชาชน สร้างความภราดรภาพเอกภาพและความเป็นอันหนึ่งเดียวของคนในชาติ ผู้ปกครองต้องอยู่แบบประชาชนไม่ใช่อยู่แบบชนชั้นสูง ผู้บริหารประเทศต้องมีใจรักในผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง และมุ่งมั่นทำงานเพื่อความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศอยู่เสมอ
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้ชี้ถึง แผนนโยบายหลัก ด้าน “การเมืองระหว่างประเทศ” ว่า การยืนหยัดต่อสู้ในการเผชิญหน้ากับนโยบายการแทรกแซงและการล่าอานานิคมต่างๆ เชื่อมสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องกับชาติมุสลิม สร้างความสัมพันธ์กับชาติต่างๆ เว้นแต่ประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่ออิหร่าน ต่อสู้กับยิวไซออนิสต์ ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์ ให้การช่วยเหลือแด่พี่น้องที่ถูกกดขี่และยืนหยัดต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกับผู้กดขี่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นรากฐานทางการเมืองระหว่างประเทศของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึง รากฐานด้าน “วัฒนธรรม”ของท่านอิมาม(รฎ) ซึ่ง ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด ได้กล่าวว่า รากฐานด้าน “วัฒนธรรม”ของท่านอิมาม(รฎ) ประกอบด้วย ปฏิเสธวัฒนธรรมอันสกปรกโสมมของตะวันตก ปฏิเสธความรุ่นแรง ปฏิเสธความฟุ่มเฟือย ปฏิเสธความเลยเถิดในการยึดถือศาสนา ปกป้องศีลธรรมและบทบัญญัติศาสนาอย่างเด็ดเดี่ยว ต่อสู้กับความชั่วร้ายที่ถูกเผยแพร่ในสังคม
ท่านอิมามได้ชี้ถึงรากฐานด้านเศรษฐกิจ ของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ว่า การพึงพาเศรษฐกิจของชาติ และความพอเพียง ความยุติธรรมและความเสมอภาคด้านเศรษฐกิจการผลิตและการส่งออก ค้ำจุนชนชั้นคนยากไร้ ต่อสู้เผชิญหน้ากับวัฒนธรรมทุนนิยม ให้เกียรติ์และเคารพในการถือครองกรรมสิทธิ์ การลงทุนและการประกอบกิจการ ไม่เพลี่ยงพล้ำในต่อเศรษฐกิจโลก และความเป็นอิสระทางด้านเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเหล่านี้ล้วนคือรากฐานทางเศรษฐกิจของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวย้ำว่า สิ่งที่ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)คาดหวังจากบรรดาคณะผู้บริหาร นั้นคือ มุ่งมั่นทำงานบริหารประเทศด้วยใจรัก และก้าวเดินบนพื้นฐานดังกล่าวอย่างหนักแน่นและมั่นคงสืบไป
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ชี้ถึง แผนที่นำทางของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ) ที่เป็นความโปรดปรานหนึ่ง ว่า ประชาชาติอิหร่านด้วยความศรัทธาที่มุ่งมั่น และความสามารถและพรสวรรค์ที่มีอยู่และด้วยพลังแห่งวัยหนุ่มและใช้ประโยชน์จากแผนที่นำทางของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) จะสามารถผ่านพ้นและก้าวเดิน สามสิบสามปี ที่ผ่านมา ด้วยความสง่างามและทรงพลัง รวดเร็ว และจะสามารถกลายเป็นประเทศต้นแบบที่แท้จริงและแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบให้กับประเทศชาติมุสลิมทั้งหลาย
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้ชี้ในประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่สิบเอ็ด โดยถือว่า การเลือกตั้งก็เป็นอีกหนึ่ง “มัศฮัร” ของสามประการแห่งรากฐานของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ซึ่ง ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นมัศฮัรแห่งความเชื่อยังพระองค์ เพราะเป็นภาระหน้าที่ทางศาสนาที่จำต้องเข้าร่วมเพื่อกำหนดชะตากรรมของประเทศ
ท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า การเลือกตั้งก็เป็น “มัศฮัร”แห่งความเชื่อมั่นของประชาชน เพราะในการเลือกตั้งพี่น้องประชาชนจะเป็นผู้สรรหาและเลือกผู้บริหารประเทศด้วยตัวเอง
ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า การเลือกตั้งเป็น “มัศฮัร” หนึ่งแห่งความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะทุกคะแนนเสียงที่หยอดลงในคูหาเลือกตั้ง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คือการมีส่วนร่วมและมีบทบาทในการกำหนดชะตากรรมของประเทศนั้นเอง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมนเอี ถือว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกตั้งคือ การสร้างวีรกรรมทางการเมือง และการเข้าร่วมอย่างคึกคักของประชาชนในการเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำ ว่า ทุกคะแนนเสียงที่ให้กับผู้สมัครทั้งแปดคนนั้น ในเบื้องต้น เป็นการให้เกียรติ์และเป็นการเคารพในคะแนนเสียงของสาธารณรัฐอิสลามและเป็นคะแนนเสียงแห่งการมอบความไว้วางใจยังกระบวนการและขั้นตอนของการเลือกตั้ง
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริม ว่า ในระดับขั้นที่สองของคะแนนเสียง คือ เป็นการลงคะแนนเสียงให้กับบุคคลที่ตนเองได้พิจารณาแยกแยะและเลือกสรรแล้วว่าเป็นผู้ที่จะยังคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติได้มากที่สุด
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงความพยายามของศัตรูที่ต้องการเบี่ยงเบนการเลือกตั้งให้เป็นภัยคุกคามต่อระบอบการปกครอง ว่า ศัตรูมีความหวังว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งที่เย็นชา หรือ หลังจากการเลือกตั้งแล้วจะก่อให้เกิดฟิตนะห์ การก่อจลาจลให้เกิดขึ้น เหมือนดังที่เกิดขึ้นมาแล้วในปี 88 ทั้งนี้แผนการของศัตรูทั้งหลายมันได้ผิดพลาด เพราะพวกเขาไม่รู้จักประชาชาติอิหร่านอย่างแท้จริง และพวกเขาได้ลืมเรื่องราวเหตุการณ์ วันที่ 9 เดย์
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า ด้วยความโปรดปรานของพระองค์ และขั
ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า บรรดาศัตรูว่า คิดว่า ประชาชนส่วนใหญ่จะนิ่งเงียบและต่อต้านระบอบการปกครองในประเทศ ในขณะที่ในวันที่ 22 บะห์มัน ของทุกปี โดยเฉพาะตลอดช่วงระยะเวลา 34 ปี แห่งการปฏิวัติอิสลามประสบชัยชนะ พี่น้องประชาชนจะออกมาเดินชุมนุมประท้วงตามท้องถนนต่างๆอย่างคึกคัดและเนืองแน่น เพื่อปกป้องพิทักษ์ระบอบการปกครองอิสลามอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมกับกล่าวตะโกนกู่ก้อง ว่า “อเมริกาจงพินาศ”
ท่านผู้นำสูงสุด ย้ำถึงประเด็น ศัตรูผู้ประสงค์ร้ายต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และศูนย์บัญชาการทางความคิดของพวกเขา ในการสร้างความเย็นชาต่อบรรยากาศแห่งการเลือกตั้งโดยมีการกระพือข่าวโฆษณาเชิญเชื่อที่มดเท็จบิดเบือนและไร้ความยางอาย อาทิเช่น การเลือกตั้งเป็นเพียงแค่เป็นกลไกวิศวกรรมทางการเมือง เป็นข้อกำหนดกฎหมาย และขาดความเสรีภาพ โดยท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำ ว่า มีที่ไหนในโลก ที่เปิดโอกาสให้กับผู้สมัครชิเก้าอี้ประธานาธิบดี ทั้งที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังและไร้ชื่อเสียงและนิรนาม โดยทั้งหมดล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการใช้สื่อของชาติเพื่อการหาเสียง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำ ว่า ในอเมริกาและในประเทศทุนนิยม หากผู้สมัครมิได้เป็นสมาชิกของพรรคหนึ่งพรรคใด หรือหลายพรรค และไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกมาเฟียที่เป็นมหาเศรษฐี และมีอำนาจ และเครือข่ายยิวไซออนิสต์แล้ว จะไม่มีวันและไม่มีโอกาสที่จะสามารถทำการโฆษณาหาเสียงผ่านสื่อได้เป็นอันขาด
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า กฎหมายเป็นมัรเญีอ์และเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงในกระบวนการเลือกตั้งในอิหร่าน โดย ฯพณฯ กล่าวย้ำว่า ในสาธารณรัฐอิสลามมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้นที่มีอิทธิพลและบทบาทในกระบวนการเลือกตั้ง คือ “กฎหมาย” และตามกฎหมายดังกล่าว บางคนสามารถลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี และบางคนก็ไม่มีสิทธิ์ และสำหรับบุคคลที่ถูกประกาศรับรองคุณสมบัติก็เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมายทั้งสิ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติ กล่าวเสริมว่า ศัตรูภายนอก ด้วยความมืดบอดในข้อเท็จจริงประการดังกล่าว จึงได้ทำการโฆษณาเชิญเชื่อที่บิดเบือนและโกหกมดเท็จ และเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง กรณีที่มีบุคคลภายในประเทศบางคน เป็น “กระบอกเสียงและปากกาไร้ความยำเกรง” ในการกล่าวย้ำคำโฆษณาเชิญเชื่ออันมดเท็จเหล่านี้ให้กับบรรดาศัตรู
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำ ว่า ประชาชาติอิหร่าน ด้วยกับความโปรดปรานของพระองค์และการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจที่แน่วแน่และมั่นคงของตน จะโต้ตอบคำครหาต่างๆ อย่างสาสม เด็ดขาดและหนักแน่น
ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวชี้แนะถึงบรรดาผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีครั้งนี้ ว่า ผู้สมัครสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ แต่จงรับรู้และเข้าใจว่า ความหมายของการวิพากษ์วิจารณ์นั้น หาใช่ขาดซึ่งความยุติธรรม สร้างเรื่องมดเท็จและใส่ร้ายป้ายสี แต่ทว่าแก่นแท้ของการวิพากษ์วิจารณ์คือ ความมุ่งมั่น เจตนาดี และมีความเพียรพยายามเพื่อแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ และการก้าวเดินสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจนั้นเอง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวชี้ว่า แม้นว่าสื่อต่างชาติทุกแขนงจะประโคมข่าวในเชิงลบและเชิงอคติ โดยอ้างอิงคำพูดของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้เจาะจงและพาดพิงยังผู้สมัครท่านหนึ่งท่านใดเป็นการเฉพาะนั้น พึงรู้ว่า คำกล่าวอ้างของข้าพเจ้านั้นมิได้เจาะจงแด่ผู้สมัครท่านหนึ่งท่านใดแต่อย่างใด แต่มันครอบคลุมยังผู้สมัครทุกคน
ท่านผู้นำสูงสุด ชี้ว่า การวิพากษ์วิจารณ์นั้น ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งการไม่ปฏิเสธประเด็นด้านบวก ดังนั้นสำหรับบุคคลที่ต้องการเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน อย่าได้ปฏิเสธผลงาน แผนงาน โครงสร้างขั้นพื้นฐานและสิ่งโดดเด่นต่างๆที่ผ่านมา ทั้งจากรัฐบาลชุดปัจจุบันและรัฐบาลในอดีต และอย่าปฏิเสธสิ่งนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้าและความรุ่งเรืองของประเทศชาติ
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ ว่า ความหวังของชาติและความหวังของพวกเราทุกคนคือ ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี จะต้องมีความสามารถแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และบรรดาผู้สมัครทั้งหลายในด้านการนำเสนอแผนงานเพื่อแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจต่างๆเหล่านี้ ก็อย่าได้ปฏิเสธผลงานที่ได้ปฏิบัติมาแล้วในอดีตเป็นอันขาด
ท่านผู้นำการปฏิวัติ ยังได้ให้คำแนะนำและคำชี้แนะยังบรรดาผู้สมัครทั้งแปดท่าน ว่า อย่าได้ให้คำมั่นสัญญาที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้เป็นอันขาด
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวเสริมว่า จงพูดในลักษณะที่ว่า เมื่อมีการนำเทปบันทึกเสียงที่ได้หาเสียงในวันนี้ มาเปิดอีกครั้งหนึ่งในเดือนของปีหน้า ก็อย่าได้นำความละอายใจให้กับตัวเอง ดังนั้นจงอย่าให้คำมั่นสัญญาต่อสิ่งนี้ สิ่งโน้น เรื่องนี้เรื่องโน้น อันเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเกิดขึ้นได้
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวถึง ขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดีในรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นผู้มีอำนาจกว้างและมีอำนาจพิเศษ โดยท่านผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า สิ่งเดียวที่สามารถกำหนดขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี คือ “กฎหมาย” ทว่ากฎหมายมิใช่เป็นตัวกำหนดขอบเขต แต่เป็นการชี้นำทางและเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งชี้แนวทางการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง
จากนั้นท่านผู้นำการปฏิวัติ ได้กล่าวเรียกร้องบรรดาผู้สมัครทั้งหลาย ซึ่งนอกเหนือจากแผนงานที่ได้นำเสนอแล้ว ก็จำต้องให้คำมั่นสัญญาที่มั่นคงต่อประชาชนอันเป็นสัญญาในประเด็นหลัก คือ ให้คำมั่นสัญญาว่า จะปฏิบัติตนและบริหารประเทศด้วย “สติปัญญา ความเข้าใจอันถ่องแท้” และ “ความวิริยะ มุมานะและยืนหยัดอย่างมั่นคง”
ให้คำมั่นสัญญา ว่า จะอาศัยความสามารถทั้งหมดตามที่ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของการเป็นประธานาธิบดีอย่างแท้จริง และให้คำมั่นสัญญาว่า นอกจากการควบคุมบริหารภายในประเทศแล้ว ก็จะให้ความสำคัญในประเด็นเศรษฐกิจ ที่กำลังประสบกับความท้าทายในการถูกยัดเหยียดแทรกแซงและถูกกำหนดจำกัดจากต่างชาติ
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า คำมั่นสัญญาของผู้สมัครชิงประธานาธิบดีที่มีต่อประชาชนนั้น ต้องห่างไกลจากการนำมาซึ่งความปั่นป่วนต่างๆนา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดย ฯพณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สมัครที่ต้องให้คำมั่นสัญญากับประชาชน หากได้รับการเลือกสรรจากประชาชนให้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแล้ว จะต้องไม่เปิดโอกาสและช่องทางให้กับผู้สนับสนุน สมุนและบรรดาลิ่วล้อ
ท่านผู้นำสูงสุด ย้ำว่า คำมั่นสัญญาของผู้สมัครที่มีต่อประชาชนในการใส่ใจและให้ความสำคัญอย่างสมบูรณ์แบบ และพิทักษ์ผลประโยชน์ของประเทศชาติให้พ้นจากน้ำมือของต่างชาติ ก็เป็นอีกพันธะสัญญาหนึ่งที่สำคัญสำหรับบรรดาผู้สมัครทั้งหลาย โดย ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า บางคนมีการวิเคราะห์ที่ผิดพลาด โดยกล่าวว่า เพื่อลดระดับความโกรธแค้นของศัตรู จำต้องให้ความสำคัญต่อพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง เพราะถือเป็นการเอื้อประโยชน์และเห็นชอบให้ต่างชาติมีอำนาจอิทธิพลเหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติ
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า ความโกรธแค้นของศัตรู ก็เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าของสาธารณรัฐอิสลาม และมีผลพวงจากแนวทางของท่านอิมาม(รฎ) แบบอย่าง และอุดมการณ์ของท่านอิมาม(รฎ) ที่ยังคงมีชีวิตชีวิตและตราตรึงในความทรงจำของประชาชาติอิหร่านอยู่เสมอ ดังนั้นแนวทางเดียวที่สามารถต่อกรและเผชิญหน้ากับความพยายามอย่างไร้ลิมิตและไร้ขอบเขตของพวกเขา เพื่อจะสามารถแก้ไขอุปสรรค์ปัญหาต่างๆของประเทศชาติได้ ก็ด้วย “ ความเป็นอิสระ และศักดิ์ศรีของชาติ”
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวในช่วงท้ายว่า อีกสิบวันข้างหน้า ก็จะถึงวันแห่งการทดสอบครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิหร่านแล้ว หวังว่าด้วยความโปรดปรานของพระผู้อภิบาล ประชาชาติจะสามารถสร้างวีรกรรมอันเต็มไปด้วยความบารอกัต และมีผลลัพธ์อันเจิดจำรัสโดดเด่น จากการทดสอบของพระผู้เป็นเจ้าครั้งนี้ และจะสามารถสร้างความภาคภูมิใจและเกียรติ์ยศอีกครั้งหนึ่งให้กับประเทศชาติอย่างแน่นอน
ในช่วงแรกของงาน ท่าน ฮุจญะตุลอิสลาม วัลมุสลีมีน ซัยยิดฮะซัน โคมัยนี ผู้บริหารฮะรัมท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ได้ขึ้นกล่าวปราศรัย โดยเริ่มปราศรัยด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์ แห่งการลุกขึ้นกิยาม ในวันที่ สิบห้า โครดอด ปี 42 ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการปฏิวัติของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) โดย กล่าวว่า ในช่วงเริ่มต้นของขบวนการ โดยสภาพการณ์แล้วไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดคาดคิดว่า การปฏิวัติอันนี้ที่มีแนวทางและทิศทางของศาสนาจะก่อรูปขึ้นมาได้ และประสบความสำเร็จและชัยชนะด้วยน้ำมือของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ)
ท่านซัยยิด ฮะซัน โคมัยนี ถือว่า การมีความเชื่อมั่นและมอบความไว้วางใจในพระองค์อย่างแท้จริงของท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) นั้นเป็นพื้นฐานแห่งขบวนการปฏิวัติของท่านอิมาม โดย กล่าวว่า ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ได้เริ่มขบวนการของท่าน ได้ความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงในเรื่องศาสนา
ท่านซัยยิดฮะซัน โคมัยนี ได้กล่าวในประเด็นการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเร็วๆนี้ ว่า หวังว่าประชาชาติอิหร่านจะสามารถเข้าใจรับรู้ในภาระหน้าที่อันสำคัญของตัวเองและจะปฏิบัติหน้าที่ที่อยู่