เมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา (๑๗) บรรดาคณะผู้บัญชาการทหาร และเจ้าหน้าที่ซิพอห์แห่งการพิทักษ์ปฏิวัติเข้าพบท่าน อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงสมุดบันทึกผลงานอันยอดเยี่ยมของซิพอห์ อันเป็นการบ่งชี้ถึงความลุ่มลึกในเอกลักษณ์ บุคลิกภาพและประสบการณ์ที่บรรลุความสำเร็จของประชาชาติ อีกทั้งได้กล่าวย้ำ และอธิบายความหมายของการพิทักษ์ปกป้องการปฏิวัติอิสลามโดยรวม ว่า สาสน์หลักและสาส์นแห่งการดึงดูดของการปฏิวัติอิสลามนั้นคือการห่างไกลและหลีกเลี่ยงจากการกดขี่และไม่ตกอยู่ภายใต้การถูกกดขี่ และทุกประเด็นเรื่อง อาทิเช่น พฤติกรรม คำพูดต่างๆของเหล่ามหาอำนาจจำต้องนำสาสน์เหล่านี้มาวิเคราะห์และอธิบายตามครรลองและกรอบความคิดแห่งความท้าทายหลักของระบอบล่าอานานิคม
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวแสดงความยินดีเนื่องในวาระคล้ายวันประสูติของผู้ทรงความรู้แห่งวงศ์วานท่านศาสดา คือ ท่าน อิมามอะลี บิน มูซา อัลริฎอ(อ) ว่า ฐานภาพและตำแหน่งทางจิตวิญญาณของ
บรรดาอะอิมมะห์(อ) มันเหนือคำบรรยายซึ่งไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษาคำพูดและเข้าใจได้ด้วยกับสติปัญญา แต่ทว่า วิถีชีวิตของผู้ทรงเกียรติเหล่านี้ ล้วนแล้วเปี่ยมล้นด้วย วิทยปัญญา และบทเรียนอันอัมตะทั้งสิ้น
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ชี้ถึงอายุขัย 55 ปี ของอิมามท่านที่แปดและการดำรงตำแหน่งแห่งการเป็นอิมามประมาณ 28 ปี ว่า แม้นว่าท่านอิมามริฎอ(อ) จะมีอายุสั้น และตกอยู่ในช่วงแห่งการปราบปรามอย่างรุนแรงจาก คอลีฟะห์ฮารูน แห่งราชวงศ์อับบาสียะห์ แต่ด้วยการมีโลกทัศน์ที่กว้างไกล สามารถนำเสนอฮะกีกัตที่แท้จริงของอิสลาม อุดมการณ์แห่งวิลายัต และอุดมการณ์แห่งอะห์ลุลบัยต์วงศ์วานของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล)สู่ประชาชาติได้อย่างดีเยี่ยม โดยสามารถนำเสนอได้อย่างแพร่หลายและหยั่งรากลึก ซึ่งทำให้ข้าบริวารและผู้ปกครองที่กระหายเลือดและจอมเผด็จการไร้ความสามารถและไม่อาจต้านกระแสการตอบรับในหลักคำสอนอันบริสุทธิ์ดังกล่าวได้ จึงแสดงออกในสิ่งที่ค้านกับเจตนารมณ์ในเบื้องต้นของตนเอง จึงคิดวางแผนลอบสังหารท่านอิมาม และทำให้ท่านอิมาม(อ)เป็นชะฮีดในที่สุด
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเป็นชะฮีดและการฝังศพของท่านอิมาม(อ)ในเมืองมัชฮัดอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นกลไก เป็นแผนและเป็นข้อกำหนดเชิงวิศวกรรมของพระผู้อภิบาล พร้อมกับกล่าวย้ำว่า จำต้องอาศัยความมุ่งมั่นและมองยังโลกทัศน์ของท่านอิมามผู้ทรงเมตตา เพื่อกำหนดแผนงานในกิจกรรมระยะยาว
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ชี้ถึงสมุดบันทึกผลงานอันยอดเยี่ยมของซิพอห์ ว่า ซิพอห์ ได้เข้าสู่สนามแห่งมุกอวีมัตและการต่อสู้ด้วยพลังแห่งอิมาน และความศรัทธาที่ลุ่มลึก และด้วยการผ่านการฝึกอบรมทำให้กลายเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญ ชาญฉลาด มีไหวพริบที่เยี่ยมยอด เป็นผู้บัญชาการทหารที่ทรงอำนาจ และมียุทธ์ศาสตร์ทางทหาร และในเวทีด้านพลเรือน ก็เช่นกัน ยังสามารถฝึกอบรมบุคลากรให้เป็นผู้บริหารดีเด่นและมีประสิทธิภาพ เพื่อมอบให้กับหน่วยงานต่างๆของรัฐ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า “การใช้ชีวิตเยี่ยงนักปฏิวัติและการคงไว้ซึ่งการปฏิวัติ” และ “ความมั่นคง” คือภาพลักษณ์หนึ่งแห่งความสวยงามของซิพอห์ผู้พิทักษ์ปกป้องการปฏิวัติ พร้อมกับกล่าวย้ำว่า หน่วยงานนี้ที่ทรงพลังและหยั่งรากลึกนั้น จะไม่มีวันออกห่างจากแนวทางหลักและถูกต้องเป็นอันขาด มาตรแม้นว่าจะด้วยข้ออ้างใดๆ อาทิเช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลก และการเปลี่ยนแปลงภายในก็ตามที
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงข้ออ้างของบางกลุ่มในการแก้ตัว ต่อความดื้อรั้นและความรันทดใจ ว่า แม้นว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงก็ตามที แต่ก็หาใช่ว่าจะเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์และเป้าหมายหลักของตน และนำมาซึ่งการผันเปลี่ยนทิศทางที่ถูกต้อง
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า ซิพอห์มีหน้าที่ในการพิทักษ์ปกป้องการปฏิวัติ ดังนั้นจำต้องมีความเข้าใจอย่างดีและสมบูรณ์ต่อสภาพเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงในเวทีต่างๆที่เกิดขึ้น
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงประเด็นความคิดที่ผิดในขณะนี้ในประเด็นการเมืองว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่ซิพอห์ต้องเข้าสู่เวทีแห่งกิจกรรมความเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งการพิทักษ์ปกป้องการปฏิวัตินั้นจำต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งและเข้าใจในข้อเท็จจริงทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานที่เปรียบเสมือนเสาหลักในการพิทักษ์ปกป้องการปฏิวัติอิสลามนั้น ไม่อาจที่จะปิดตา นิ่งเฉย และดูดาย ต่อปรากฏการณ์ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่หลงทางหรือไม่หลงทาง หรือที่สังกัดพรรคกลุ่มการเมืองหรือไม่สังกัดพรรคกลุ่มการเมืองก็ตาม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้อธิบายถึงความหมายที่แท้จริงของการพิทักษ์ปกป้องการปฏิวัติ ด้วยการชี้ถึงประเด็นสำคัญของความท้าทายหลักและสำคัญของการปฏิวัติ
ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวย้ำถึง อย่าทำให้ความท้าทายหลักและความท้าทายที่สำคัญกลายเป็นความท้าทายเชิงเส้นกราฟ ต้องกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างพรรคและการเผชิญหน้าเชิงบุคคลระหว่างคนนี้กับคนโน้น เป็นอันขาด โดย พณฯ ผู้นำสูงสุดกล่าวย้ำว่า ความท้าทายหลัก คือ การเผชิญหน้ากับระบอบล่าอานานิคม โดยการอาศัยสาส์นแห่งความถวิลหาอันแรงกล้าของการปฏิวัติอิสลาม กล่าวคือ การออกห่างจากการกดขี่และไม่ตกเป็นผู้ถูกกดขี่
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามชี้ถึงระบอบใหม่ที่การปฏิวัติอิสลามได้นำเสนอให้กับมวลมนุษยชาติ ว่า ระบอบการล่าอานานิคมโลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือการศอเล็มและถูกศอเล็ม แต่ทว่าการปฏิวัติอิสลามนั้นวางอยู่บนหลักตรรกะแห่งการต่อต้านการกดขี่และห่างไกลจากการถูกกดขี่ ซึ่งหลักตรรกะอันนี้เองทำให้สาส์นแห่งการปฏิวัติอิสลามมิได้ถูกจำกัดเพียงแค่ขอบเขตพื้นที่ในอิหร่านเท่านั้น แต่มันเป็นที่ยอมรับของเหล่าประชาชาติทั้งมวล
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า รัฐบาลแห่งความอหังการ รัฐบาลที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบล่าอานานิคมและเครือข่ายปล้นสะดมระดับนานาชาตินั้น คือผู้ต่อต้านสาสน์แห่งการปฏิวัติอิสลาม พร้อมกับกล่าวย้ำว่า ระบอบล่าอานานิคมและพันธมิตรของพวกเขา พยายามแสวงหานโยบายหลักสามประการ คือ “สร้างสงคราม” “สร้างความยากไร้ขัดสน” และสร้างความเสียหาย” ซึ่งอิสลามคัดค้านและต่อต้านนโยบายเหล่านี้ทั้งหมด และการต่อต้านครั้งนี้ มันวางอยู่บนพื้นฐานแห่งความท้าทายหลักและพื้นฐานแห่งการปฏิวัติ
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวย้ำถึง การเคลื่อนไหว และการแผนการที่ชั่วร้ายต่างๆของบรรดาศัตรูตลอดช่วง 34 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจำต้องมีการวิเคราะห์ภายใต้กรอบความท้าทายหลักเท่านั้น พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ ก็เช่นกันจำต้องมีการพิจารณาบนพื้นฐานและมุมมองเช่นนี้ด้วย
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า เรามิใช่เพราะเราแคร์อเมริกา หรือประเทศอื่นที่ไม่ใช่อเมริกา แต่ทว่าเพราะเหตุผลแห่งหลักความศรัทธาของเรานั้นเอง ที่ไม่อาจยอมรับอาวุธนิวเคลียร์ และเมื่อเรากล่าวว่า ไม่มีผู้ใดที่มีสิทธิครอบครองอาวุธนิวเคลียร์แล้ว เราเองก็ไม่มีวันที่จะแสวงหาสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอน ทว่าเป้าหมายของบรรดาศัตรูอิหร่านในประเด็นนี้นั้น พยายามที่จะแสวงหาสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า มีบางประเทศ ที่ต้องการผูกขาดในประเด็นพลังงานนิวเคลียร์ จึงต้องการเสี้ยมให้เกิดความวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้ ความวุ่นวายและความกลโหมที่อเมริกาและตะวันตกเป็นผู้สร้าง และ กลุ่มหน่วยงานที่ผูกมัดยังพวกนี้ในประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ นั้น จำต้องมีการวิเคราะห์และเข้าใจในกรอบแห่งความท้าทายที่ลุ่มลึกของระบอบล่าอานานิคมและระบอบการปฏิวัติอิสลาม
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้อธิบายถึงความหยั่งลึกในการเป็นศัตรูของมหาอำนาจอย่างแท้จริงกับการปฏิวัติอิสลามว่า ความยิ่งใหญ่ของท่าน อิมามโคมัยนี(รฎ)นั้น เป็นไปในลักษณะที่ว่า แม้แต่บรรดาศัตรูก็ยังให้เกียรติและเคารพท่าน ส่วนในห้วงลึกทางความคิดและอุดมการณ์ของศัตรูที่มีความเกลียดชังและเคียดแค้นต่อท่านอิมามนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดยิ่งเสียกว่าการทอแสงของดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำไป เพราะท่านอิมามโคมัยนี(รฎ) ได้อาศัยความบาศีรัตที่สมบูรณ์แบบ สามารถเข้าใจและรับรู้ถึงแผนการและวัตถุประสงค์อันชั่วร้ายของพวกเขาได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง ท่านอิมาม(รฎ)ยังยืนหยัด และแข็งกร้าวเสมือนดังเขื่อนกั้นที่แข็งแกร่งในการเผชิญหน้ากับพวกเขา
ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า ในวันนี้ก็เช่นกัน ผู้ใดที่ยึดมั่นในสาส์นหลักของการปฏิวัติอย่างเข้มข้น และมีการวิเคราะห์แผนการอันชั่วร้ายและพฤติกรรมของศัตรูภายใต้กรอบแห่งความท้าทายของระบอบล่าอานานิคม กับระบอบอิสลามแล้ว เขาจะเป็นที่โกรธแค้น ชิงชังมากกว่าผู้อื่นใดในสายตาของของชาติมหาอำนาจ
ท่านผู้นำสูงสุด ยังได้ชี้ถึงความสลับซับซ้อนของโลกแห่งการทูตว่า ในเวทีทางการทูต เป็นเวทีแห่งการยิ้มแย้ม และเป็นการเรียกร้องสู่การเจรจาและการเจรจาเท่านั้น ทว่า พฤติกรรมทั้งหมดเหล่านี้จำต้องทำความเข้าใจอย่างแท้จริงบนพื้นฐานแห่งกรอบความท้าทายหลัก
ท่านผู้นำสูงสุด ได้เห็นชอบในการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องและตามหลักตรรกะในนโยบายต่างๆทั้งนโยบายต่างประเทศและในประเทศ ว่า ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับประเด็นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งมีการยึดความอ่อนโยนเยี่ยงวีรบุรุษ เพราะการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ต้องวางอยู่บนพื้นฐานแห่งการยึดมั่นในเงื่อนไขหลักที่สำคัญ
ท่านผู้นำสูงสุด ถือว่า การรับรู้และการทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ของฝ่ายตรงกันข้าม และมีความเข้าใจที่ถูกต้องถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของพวกเขา นั้น คือเงื่อนไขหลักที่สำคัญในการใช้ยุทธวิธีแห่งความอ่อนโยนแบบวีรบุรุษ พร้อมกับกล่าวเสริมว่า นักมวยปล้ำบางท่านที่มีลีลา ก็เช่นกัน บางครั้งเนื่องจากความอ่อนโยนได้แสดงเทคนิคออกมา แต่กระนั้นก็ตามยังไม่ลืมคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงกันข้ามว่าเขาคือใคร และเขามีวัตถุประสงค์และมีเป้าหมายอันใด??
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้เห็นชอบในคำพูดของผู้บัญชาการซิฟอห์สูงสุด ในประเด็นภาระหน้าที่ของหน่วยงานนี้ว่า สามารถปฏิบัติภาระหน้าที่นี้ได้ด้วยการอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้องในประเด็นการพิทักษ์ปกป้อง และก้าวมั่นด้วยความมั่นคง
ท่านผู้นำสูงสุด ได้ตักเตือนและเน้นย้ำแด่บรรดาซิฟอห์ผู้พิทักษ์ ให้มีการพึ่งพิงยังจิตวิญญาณ ว่า การพึ่งพิงยังจิตวิญญาณ นั้นมันไม่มีความขัดแย้งใดๆกับการทุ่มเทกิจการงานด้านวัตถุและกำหนดแผนงานที่ถูกต้องและรัดกุมแต่ประการใด
ในช่วงท้ายของสุนทรวาท ครั้งนี้ ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ย้ำถึงอนาคตอันสดใสของการปฏิวัติอิสลาม
ท่านผู้นำสูงสุด ได้อธิบายถึงประเด็นอนาคตอันสดใสของการปฏิวัติอิสลามนั้นคือข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ และสิ่งนี้หาใช่เป็นการเอาใจ เป็นการประจบและเยินยอ จึงอาศัยการยกเหตุผลสองประการในการประกอบคำอธิบาย สิ่งแรกคือ การใช้เหตุผลเชิงประสบการณ์
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงความแตกต่างที่น่าทึ้งแห่งความสำเร็จของประเทศชาติในวันนี้ ในด้านวิทยาศาสตร์ การทหาร การบริหารจัดการและด้านเศรษฐกิจ และด้านอื่นๆ กับสภาพของประเทศในช่วงเริ่มต้นแห่งชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม ว่า ความเจริญก้าวหน้าทั้งหมดเหล่านี้ บังเกิดขึ้นในห้วงเวลาแห่งการถูกคว่ำบาตรและกดดันต่างๆนาๆอย่างมากมายโดยน้ำมือของบรรดาศัตรู และประสบการณ์อันทรงค่าเหล่านี้ บ่งชี้ว่า ไม่ว่าจะมีสิ่งกีดกั้นและขวากหนามใดๆ ก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้ง ประชาชาติผู้ศรัทธามั่น มีมีความแข็งแกร่ง มุ่งมั่น และเข้าใจในแนวทางของตนได้เป็นอันขาด
ท่านผู้นำสูงสุด ได้กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า ความเสียหายที่โลกอิสลามต้องแบกรับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคในวันนี้ นั้น เกิดขึ้นเพราะบางคนไม่รู้จักและไม่เข้าในแนวทางนี้ แต่ทว่าสภาพเหตุการณ์ก็ไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ และกระแสการตื่นตัวอิสลามที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ยังคงเดินหน้าอีกต่อไป
ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริม ว่า ประชาชาติอิหร่านได้พัฒนาอย่างรุดหน้า ด้วยการอาศัยหลักตรรกะและการคิดคำนวณทางวิทยาศาสตร์ แต่ทว่าบรรดาศัตรูด้วยกับการสร้างความขัดแย้งภายใน หากไม่เอื้อนเอ่ยด้วยภาษาคำพูดแล้ว สามารถกล่าวได้ว่ากำลังอยู่ในสภาพแห่งความล้าหลังและความอ่อนแอ ซึ่งในการเผชิญหน้าครั้งนี้ ชัยชนะและความก้าวหน้าย่อมตกเป็นของผู้ที่มีการคิดคำนวณอย่างรอบคอบเท่านั้น
การสร้างความแข็งแกร่งในโครงสร้างภายในของระบอบ การสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ความเจริญเติบโตด้านการผลิต และการพึ่งพิงอาศัยความสามรถพิเศษภายใน คือประเด็นสุดท้ายของสุนทรวาทของท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามในครั้งนี้
ท่านผู้นำสูงสุด กล่าวย้ำว่า อนาคตอันสดใสของการปฏิวัติคือสิ่งที่แน่นอน แต่ทว่าการบังเกิดผลช้าหรือเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับบทบาทและปฏิกิริยาของรัฐบาลและผู้บริหารประเทศชาติ และหากมีความเป็นเอกภาพ มีความแข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นเท่าใด อนาคตอันสดใสเช่นนี้ย่อมสำฤทธิ์และเห็นผลเร็วยิ่งขึ้น และหากมีความเฉื่อยชา หลงตัวเอง และสาละวนอยู่กับอุปสรรค์ปัญหาต่างๆ ผลสัมฤทธิ์ก็จะมาถึงมือเราอย่างล่าช้าอย่างแน่นอน