สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ประชาชนชาวเมืองกุมหลายพันคนเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

สหรัฐต้องพบกับความพ่ายแพ้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ประชาชนชาวเมืองกุมหลายพันคนเข้าพบท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ซึ่งได้ตรงกันกับวันแห่งการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองกุม เมื่อวันที่ 19 เดือนเดย์ ปี1356  โดยท่านผู้นำได้ชี้ถึงความจำเป็นในความไม่แยแสและความใจกว้างเกี่ยวกับรากฐานของการเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐและชาติมหาอำนาจต่อรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน 

และท่านผู้นำ ถือว่า “การมีอัตลักษณ์ ความจริงของการปฏิวัติ ความกล้าหาญ และการยึดมั่นของประชาชาติและรัฐที่มีต่อเป้าหมายและพื้นฐานหลักต่างๆของการปฏิวัติอิสลาม นั้นคือ เหตุผลหลักของความเป็นปฏิปักษ์อย่างลึกซึ้งและต่อเนื่องของศัตรู”

และท่านผู้นำ ยังได้อธิบายถึงหน้าที่ๆสำคัญของเจ้าหน้าที่รัฐฯและประชาชน โดยเน้นว่า “การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มชนที่ด้อยโอกาส ถือว่าเป็นหน้าที่ๆสำคัญของรัฐบาลในวันนี้ ทั้งเจ้าหน้าที่ทั้งหลายและประชาชนจะต้องมีความเฉลียวฉลาดที่จะทำให้มาตรการคว่ำบาตรของอเมริกานั้นเหมือนดั่งในช่วงสงครามแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยการทำให้ซาตานตัวใหญ่ได้พบกับความพ่ายแพ้มาแล้ว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้กล่าวเทอดเกียรติต่อการลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองกุมในวันที่ 19 เดือนเดย์ ปีที่ 56 (ปฏิทินอิหร่าน) โดยถือว่า กุม คือ เมือง ศูนย์กลางและแม่บทแห่งการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงของการปฏิวัติอิสลาม และท่านผู้นำยังกล่าวเสริมว่า 

“แต่ทว่าก็ยังมีแรงจูงใจต่างๆอีกที่ต้องการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของการปฏิวัติอิสลามในเมืองกุม และยังจะทำให้การมีจิตวิญญาณของการปฏิวัติและการมีศาสนานั้นลดน้อยลงด้วย แต่ก็อย่าได้เพิกเฉยต่อเล่ห์กลอุบายและปัจจัยต่างๆของศัตรูเป็นอันขาด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงความเฉลียวฉลาดในการเผชิญหน้ากับแรงจูงใจเหล่านั้น โดยกล่าวว่า “กุม คือ แหล่งที่มาในการสนับสนุนทางจิตวิญญาณของการปฏิวัติอิสลาม ที่จะทำให้โลกนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาผู้อาวุโสและเยาวชนทั้งหลายของเมืองกุม จะต้องไม่อนุญาตให้มือที่ทรยศเข้ามาทำให้เมืองกุมต้องหลุดพ้นจากความเป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติอิสลาม และยังจะทำให้การขับเคลื่อนนี้ต้องลดน้อยลงด้วย"

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงบทเรียนต่างๆที่สำคัญและเป็นความทรงจำในการกิยาม(การลุกขึ้นต่อสู้)ในวันที่ 19 เดือนเดย์ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ประธานาธิบดีสหรัฐในเวลานั้น เมื่อวันที่ 10 เดือนเดย์ ปี 56 ได้เดินทางมายังเตหะรานและพูดจาเยินยอและโกหกหลอกลวงต่อมูฮัมหมัด ริซา ปาห์เลวี ว่า อิหร่านจะกลายเป็น “หมู่เกาะที่มีความมั่นคง” หมายความว่า นั้นเป็นแหล่งที่มาของความนิ่งสงบในจินตนาการของสหรัฐที่มีอิหร่านที่จะต้องพึ่งพาและบรรดาเจ้าหน้าที่นั้นคือ ผู้ที่รับใช้พวกเขาทั้งหลาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม  ถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองกุมที่มีต่อระบอบที่ฉ้อฉลที่ต้องพึ่งพาและชั่วร้ายของปาห์เลวี ในช่วงเวลาสั้นเพียงไม่เกิน 10 วัน จากคำพูดนี้ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแออย่างลึกซึ้งของหน่วยงานในการคำนวณของสหรัฐและชาติตะวันตก โดยท่านกล่าวว่า “เวลาที่ไม่ถึง 10 วัน หลังจากการเดินทางของประธานาธิบดีสหรัฐที่บอกว่าอิหร่านนั้นคือหมู่เกาะที่มั่นคง การลุกขึ้นอันยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวเมืองกุมก็ได้เริ่มขึ้น และหลังจากนั้นก็ชาวเมืองตับรีซก็ได้ลุกขึ้นต่อสู้ จนเกิดเป็นพายุของการปฏิวัติอิสลามและการทำลายระบอบจอมเผด็จการที่ฉ้อฉล”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความอ่อนแอของหน่วยงานในการคิดคำนวณของสหรัฐ จนถึงวันนี้ นั้นคือความเป็นจริงหนึ่ง และท่านกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าจะมีบางคนที่ให้ความสนใจต่อชาติตะวันตกและสหรัฐก็ตาม ก็ยังจะทำให้การคิดคำนวณของพวกเขาอ่อนแอลงอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของหนึ่งในตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐเมื่อปีที่ผ่านมาในหมู่กลุ่มผู้ก่อการร้าย และการให้คำมั่นสัญญากับพวกเหล่านั้นว่า เราจะไปฉลองวันคริสมาสต์ในปี 2019 ที่กรุงเตหะรานกัน โดยท่านผู้นำได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความสามารถในการคิดคำนวณของเหล่าศัตรูของอิหร่านนั้นมีเพียงเท่านี้  เหมือนดั่งที่ขณะที่ซัดดาม ฮุสเซน หวังว่าจะพิชิตเตหะรานได้ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ และเหล่ามุนาฟิกีน สมุนทาสรับใช้ต่างก็คิดว่า การโจมตีด้วยขีปนาวุธเพียงสามวัน จากเคอร์มานชาฮ์ จะถึงมายังเตหะรานได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “บางคนในรัฐบาลของสหรัฐถือว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการเพ้อเจ้อ และข้าพเจ้าก็ไม่ยอมรับคำพูดเหล่านี้ แต่ในความจริง พวกเขาคือ ผู้โง่เขลาในระดับต้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การลุกขึ้นต่อสู้ของชาวเมืองกุม นั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการจัดแถวของสองหน่วยงานในการคิดคำนวณ หมายถึง การจัดแถวของพวกเสรีนิยมประชาธิปไตย จอมโกหกที่เท้าของพวกเขานั้นแปะเปื้อนโคลนของพวกตะวันตก ในการเผชิญหน้ากับระบอบแห่งเอกภาพของอิสลาม โดยกล่าวว่า “หลังจากการปฏิวัติอิสลาม พวกเขาได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อสาธารณรัฐอิสลามและก็คิดว่าการกระทำของรัฐนี้ จะใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือนก็จะสิ้นสุดลงได้ ในขณะที่การปฏิวัติอันนี้ได้ย่างเข้าสู่ปีที่ 40 แล้ว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “ในทางตรงกันข้ามกับการคำนวณที่ผิดพลาดของมหาอำนาจ จอมอหังการ การคำนวณที่ละเอียดอ่อนของรัฐอิสลาม ที่ท่านอิมามผู้ทรงเกียรติของเรา กล่าวว่า “เราได้ยินเสียงกระดูกที่หักของพวกมาร์กซิสม์”  และหลังจากนั้นในเวลาเพียงหนึ่งและสองปี โลกก็ได้ยินเสียงอันนั้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความเป็นศัตรูของชาติมหาอำนาจกับปรากฏการณ์อารยธรรมแห่งการปฏิวัติอิสลามนั้นเป็นปฏิปักษ์อย่างลึกซึ้ง โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “บางคนอาจจะไม่เข้าใจ หรือกับด้วยปัจจัยอื่นๆต่างเชื่อว่า เหตุผลในความเป็นศัตรูของเหล่าชาติมหาอำนาจนั้นคือ คำพูดของท่านอิมาม หรือเจ้าหน้าที่คนๆนั้นที่มีต่อสหรัฐ ในขณะที่เหล่าผู้ฉ้อฉลของโลกได้ต่อกรกับการมีอำนาจแห่งเยาวชนที่กำลังจะเติบโต ด้วยความเพียรพยายามและเต็มไปด้วยกับแรงจูงใจของศัตรู ที่การมีอำนาจทางจิตวิญญาณนี้เข้าสู่ 40 ปี ในทางตรงกันข้ามกับสายตาของพวกเหล่านั้นได้เกิดมีพลังและอำนาจมากเพิ่มในแต่ละวันและความแตกร้าวฉานของชาติมหาอำนาจก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า อิหร่าน คือ จุดสูงสุดแห่งยุทธศาสตร์ในภูมิภาค โดยกล่าวเสริมว่า “เหตุผลที่พวกอเมริกาเกิดความโกรธในช่วงแรกของการปฏิวัติอิสลาม ก็คือ พวกเขาได้สูญเสียอาหารอันโอชะและความนุ่มนวลของอิหร่านในฐานะที่เป็นประเทศที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคและยังเป็นแผ่นดินที่เต็มไปด้วยกับความมั่งคั่งทางวัตถุและแหล่งธรรมชาติ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการยอมรับของสถาบันแห่งหนึ่งของตะวันตกเมื่อหลายวันที่ผ่านมา โดยกล่าวเสริมว่า “ พวกเขาได้บอกเองว่า อิหร่านนั้นมีขีดความสามารถที่พิเศษและมีความมั่งคั่งในระดับห้าของโลก ฉะนั้นจึงถือว่าเป็นธรรมชาติที่เมื่อพวกเขาสูญเสียความมั่งคั่งเหล่านี้ จะเกิดความไม่พอใจดังกล่าว”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “ความโกรธนี้ ยังคงดำเนินต่อไป แต่ปัญหาหลักและรากฐานในการเผชิญหน้ากับสหรัฐของประชาชาตินั้นก็คือ การเผชิญหน้ากันทางประวัติศาสตร์และแก่นแท้ในสัจธรรมกับความเท็จ เพราะว่า ชาติมหาอำนาจและลัทธินักล่าอาณานิคมได้สูบเลือดสูบเนื้อของประชาชาติเป็นอาหาร ในขณะที่การปฏิวัติอิสลามได้เผชิญหน้ากับความฉ้อฉลอันชัดเจนนี้ในการยืนหยัดและความพยายามที่จะทำให้ประชาชาติทั้งหลายได้ตื่นตัวเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การได้ยินคำป่าวตะโกนว่า “อเมริกา จงพินาศ” ในประเทศต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของอิหร่าน โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ชาติมหาอำนาจต่างพยายามทำให้ประชาชาติทั้งหลายต้องหลงทางด้วยกับความหวาดกลัวต่ออิหร่านและอิสลาม แต่ทว่าประชาชาติเหล่านั้นไม่ได้มีความเป็นปฏิปักษ์กับสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน และเมื่อใดก็ตามที่ความจริงได้เป็นที่กระจ่างชัด พวกเขาก็จะให้การสนับสนุน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การแพร่ระบาดของบางเหตุการณ์และปรากฏการณ์ในยุโรปและสหรัฐ นั้นเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความชัดเจนของผลแห่งอันตรายของช่องโหว่แห่งจิตวิญญาณของอารยธรรมตะวันตก โดยกล่าวเสริมว่า “ในทางตรงกันข้าม การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแห่งศาสนาและการขับเคลื่อนสู่อารยธรรมแห่งอิสลาม ด้วยกับการใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือต่างๆของโลกวันนี้ ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความจริงนี้ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชาติมหาอำนาจอย่างมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงการไม่ใส่ใจและความใจกว้างนั้นเป็นสาเหตุที่แท้จริงและปัจจัยหลักของความเป็นศัตรูของเหล่าผู้ฉ้อฉลโลกกับอิหร่าน โดยกล่าวเสริมว่า “ เหตุผลหลักของความเป็นศัตรูนี้ ก็คือ การมีอัตลักษณ์ และความเป็นจริงในการขับเคลื่อนอันยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติอิสลาม ความกล้าหาญ การเสียสละ ความจงรักภักดีและการยึดมั่นอย่างสม่ำเสมอ อย่างสมบูรณ์ของรัฐอิสลามต่อรากฐานต่างๆของการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งหากว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานความสำเร็จในการขับเคลื่อนนี้ก็จะได้รับผลลัพท์ดั่งที่ได้คาดหวัง โดยจะทำให้ความเหย่อหยิ่งของมหาอำนาจและพวกลัทธินักล่าอาณานิคมต้องหมดสิ้นไป”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้อ้างถึงหลักฐานจากโองการของอัลกุรอาน อันทรงเกียรติ โดยกล่าวเสริมว่า “ ฟาโรห์นั้นรู้ว่า ท่านศาสดามูซา คือ สัจธรรม แต่ก็ยังคงเป็นศัตรูกับเขา ในขณะที่ พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสกับท่านศาสดามูซา ว่า สูเจ้าอย่าได้หวาดกลัว จงขับเคลื่อนไป เพราะว่าฉันนั้นจะอยู่กับเจ้า ซึ่งคำกล่าวนี้ได้บอกกับประชาชาติอิหร่านว่าให้พวกเขาลุกขึ้นต่อสู้กับศัตรูที่เป็นฟาโรห์แห่งโลก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงผลของการจัดแถวของชาติมหาอำนาจและประชาชาติอิหร่าน โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ในทุกๆฝ่ายที่มีการขับเคลื่อนยังแนวทางแห่งพระเจ้า  สัญญาอย่างแน่นอนโดยที่ไม่ต้องสงสัยในการช่วยเหลือของพระองค์และชัยชนะก็จะบังเกิดขึ้นด้วย ดังเช่นในตลอดสี่สิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าที่ใดก็ตามที่เรานั้นมีการขับเคลื่อน ในที่แห่งนั้นเราก็ได้รับชัยชนะ และที่ใดก็ตามที่เราพบกับความล้มเหลว เราก็จะไม่ได้รับชัยชนะ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเข้าสู่สี่สิบปี คือ การผลิบานของการสร้างอารยธรรมทั้งหลาย โดยกล่าวเสริมว่า “ในวิถีแห่งอารยธรรม สี่สิบปีนั้นมิใช่เป็นยุคแห่งวัยชรา แต่ทว่าเป็นยุคแห่งการขับเคลื่อนอย่างลึกซึ้ง ด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระผู้เป็นเจ้าและความเป็นสิริมงคลแห่งความศรัทธาของศาสนา การมีเจตนาที่มุ่งมั่น การปรากฏตัว การเตรียมความพร้อมในการทำงาน และความพยายามของประชาชาติ โดยเฉพาะกับเยาวชนที่มีความคิดสร้างสรร มีนวัตกรรมใหม่ๆและมีความหวังในอนาคต จะทำให้การขับเคลื่อนทางประวัติศาสตร์ของประชาชาติอิหร่านนั้นต้องพบกับผลลัพท์อันสดใส”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ชัยชนะของการปฏิวัติ การจัดตั้งสาธารณรัฐอิสลาม นั้นเป็นแม่บทของการสร้างอารยธรรมแห่งอิสลามที่เหมาะสมกับยุคสมัยในปัจจุบัน และท่านยังตั้งข้อสังเกตว่า หากว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงประสงค์ บทเบื้องต้นเหล่านี้ก็จะไม่บังเกิดขึ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวในหมู่ประชาชนชาวเมืองกุมหลายพันคนโดยท่านได้ชี้ถึงประเด็นที่สำคัญที่มีต่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลายและประชาชน

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้เน้นถึงคำเตือนที่สำคัญที่สุดที่มีต่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐฯ โดยกล่าวว่า “การกระทำอันดับแรกของพวกท่านก็คือ การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชนที่ด้อยโอกาส เพราะว่าปัญหานี้นั้นมีความสำคัญอันเป็นพิเศษ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการใส่ใจของศัตรูยังปัญหาค่าครองชีพของประชาชน โดยกล่าวว่า “แหล่งข้อมูลของประเทศนั้นมีน้อยมาก เพราะว่าด้วยกับการย้ำเตือนในหลายครั้งและตามกระแสต่างๆและบุคคลทั้งหลาย ได้กลืนกินเอาแหล่งข้อมูลนี้ไปอย่างฉ้อฉล ด้วยกับการเป็นนายหน้าและการผูกขาดทางการค้า จนเป็นเหตุให้เกิดอุปสรรคในความก้าวหน้าของประเทศ และยังเป็นการทำลายการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการผลิตในประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวต่ออีกถึงภาระกิจที่สำคัญของเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในวันนี้ ก็คือ การเข้าถึงปัญหาเกี่ยวกับค่าครองชีพ โดยกล่าวเสริมว่า “แต่ภาระกิจนี้ไม่ใช่จะแก้ไขด้วยการแจกเงินเท่านั้นและจะต้องมีความระมัดระวังในการสร้างกระแสและมือทั้งหลายที่เป็นอันตรายและการสร้างความเสียหาย ดังที่เราได้เคยกล่าวเตือนถึงรายละเอียดของปัญหาเหล่านี้กับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายมาแล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า การกระทำ ความเพียรพยายามและการรับใช้ต่อการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน และประชาชาติผู้ยิ่งใหญ่ นั้นคือ ความโปรดปรานหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า และท่านผู้นำยังได้เน้นกำชับกับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายและผู้บริหารรัฐบาล โดยกล่าวว่า ฎพวกท่านจะต้องรู้จักถึงคุณค่าของความโปรดปรานของความรับผิดชอบหน้าที่ในรัฐอิสลามและจงยึดมั่นต่ออุปกรณ์ต่างๆในการรู้จักถึงคุณค่าเหล่านี้ หมายถึง มีความระมัดระวังในวาจาคำพูด การกระทำ การหลีกเลี่ยงจากชนชั้นสูง และความสุรุ่ยสุร่าย และการกระทำของเหล่าจอมเผด็จการ และจงพยายามในการขับเคลื่อนตามวิถีทางแห่งการเป็นแบบอย่างในการกระทำและการบริหารจัดการของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน(อิมามอะลี (อ))

“ความกล้าหาญ ความมีเหตุผล”  คือ สองประเด็นที่สำคัญที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติกล่าวย้ำเตือนต่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “พวกท่าน อย่าได้ตอบโต้ในการข่มขู่คุกคามของสหรัฐและพวกยุโรป และพวกท่านจงยืนหยัดและจงรู้ไว้เถิดว่า ไม่ว่าการข่มขู่ หรือคำมั่นสัญญา แม้แต่ลายเซ็นของพวกเขาก็ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้เปรียบเอาคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องของพวกตะวันตกบางคนเป็นคำพูดของนักแสดงตลก โดยกล่าวเสริมว่า พวกเขาบอกอิหร่านว่าให้เรียนรู้สิทธิมนุษยชนจากซาอุดิอาระเบีย แล้วคำพูดอันนี้ นั้นเป็นคำพูดของนักแสดงตลกใช่ไหม?

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำที่ถูกต้องและการมีเหตุผลคือหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย เพราะว่า การมีความรู้สึกอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะบริหารประเทศได้ แต่ความรู้สึกนั้นจะต้องเป็นกำลังสำรองทางการปฏิบัติในการตัดสินใจที่มีเหตุผลและจำเป็น”

“การรู้จัก การรู้ถึงคุณค่า และการใช้ประโยชน์จากขีดความสามารถภายใน โดยเฉพาะกับเยาวชนทั้งหลาย”  คือ อีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเน้นย้ำกับบรรดาเจ้าหน้าที่และรัฐบาล

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “บรรดาเยาวชนทั้งหลายสามารถที่จะแก้ไขปัญหาของหน่วยงานต่างๆได้ ฉะนั้น พวกท่านจะต้องย้อนกลับไปยังพวกเขา และรู้จักถึงคุณค่าของพวกเขา เพราะว่า พวกเขามีเที่ยวบินที่ยาวนั้นเป็นการดีและยังทำให้ประเทศได้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวไว้ในช่วงท้ายของคำพูดของท่าน โดยกล่าวถึงประชาชนก็จะต้องให้การช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ทั้งหลายเช่นกัน และกล่าวเสริมว่า “ส่วนที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งในการผลิตในประเทศ ทั้งในระดับคุณภาพและการแจกจ่ายนั้นขึ้นอยู่กับผู้ผลิต ผู้ค้าขาย เจ้าของร้านค้าและประชาชนทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า ปีนี้ คือ ปีแห่งการสร้างความเข้มแข็งในการผลิตสินค้าของอิหร่าน แต่เราก็จะต้องมาดูว่า ในประเด็นเหล่านี้นั้น เราได้ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดและได้กระทำอะไรไปแล้วบ้าง

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเข้าร่วมในสนามต่างๆของการปฏิวัติ คือ การช่วยเหลือที่ดีที่สุดของประชาชนที่มีต่อประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า “ศัตรูต่างพยายามที่จะสร้างข่าวลือและข้อกล่าวหาให้กับประชาชนและให้เกิดมีการปะทะกัน แต่พวกเขานั้นก็ไม่มีความสามารถ เพราะว่า ประชาชนจะยืนหยัดต่อการกระทำเหล่านี้ของศัตรูอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติและรัฐอิสลามนั้นเกิดขึ้นจากความต้องการและการสนับสนุนของประชาชน และการดำเนินอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าชาติมหาอำนาจด้วยกับความเหิ้มเกริมของพวกเขาได้เรียกร้องให้ประชาชนต้องออกมาเผชิญกับรัฐนี้ และประชาชนทั้งหลายก็จะต้องยืนหยัดต่อการโฆษณาชวนเชื่อและมีการขับเคลื่อนในการต่อต้านสิ่งนี้ด้วย และเยาวชนทั้งหลายด้วยกับความเฉลียวฉลาด จะต้องทำให้สื่อสังคมออนไลน์นั้นได้กลายเป็นเครื่องมือในการตบปากเหล่าศัตรูให้ได้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า มาตรการในการคว่ำบาตรเป็นเหตุให้เกิดแรงกดดันและการเกิดปัญหาต่างๆในประเทศ โดยกล่าวเสริมว่า “พวกอเมริกาได้พูดอย่างสบายใจว่า มาตรการในการคว่ำบาตรต่ออิหร่านนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่ประชาชาติอิหร่านก็จะทำให้พวกเขาต้องพบกับความล้มเหลว หากพระเจ้าทรงประสงค์ ซึ่งไม่เคยมีในหน้าประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการคว่ำบาตรอย่างสมบูรณ์ต่ออิหร่านในช่วงสงครามแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยกล่าวเสริมว่า “เหล่าศัตรูทั้งหลาย แม้แต่ลวดหนามก็ยังไม่เคยให้กับพวกเราเลย แต่ประชาชาติและเจ้าหน้าที่ทั้งหลายได้ทำให้มาตรการเหล่านี้กลายเป็นที่พึ่งพายังภายในและการผลิบานของศักยภาพต่างๆ โดยที่ว่า ตามวิถีทางนี้อิหร่านในวันนี้ได้กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจที่ไม่มีผู้ใดเหมือนในภูมิภาคนี้ไปแล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นอีกว่า “เราจำเป็นที่จะต้องเก็บเอาประสบการณ์อันสดใสนี้และการพึ่งพายังเยาวชนทั้งหลาย มาเป็นบทเรียน โดยทำให้การคว่ำบาตรในปัจจุบันนี้ด้วยกับการทำงาน ความพยายามและความเบิกบาน และด้วยกับการไม่ต้องการพึ่งพายังผู้ใด ซึ่งจะทำให้เรานั้นไปถึงยังจุดที่พวกเขาเหล่านั้นจะต้องการอิหร่านอันทรงเกียรตินี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกว่า ด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าและการมุกอวิมัต(การยืนหยัดต้านทาน) และความเฉลียวฉลาดของประชาชนและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ในการทำงานและความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อน ก็จะทำให้พวกเรานั้นก้าวผ่านมาตรการในการคว่ำบาตรและปัญหาต่างๆ เหมือนดั่งที่ในสงครามศักดิ์สิทธิ์ ที่เราได้ทำให้ซัดดาม ฮุสเซนต้องพบกับความล้มเหลวและจบชีวิตไปแล้ว ในขณะที่สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้ประสบความสำเร็จในแต่ละวัน และก็จะทำให้เหล่าศัตรูของประชาชาตินี้ในสหรัฐและตะวันตกต้องพบกับชะตากรรม เฉกเช่นเดียวกับซัดดามอย่างแน่นอน”

 

 

 

 

 

 

700 /