สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามเข้าร่วมพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษามหาวิทยาลัยการทหาร

“เราจะต้องมีความเข้มแข็งในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายของศัตรู”

เมื่อช่วงเช้าของวันเสาร์ที่ผ่านมา ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดทุกเหล่าทัพได้ปรากฏตัวในพิธีการสำเร็จการศึกษาของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทหารอิมามฮุเซน (อ)

ในช่วงเริ่มต้นของพิธีการนี้ ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้เข้าร่วมในสุสานของบรรดาชะฮีดผู้ไร้นาม พร้อมทั้งท่านผู้นำยังได้อ่านซูเราะฮ์อัลฟาติฮะฮ์ และร่วมเทอดเกียรติรำลึกถึงบรรดาชะฮีดในสงครามแห่งการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์

ท่านผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพได้ร่วมในการสวนสนามของเหล่ากองพลทั้งหลาย

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอียังได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบของบรรดาทหารผ่านศึกและได้เข้าพบพร้อมทั้งพูดคุยกับกลุ่มครอบครัวของบรรดาชะฮีด ผู้เสียสละชีพ

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในพิธีการนี้ยังได้ชี้ถึงแผนการสมรู้ร่วมคิดของศัตรูเพื่อต้องการสร้างช่องว่างให้เกิดขึ้นในรัฐอิสลามกับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาเจ้าหน้าที่นั้นจะต้องมีความเฉลียวฉลาด การยืนหยัด ความสามัคคีแห่งชาติและการหลีกเลี่ยงจากการเป็นชนชั้นสูง โดยท่านยังเน้นว่า “หากว่ามีความเข้มแข็งในองค์ประกอบของการมีอำนาจแห่งชาติและในการเผชิญหน้ากับศัตรูจะต้องไม่แสดงถึงความอ่อนแอและจะต้องทำให้เหล่าผู้ที่ประสงค์ร้ายพบกับความล้มเหลวอีกครั้งในการบรรลุสู่เป้าหมายของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงโองการจากอัลกุรอานที่กล่าวว่าให้มีความอดทนและความยำเกรงที่จะไม่ทำให้แผนการสมรู้ร่วมคิดของศัตรูนั้นมีผล โดยกล่าวเสริมว่า “การปฏิวัติอิสลามนั้นมีรากฐานและมีอนาคตที่รุ่งเรือง อีกทั้งการเข้าถึงยังอุดมการณ์ในระยะยาวนั้นจะต้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมาก”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวอีกว่า "การมีความยำเกรง หมายถึง การระมัดระวังตนเองในการเผชิญหน้ากับศัตรู ซึ่งจะต้องมีความระมัดระวังอย่างเฉลียวฉลาดในการต่อกรกับแผนการร้ายของศัตรูและการไม่ไว้ใจต่อพวกเขา ทั้งยังมีการบริหารจัดการอย่างมีสติปัญญาและการออกห่างจากความประมาทและความอ่อนแอ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า “หากว่า ประชาชนทุกคนและบรรดาเยาวชนทั้งหลาย และเช่นกัน รวมทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมือง เศรษฐกิจ การทหารและความมั่นคง จะต้องมีความอดทนและมีความยำเกรง และด้วยกับความสำเร็จจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบและความเสียหายแต่อย่างใด”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงประเด็นองค์ประกอบในการมีอำนาจของรัฐอิสลามและกล่าวถึงการยึดครองเหนืออิหร่านของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในตลอดช่วง 57 ปีในระบอบการปกครองราชวงศ์ชาฮ์ปาห์ลาวี โดยกล่าวว่า “ด้วยกับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามได้ทำการแก้มัดโซ่ตรวนจากมือและเปิดเท้าของประชาชน อีกทั้งยังให้พวกเขาได้รู้สึกถึงรสชาติที่แท้จริงของความเป็นอิสระและเสรีภาพ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า"ความเชื่อมั่นต่อตัวตนของชาติ" และ "ผลของอิทธิพลของประชาชนในทุกภาคส่วนของประเทศ" คือ หนึ่งในองค์ประกอบในการมีอำนาจของสาธารณรัฐอิสลาม โดยท่านกล่าวเสริมว่า "ความเชื่อมั่นต่อชาติจะต้องมาพร้อมกับความศรัทธา ซึ่งความศรัทธานั้นจะเป็นดั่งดวงจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างกายของการขับเคลื่อนทั่วไปของประเทศ เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ความหวัง และการเสียสละในสังคมซึ่งเรานั้นได้เห็นตัวอย่างมากมายในช่วงสมัยของการป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความกล้าหาญของการดำเนินการ คือ หนึ่งในผลของความศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อชาติ โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ด้วยกับการมีจิตวิญญาณเช่นนี้ จะทำให้กองกำลังซิพอฮ์ องค์กรอาสาสมัครญิฮาดี และการขับเคลื่อนทั่วไปของประเทศนั้นมีความกล้าหาญ ซึ่งจะทำให้กองกำลังทหารนั้นมีชีวิตชีวาขึ้นใหม่อีกครั้ง และจะมีการให้บริการและการขับเคลื่อนไปอย่างภาคภูมิใจ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การมีอำนาจที่แท้จริง เกิดขึ้นมาจากความร้อนระอุภายในของประชาชาติที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระและเสรีภาพ โดยกล่าวเสริมว่า “นี่ไม่ใช่การมีอำนาจที่บางคนได้ให้ค่าใช้จ่ายกับต่างชาติและการซื้ออาวุธมาจากพวกเขาแล้วเอามาเก็บเอาไว้ในโกดัง แม้พวกเขายังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากอาวุธนั้นได้ก็ตาม หรือในอีกด้านหนึ่งของโลก พวกเขาก็ต้องการที่จะตั้งฐานที่มั่นในประเทศหนึ่งและมีการสูบเลือดของประชาชนเพื่อรักษาฐานอำนาจของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งนี่คือตัวอย่างของความโง่เขลาและความอัปยศอดสู ไม่ใช่การมีอำนาจ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำว่า ประชาชาติอิหร่านจะต้องใช้ประโยชน์อย่างตรงเวลาทั้งในการรักษาและการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์ประกอบของการมีอำนาจ โดยท่านยังได้ตั้งข้อสังเกตุว่า “กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม คือ หนึ่งในองค์ประกอบของการมีอำนาจที่จะต้องมีการปรับคุณภาพให้สูงยิ่งขึ้นและการใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันมากมาย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวว่า บางคนกล่าวว่า ทำไมท่านจึงพูดเกินจริงในการมีอำนาจของประชาชาติอิหร่าน ซึ่งในคำตอบก็คือ นี้ไม่ได้เกินจริง แต่ตรงกับความเป็นจริงต่างหาก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดในการมีอำนาจของประชาชาติอิหร่าน คือ หนึ่งในชาติมหาอำนาจที่ไร้ซึ่งความปราณีและโหดร้ายที่สุดของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาที่ได้ใช้ทุกวิธีการในความพยายามเผชิญหน้ากับประชาชาติอิหร่านในช่วงตลอด 40 ปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะทำผิดพลาดได้ ขณะที่ในทางตรงกันข้าม ประชาชาติอิหร่านนั้นได้มีการพัฒนาก้าวหน้าที่มากกว่า”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงนอกเหนือจากศัตรูภายนอกแล้ว ก็ยังมีศัตรูภายในที่มีการสมรู้ร่วมคิดในตลอดช่วงหลายปีผ่านมา โดยท่านกล่าวว่า “ในช่วงแรกของชัยชนะในการปฏิวัติอิสลาม ได้เกิด 3 ปรากฏการณ์ในประเทศ ปรากฏการณ์ทางเสรีนิยมที่เชื่อมโยงกับสหรัฐอเมริกาและชาติตะวันตก ปรากฏการณ์ของพวกคอมมิวนิสต์ที่ติดอาวุธ และปรากฏการณ์พวกมุนาฟิกีน (ผู้กลับกลอก) ที่ผิวเผินยังคงไว้ซึ่งความเป็นอิสลาม แต่ภายในนั้นกับซ่อนเร้นถึงความชั่วร้าย การปฏิเสธและการไม่มีอัตลักษณ์ แม้แต่ยังได้เข้าร่วมกับซัดดามอย่างน่าอับอายและในขณะนี้ก็มีการให้บริการทางด้านข่าวกรองข้อมูลลับให้กับรัฐบาลต่างๆ อาทิเช่น ฝรั่งเศส อังกฤษและสหรัฐอเมริกา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นย้ำว่า ทั้งสามปรากฏการณ์นั้นได้รับพ่ายแพ้และยอมจำนนต่อการปฏิวัติอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า "แน่นอนว่ายังมีอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึงและประชาชาติก็ได้ก้าวมันผ่านมาแล้ว”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรในภูมิภาคโดยสหรัฐอเมริกาในการเผชิญกับสาธารณรัฐอิสลาม คือ อีกเหตุผลหนึ่งในการมีอำนาจของประชาชาติอิหร่าน โดยกล่าวเสริมว่า “หากว่าสหรัฐจะบรรลุถึงเป้าหมายของตนได้เพียงลำพังแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรกับประเทศต่างๆที่หลงผิดในภูมิภาคหรอก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังตั้งข้อสังเกตว่า "เนื่องจากเหตุผลในการมีอำนาจและความก้าวหน้าของรัฐอิสลาม จึงทำให้ความเป็นปฏิปักษ์ของสหรัฐนั้นเพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่า ความเกลียดชังของประชาชาติอิหร่านต่อสหรัฐอเมริกาก็จะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการวางแผนการของศัตรูในสถานการณ์ปัจจุบัน และกล่าวว่า “แผนการของศัตรู คือ การสร้างการแตกแยกระหว่างรัฐกับประชาชน และแผนการนี้สะท้อนถึงความโง่เขลาของพวกเขา เพราะว่าพวกเขาไม่ทราบว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากประชาชาติอิหร่านเท่านั้น ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จะไม่มีวันแยกออกจากกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านนั้นเป็นรัฐที่ต้องพึ่งพาประชาชนและความศรัทธา ความรักและความอ่อนโยน โดยได้ชี้ถึงความล้มเหลวในความพยายามต่างๆของเหล่าผู้นำสหรัฐคนก่อนๆในการเผชิญหน้ากับสาธารณรัฐอิสลาม และกล่าวเสริมว่า “เป้าหมายจากกระแสแรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน คือ การสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นกับประชาชน แต่ด้วยกับอำนาจของพระเจ้า จะทำให้เรานั้นมีความผูกพันกับประชาชนได้เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน และด้วยกับความสามัคคีจะเป็นตัวทำลายศัตรู อีกทั้งยังจะต้องมีความเข้มแข็งในบรรดาเยาวชน ผู้ศรัทธาและมีแรงจูงใจ อีกทั้งยังเป็นนักการปฏิบัติอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงคนรุ่นใหม่ของประเทศว่า “ศัตรูนั้นขัดแย้งกับอิสรภาพ การมีศักดิ์ศรี และความก้าวหน้า อีกทั้งการปรากฏตัวของพวกท่านในสนามแห่งวิชาการ การเมือง และความก้าวหน้าของประเทศ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังเน้นถึงตราบใดที่ศัตรูยังมีความสามารถก็จะทำร้ายต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยกล่าวเสริมว่า “หากว่าพวกท่านได้เดินตามเส้นทางแห่งความอดทนและความยำเกรงพร้อมทั้งความเฉลียวฉลาด ในการบริหารจัดการ และความสามัคคีต่อชาติด้วยการมีอำนาจต่อไป แน่นอนว่าพวกที่จ้องจะทำร้ายก็จะไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการยอมจำนนของบางคนในการเผชิญหน้ากับศัตรูโดยกล่าวเสริมว่า “ค่าใช้จ่ายในการยอมจำนนนั้นมีมากกว่าค่าใช้จ่ายในการยืนหยัดและต้านทาน ขณะที่ผลประโยชน์และความสำเร็จของการยืนหยัดนั้นมีมากกว่าค่าใช้จ่ายในการยอมจำนนเสียอีก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นว่า “การยอมจำนนต่อศัตรู จะไม่มีผลใดๆนอกจากการทำให้ไม่มีอัตลักษณ์และการหมดกำลังใจนั่นเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงกฏหมายหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระผู้เป็นเจ้า โดยกล่าวว่า “หากว่า พวกท่านไม่มีความอ่อนแอและไม่ยอมจำนนต่อศัตรู พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่งก็จะไม่ละทิ้งความอดทนและการต่อสู้นี้อย่างแน่นอน และพระองค์จะทรงประทานผลรางวัลอย่างเหมาะสมที่สุดให้กับพวกท่าน”

ในช่วงท้าย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เรียกร้องให้ประชาชาติอิหร่านทุกคนและบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต้องมีความเฉลียวฉลาดและความระมัดระวังในการกระทำของตน โดยกล่าวเสริมว่า “เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย จะต้องมีความระมัดระวังจากความประมาท ความเกียจคร้าน การเป็นชนชั้นสูง การทรนงตนต่อประชาชนและการออกห่างจากการยึดถือในตำแหน่งเพียงไม่กี่วันในความเป็นผู้นำ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “ในวันที่ประชาชาติอิหร่านจะเข้ามายืนในจุดที่ศัตรูนั้นไม่กล้าที่จะโจมตีทางทหาร เศรษฐกิจ ความมั่นคงและทางการเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้และเหล่าเยาวชนก็จะได้เห็นมัน”

ในพิธีการนี้ พลเอก ญะอ์ฟะรี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ได้ชี้ถึงการเผชิญหน้าของฝ่ายผู้ด้อยโอกาสกับฝ่ายชาติมหาอำนาจ โดยกล่าวว่า “ประชาชาตินักการปฏิวัติชาวอิหร่านซึ่งอยู่ในช่วงของการมีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งที่ส่งผลให้เกิดยุคสมัยใหม่ของความไม่ไว้วางใจต่อสหรัฐฯและการสะสมพลังงานในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายต่างๆของมหาอำนาจ”

พลเอก ญะอ์ฟะรี กล่าวเสริมว่า “เหล่าเยาวชน ผู้มีศรัทธาและนักปฏิวัติของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามได้เตรียมพร้อมในการเผชิญหน้ากับทุกแผนการสมรู้ร่วมคิดของศัตรู และทุกคนก็สามารถมองอย่างลึกซึ้งในการขับเคลื่อนของเหล่าบุรุษที่กล้าหาญในการทำนายถึงการล่มสลายของจักรพรรดิ์ต่างๆที่มองผิวเผินนั้นมีอำนาจ”

นายพล ฟัฎลี อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซน (อ) ยังได้กล่าวรายงานเกี่ยวกับการดำเนินการและแผนงานของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เช่น การเพิ่มศักยภาพทางการสู้รบ และการเข้าร่วมในการช่วยเหลือในการบรรเทาทุกข์ของผู้ประสบอุทกภัยแผ่นดินไหว”

ในพิธีการนี้ ยังมีบรรดาผู้บัญชาการ ผู้บริหาร ครูและนักวิจัยบางส่วนของมหาวิทยาลัยฮุเซน(อ) ได้รับของขวัญจากมือของท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดทุกเหล่าทัพและตัวแทนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซนจำนวน 2 คนได้รับติดยศและอินธนูบนบ่าโดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม

การปฏิบัติในโครงการ “ข้าพเจ้าเป็นนักการปฏิวัติ”ถือว่าเป็นกิจกรรมในการยืนหยัดต่อการพิทักษ์ในการปฏิวัติอิสลามและยังเป็นการปฏิบัติในภาคสนาม นั่นคือ หนึ่งในกิจกรรมของพิธีการนี้ที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัยอิมามฮุเซน(อ)

นอกเหนือจากในพิธีการนี้ ยังมีการสวนสนามของเหล่ากองพลทหารต่อหน้าท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดทุกเหล่าทัพอีกด้วย

 

 

700 /