สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามในงานอสัญกรรมท่านอิมามโคมัยนี

สำนักงานพลังปรมาณูแห่งชาติจะต้องเตรียมการในการเสริมสมรรถนะ

“สำนักงานพลังปรมาณูแห่งชาติจะต้องเตรียมการในการเสริมสมรรถนะของยูเรเนียมให้ถึงระดับ 190,000 swอย่างเร็วที่สุด”

เมื่อช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ผ่านมา ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวปราศรัยท่ามกลางการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหมายของประชาชนที่มีความรักต่อการปฏิวัติอิสลาม เนื่องในวันครบรอบ 29 ปีแห่งการอสัญกรรมของท่านอิมามโคมัยนี( ร.ฮ )โดยท่านผู้นำได้กล่าวอธิบายถึงความคล้ายคลึงทางบุคลิกภาพของท่านอิมามผู้ทรงเกียรติกับคุณลักษณะทางปัจเจกบุคคลและการปกครองของท่านอะมีรุลมุมินีน อะลี(อ) โดยเฉพาะในการมีชัยชนะและเกียรติยศ และท่านยังได้อธิบายถึง 7 ประการในแบบฉบับทางด้านการกระทำและพฤติกรรม และการบริหารจัดการของท่านอิมามในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู อีกทั้งการพัฒนาของระบอบรัฐอิสลาม โดยท่านได้เน้นว่า “หลังจากท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่ได้จากพวกเราไปแล้วนั้น เราก็ได้ดำเนินการตามวิถีและแบบฉบับอันนั้นของท่านมาโดยตลอดและจะมีการดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง และด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า และการยึดถือต่อความศรัทธา การยืนหยัด และความฉลาดหลักแหลมของประชาชาติและเจ้าหน้าที่ จะทำให้แผนการรร้ายของศัตรูในปัจจุบันที่สร้างความกดดันทางเศรษฐกิจ ทางจิตวิทยา และทางการปฏิบัติ นั้นได้ล้มเหลวลงอย่างแน่นอน”

ในพิธีการรำลึกครั้งนี้ บรรดาผู้นำทั้งสามสภาแห่งประเทศ เจ้าหน้าที่รัฐฯ บรรดาทุตานูทูตและตัวแทนจากประเทศต่างๆก็เข้าร่วมด้วย โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ท่านอิมามโคมัยนีนั้นคือ สัญลักษณ์ที่แท้จริงของการปฏิวัติอิสลาม และท่านยังชี้ถึงความประจวบเหมาะกับช่วงสัปดาห์แห่งการเป็นชะฮาดัตของท่านอะมีรุลมุมินีน อะลี (อ) ซึ่งตรงกับวันครบรอบแห่งการอสัญกรรมของท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่แห่งการปฏิวัติอิสลาม โดยท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ความคล้ายคลึงของผู้ที่ปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ยิ่งของท่านอะมีรุลมุมินีนกับผู้นำของเขา แสดงถึงความภาคภูมิใจของประชาชาติอิหร่านและประชาชาติอิสลาม และการให้ความสนใจต่อความคล้ายคลึงเหล่านี้ จะเป็นแนวทางที่สำคัญและมีประโยชน์อย่างยิ่งในการแสวงหาแนวทางที่ถูกต้องในการรู้จักท่านอิมามโคมัยนีให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้อธิบายถึงประเด็นความคล้ายคลึงของท่านอิมามผู้ทรงเกียรติกับท่านอิมามอะลี ใน 3 บทนำที่สำคัญด้วยกัน โดยในบทนำแรกนั้น ท่านผู้นำได้กล่าวว่า “ในตัวของท่านอะมีรุลมุมินีน อะลี (อ)นั้น มีสองลักษณะที่หากว่ามองแบบผิวเผินจะมีความแตกต่างกัน ในอีกด้านหนึ่ง คือ ความเข้มแข็งและการยืนหยัดอย่างแน่วแน่ในการเผชิญหน้ากับทุกๆการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง และการเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ฉ้อฉลและเผด็จการทั้งหลาย ในทางตรงกันข้าม ความอ่อนโยนและนุ่มนวลในการรำลึกถึงพระเจ้า และในการเผชิญหน้ากับบรรดาผู้ถูกกดขี่ บรรดาผู้ด้อยโอกาสและคนยากจนขัดสน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การยืนหยัดของท่านอิมามอะลีในการเผชิญหน้ากับมุอาวียะฮ์ และสาวกบางคนที่เก่าแก่และมีเกียรติยิ่ง แต่เขานั้นกลับเป็นผู้ลุ่มหลงโลกนี้(ที่เป็นวัตถุ) และพวกคอวาริจญ์ คือ ตัวอย่างของความเข้มแข็งของท่านอิมามอะลี โดยท่านผู้นำได้กล่าวเสริมว่า “ ในขณะเดียวกัน ผู้นำแห่งพระเจ้าท่านนี้ ในการเผชิญหน้ากับบรรดาคนกำพร้าและผู้ด้อยโอกาส ได้แสดงถึงความอ่อนโยนและนุ่มนวล ซึ่งถือว่า เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างมาก”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงการมีสองลักษณะเช่นนี้ในบุคลิกภาพของท่านอิมามโคมัยนี โดยกล่าวว่า “ในอีกด้านหนึ่ง ท่านอิมามโคมัยนีได้ยืนหยัดและเข้มแข็งดุจดั่งโขดหินที่แข็งแกร่งและภูผาอันยิ่งใหญ่ในการเผชิญหน้ากับระบอบการปกครองที่เสื่อมโทรมและเผด็จการของชาห์ ปาห์เลวี สหรัฐอเมริกา และซัดดัมผู้รุกราน หรือแม้กระทั่งกับมิตรสหายของท่านซึ่งเขาเคยมีการประพฤติที่ไม่ชอบธรรมหนัก ในขณะที่เมื่อท่านได้เผชิญหน้ากับสารแห่งความจงรักภักดีและความเสียสละของมารดาของชะฮีด (ผู้สละชีพในหนทางแห่งพระเจ้า) และการปกป้องบรรดาผู้ที่ขาดแคลนที่ยากไร้ ท่านจะรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวอธิบายในบทนำที่สองของลักษณะต่างๆของท่านอะมีรุลมุมินีน โดยถือว่า ท่านอิมามอะลีนั้นมี 3 ลักษณะที่เมื่อมองแบบผิวเผินนั้นมีความขัดแย้งกัน ก็คือ การมีอำนาจ ความโดดเดี่ยว และการมีชัยชนะในบั้นปลาย

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการบริหารจัดการอย่างมีอำนาจของท่านอิมามอะลี (อ) ในการปกครองของท่าน โดยกล่าวว่า “ การมีเจตนาอันมุ่งมั่น ความกล้าหาญ การรู้จักศิลปะในการต่อสู้ การมีวาทศิลป์ที่เข้มแข็งและมีพลังดึงดูด ทั้งหมดนั้นคือ สัญลักษณ์ของการมีอำนาจของท่านอะมีรุลมุมินีน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังถือว่า สัญลักษณ์ของความโดดเดี่ยวของท่านอิมามอะลี ผู้นำของเหล่าผู้ที่ยำเกรง คือ การใส่ร้ายที่ไม่ชอบธรรมของเหล่าศัตรู การอิจฉาริษยาต่อท่าน และการมีพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของท่าน โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ความกดดันต่างๆที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ และความโดดเดี่ยวอันลึกซึ้งของท่านอิมามอะลีนั้น ถึงขนาดที่อิมามผู้ที่มีขันติธรรมที่สุดที่หัวใจของท่านดุจดั่งท้องทะเล จำต้องเปิดหัวใจของท่านกับบ่อน้ำ(ในการระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา)”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ ด้วยกับทั้งหมดนี้ในที่สุด ชัยชนะก็ประสบกับท่านอะมีรุลมุมินีนในช่วงเวลาอันยาวนาน เพราะว่าในวันนี้ นามและบุคลิกภาพ วิถี และการเรียกร้องความยุติธรรมของท่านอิมามอะลีนั้นเป็นที่เด่นชัดและประจักษ์ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่ก็ไม่มีการกล่าวถึงเหล่าศัตรูของท่านเลย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายถึงความคล้ายคลึงกันของผู้ที่ปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ต่อท่านอะมีรุลมุมินีน หมายถึง ผู้นำ ผู้ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติอิสลาม กับลักษณะต่างๆของท่านอิมามอะลี (อ) โดยกล่าวว่า “ท่านอิมามโคมัยนี ด้วยกับการมีอำนาจอันพิเศษของท่านได้ทำให้ระบอบการปกครองที่เผด็จการและมีการสืบทอดกันมายาวนาน หลังจาก 2 พันกว่าปีได้ล้มสลายลงและยังได้ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องพบกับความปราชัย โดยเป้าหมายของการเกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์ 8 ปี อิรัก-อิหร่านนั้น เพื่อทำลายในการถอนรากถอนโคนของการปฏิวัติอิสลามและระบอบรัฐอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ขณะเดียวกัน ท่านอิมามโคมัยนีก็เหมือนกับนายของเขา คือ การมีความโดดเดี่ยว ขณะที่เหล่าศัตรูได้ใช้การโฆษณาชวนเชื่อที่แพร่หลายอย่างต่อเนื่อง การดูถูกเหยียดหยาม และพฤติกรรมของบางคนซึ่งไม่ได้เป็นที่คาดหวัง บ่งบอกถึงความโดดเดี่ยวของท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม โดยที่สามารถเห็นได้ในคำพูดอันแข็งแกร่งและมั่นคงของท่านอิมามที่แสดงถึงความโดดเดี่ยวอันนั้นของท่าน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “ท่านอิมามผู้ยิ่งใหญ่ ก็ยังมีลักษณะประการที่สามของท่านอะมีรุลมุมินีน นั้นก็คือ ชัยชนะในบั้นปลาย ซึ่งชัยชนะนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง การคงอยู่ในสภาพเดิม การพัฒนาและก้าวหน้าในระบอบรัฐอิสลาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวย้ำว่า “ส่วนมากของความคาดหวังของท่านอิมามโคมัยนีได้เกิดขึ้นในช่วงการมีชีวิตของท่าน และส่วนมากของเป้าหมายเหล่านี้ได้เกิดขึ้นหลังจากการอสัญกรรมของท่าน เช่น การมีความเชื่อมั่นตนเอง การพอเพียง ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความคืบหน้าทางการเมือง การขยายอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาคตะวันตกของเอเชียและแอฟริกาเหนือ”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นถึงประเด็นนี้ว่า “เป้าหมายและอุดมการณ์อื่นๆ ของท่านอิมามด้วยกับการอนุมัติของพระผู้เป็นเจ้าก็จะเกิดขึ้น และสาธารณรัฐอิสลามก็จะมีความสูงส่งและยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละวันอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การกระทำของเหล่าศัตรูนั้นไม่ใช่ด้วยกับการมีอำนาจ แต่ด้วยความตื่นตระหนกและความกระวนกระวายใจต่างหาก โดยท่านกล่าวแสริมว่า “ประชาชาติอิหร่านที่เคารพรัก พึงรู้ไว้เถิดว่าศัตรูกำลังโกรธและกระวนกระวายใจในการมีความก้าวหน้า ความยิ่งใหญ่และการยืนหยัดอย่างแน่วแน่ของเราโดยมีการตีโพยตีพายในการกระทำของพวกเขาเอง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ในการปราศรัยกับการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของประชาชนในพิธีการรำลึกครบรอบปีแห่งการอสัญกรรมของท่านอิมามโคมัยนี ยังได้อธิบายถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างฝ่ายเหล่าศัตรูของท่านอะมีรุลมุมินีนกับฝ่ายศัตรูของท่านผู้นำ ผู้ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติอิสลาม

โดยท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติ กล่าวเสริมว่า ผู้นำของผู้ที่เรียกร้องความยุติธรรมได้เผชิญหน้ากับศัตรูทั้งสามฝ่าย กอซิฏีน หมายถึง เหล่าศัตรูหลักและผู้ที่ต่อต้านระบอบการปกครองของท่าน นากิษีน คือ สหายผู้ที่อ่อนแอ มาริกีน คือ กลุ่มชนที่โง่เขลาที่มีผู้นำที่ทรยศ โดยพวกเขาคิดว่าได้ปฏิบัติตามอัลกุรอาน ในขณะที่พวกเขานั้นได้เผชิญหน้าต่ออัลกรุอานที่เดินได้นั่นคือ ท่านอะมีรุลมุมินีน”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวเสริมว่า “ฝ่ายศัตรูและผู้ที่ต่อต้านท่านอิมามก็ประกอบด้วยกับ 3 กลุ่มด้วยกัน กอซิฏีน คือ สหรัฐอเมริกา รัฐเถื่อนไซออนิสต์ และเหล่าพันธมิตรของพวกเขาที่เป็นศัตรูกับหลักการของสาธารณรัฐอิสลาม นากิษีนหรือผู้ที่ผิดสัญญาและสหายที่อ่อนแอโดยพวกเขาได้ต่อต้านท่านอิมามด้วยกับเหตุผลความต้องการทางโลก และมาริกีน คือ พวกที่ไม่เข้าใจต่อสถานการณ์ของประเทศและขาดความเข้าใจต่อการแบ่งฝ่ายของศัตรู อีกทั้งยังไม่เข้าใจถึงการขับเคลื่อนที่แท้จริงของท่านอิมาม”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า พวกมุนาฟิก คือ ตัวอย่างของพวกมาริกีน ด้วยกับเหตุผลที่ผู้นำของพวกเขานั้นเป็นผู้ทรยศต่อชาติ เนื่องจากความโง่เขลาและการถูกหลอกใช้ของพวกเขา จึงทำให้พวกเขาเป็นศัตรูกับท่านอิมาม

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงการมีชัยชนะของท่านอิมามโคมัยนีในการเผชิญหน้ากับทั้งสามฝ่ายของศัตรู โดยกล่าวเสริมว่า “ในวันนี้ ทั้งสามกลุ่มนี้ยังได้ยืนเรียงรายในการต่อต้านมรดกอันยิ่งใหญ่ของท่านอิมาม นั่นคือ สาธารณรัฐอิสลาม ขณะที่กลุ่มผสมเหล่านี้ได้สร้างปัญหาต่างๆให้เกิดขึ้น ซึ่งทำให้การขับเคลื่อนของประเทศนั้นล่าช้าและยุ่งยากขึ้น แต่ก็ไร้ความสามารถในความก้าวหน้าของประเทศได้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวถึงแบบฉบับของพฤติกรรมของท่านอิมามโคมัยนี ในช่วง 10 ปีของการปรากฏของท่านในสาธารณรัฐอิสลามโดยระบุถึงลักษณะเด่น 7 ประการของแบบฉบับในพฤติกรรมเหล่านี้ของท่านอิมาม

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญกับเหล่าศัตรู เป็นลักษณะเด่นประการแรก โดยกล่าวว่า “ท่านอิมามไม่เคยย่อท้อในการเผชิญหน้ากับเหล่าศัตรู ขณะที่ท่านนั้นได้ยืนหยัดอย่างกล้าหาญและมีอำนาจในการเผชิญหน้ากับพวกเขา”

“การออกห่างจากความกังวลที่ได้เกิดขึ้นจากความรู้สึกและปราศจากการใช้สติปัญญา" เป็นลักษณะที่เด่นชัดประการที่สองที่ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้ชี้ถึงโดยกล่าวเสริมว่า “การตัดสินใจต่างๆของท่านอิมามนั้นมีความกล้าหาญ ขณะเดียวกันก็เป็นไปตามการคำนวณด้วยกับเหตุและผล”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงลักษณะเด่นชัดประการที่สาม โดยกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญอันดับแรก คือ สิ่งที่ท่านอิมามโคมัยนีได้ให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะในช่วงสมัยของการต่อสู้หรือในช่วงหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม และท่านก็ยังเน้นถึงประเด็นหลักๆและท่านก็ไม่เคยปล่อยให้เกิดปัญหาปลีกย่อยในการดำเนินการของท่านอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การเชื่อมั่นต่อขีดความสามารถของประชาชน โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนและผู้ที่มองโลกในแง่ดีต่อประชาชาติอิหร่าน ความไม่ไว้วางใจและการมองโลกในแง่ร้ายของศัตรู คือ อีกสองประการของลักษณะที่เด่นชัดในพฤติกรรมของท่านอิมาม โดยท่านผู้นำสูงสุดเน้นว่า “ท่านอิมาม ผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยไว้วางใจต่อศัตรูและข้อเสนอของพวกเขาแม้แต่เพียงนิดเดียว โดยท่านถือว่าศัตรูตามความหมายที่แท้จริงก็คือศัตรูนั่นเอง”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การให้ความสำคัญในความเป็นเอกภาพของประชาชาติ ประเทศชาติและการปฏิเสธการแบ่งเป็นสองขั้วในหมู่ประชาชน คือ อีกแบบฉบับหนึ่งในพฤติกรรมของท่านอิมาม และในแบบฉบับประการที่เจ็ดของท่านอิมามโดยท่านผู้นำกล่าวว่า “ท่านอิมามนั้นมีความศรัทธาอย่างสมบูรณ์ต่อชัยชนะและพันธสัญญาของพระเจ้า และท่านก็เชื่อมั่นว่า หากว่ามีการกระทำเพื่อแสวงหาความพอพระทัยต่อพระองค์แล้วละก็ จะไม่พบกับความเสียหายแต่อย่างใดเลย”

 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้กล่าวสรุปในประเด็นนี้ โดยเน้นว่า “หลังจากการจากไปของท่านอิมาม เราได้ดำเนินการตามแนวทางของท่าน และด้วยกับความกรุณาธิคุณของพระเจ้า หลังจากนี้ เราก็จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่องอีกเช่นกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม กล่าวเสริมว่า “ด้วยกับพลังและอำนาจของพระเจ้า เราจะไม่ย่อท้อและรู้สึกอ่อนแอ อีกทั้งเราจะยืนหยัดในข้อเรียกร้องมากเกินของเหล่าศัตรูที่ฉ้อฉล และเราจะไม่ตื่นตระหนกและใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ และเราจะไม่สนใจในเรื่องปลีกย่อย แต่จะสนใจในเนื้อหาหลักที่สำคัญเท่านั้น และด้วยกับเตาฟีก(ความสำเร็จ)ของพระเจ้าจะทำให้เราสามารถแยกแยะถึงความสำคัญอันดับต้นได้ และเราก็ยังเชื่อมั่นต่อประชาชนและขีดความสามารถของพวกเขา โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนทั้งหลาย แต่เราจะไม่ไว้วางใจต่อศัตรูเป็นอันขาดและเราปฏิเสธการแบ่งขั้วเป็นสองขั้วของประชาชนที่มีเกียรติของเรา และเรายังมั่นใจต่อชัยชนะของพระองค์และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ด้วยกับความศรัทธาและแรงจูงใจ อีกทั้งการมีความหวังจะทำให้เรานั้นได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้กล่าวถึงบทบาทของศัตรูในปัจจุบันและเน้นถึงบทบาทเหล่านี้มีแกนหลักด้วยกัน สามประการ คือ ความกดดันทางเศรษฐกิจ ทางจิตวิทยาและทางการปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นถึงการครอบงำทั้งประเทศ และท่านยังกล่าวอีกว่า “ในการวางแผนการเหล่านี้นั้นได้สร้างกระแสความกดดันทางเศรษฐกิจโดยเริ่มจากการคว่ำบาตรและการห้ามไม่ให้มีความร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆกับอิหร่าน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “พวกเขากล่าวในทางตรงกันข้ามกับการโฆษณาชวนเชื่อที่โกหกหลอกลวงโดยบอกว่าเป้าหมายของการคว่ำบาตร นั้นคือรัฐบาลอิหร่าน โดยพวกเขาได้พุ่งเป้าไปที่ประชาชาติเพื่อสร้างความกดดันให้กับพวกเขา และให้สาธารณรัฐอิสลามยอมรับในความฉ้อฉลของพวกเขา แต่ทว่าเหล่าศัตรูนั้นไม่รู้จักประชาชาติอิหร่านและสาธารณรัฐอิสลาม เพราะว่าด้วยกับพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า และด้วยกับความพยายามที่บรรดาเจ้าหน้าที่และความอุตสาหะของประชาชน จะทำให้แผนการร้ายของพวกเขาเหล่านั้นต้องพบกับความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงประการที่สองของแผนการร้ายของศัตรู คือ การสร้างความกดดันทางจิตวิทยาโดยท่านถือว่าประการนี้นั้นความสำคัญอย่างยิ่ง โดยท่านกล่าวเสริมว่า “ในส่วนหนึ่งของแผนการนี้ศัตรูได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงจุดแข็งของรัฐอิสลามและองค์ประกอบของการมีอำนาจแห่งชาติให้เป็นจุดอ่อนและเป็นการท้าทายเพื่อให้ประชาชาติอิหร่านต้องรู้สึกผิดหวังต่อกับจุดต่างๆเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า ความก้าวหน้าทางนิวเคลียร์ คือ ตัวอย่างของจุดแข็งและสร้างความภาคภูมิใจทางด้านเทคโนโลยีและวิทยาการของประเทศ โดยกล่าวว่า “ความพยายามของบรรดานักวิทยาศาสตร์เและผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเยาวชนในการผลิตแร่ยูเรเนียมโดยเสริมสมรรถนะได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ในสถานการณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามนั้นได้ตั้งเงื่อนไขและปัญหาต่างๆในการเสริมสมรรถนะ 20 เปอร์เซ็นของแร่ยูเรเนียมสำหรับการใช้งานในด้านทางการแพทย์ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีอำนาจทางวิชาการและเทคโนโลยี ซึ่งถือว่า นี่คือจุดแข็งและยิ่งใหญ่ของประชาชาติ อีกทั้งยังเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของประเทศชาติอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวเสริมว่า “ขณะนี้ ศัตรูได้พยายามปฏิบัติการทางจิตวิทยาและมีการกระทำหลักโดยที่ได้เปลี่ยนจุดแข็งของประเทศให้เป็นปัญหาที่ท้าทายและยังทำให้ประชาชาตินั้นต้องมองถึงเรื่องนี้ในแง่ที่ไม่ดีอีกด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า หนึ่งในจุดแข็งที่เกี่ยวกับความมั่นคงประเทศ ก็คือ การมีศักยภาพทางขีปนาวุธ โดยกล่าวเสริมว่า “ในช่วงสงครามศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเรานั้นไม่มีอาวุธยุทโธปกรณ์และความสามารถทางขีปนาวุธ จากเมืองต่างๆทางชายแดน จนถึงกรุงเตหะรานได้อยู่ภายใต้กองไฟของขีปนาวุธ แต่ทว่าบัดนี้ ด้วยกับความพยายามและอุตสาหะของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นเยาวชน เรานั้นสามารถกลายเป็นมหาอำนาจทางขีปนาวุธอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ได้และศัตรูก็ทราบดีว่า หากว่ามีการโจมตีด้วยขีปนาวุธเพียงครั้งเดียว เราก็จะตอบโต้กลับเป็นสิบครั้งด้วยกัน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นว่า “ศัตรูได้มีการปฏิบัติการทางจิตวิทยาโดยมุ่งเน้นถึงจุดแข็งของประเทศและก็ถือว่านี่เป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจที่ยังบางคนในประเทศได้เข้าร่วมเป็นเสียงเดียวกันกับพวกเขา”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า “การเรียกร้องความยุติธรรมระหว่างประเทศ และการสนับสนุนต่อประเทศที่ถูกกดขี่ คือ อีกหนึ่งในจุดแข็งของสาธารณรัฐอิสลาม โดยกล่าวเสริมว่า “ในขณะที่การสนับสนุนปาเลสไตน์และกองกำลังต้านทานในการเผชิญหน้ากับรัฐเถื่อนไซออนิสต์และการปกป้องอิสรภาพทุกพื้นที่ของประเทศในภูมิภาค คือ การรักษาศักดิ์ศรีให้กับสาธารณรัฐอิสลาม ขณะที่ศัตรูนั้นได้พยายามสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นโดยทำให้เป็นการแทรกแซงของอิหร่านในภูมิภาค”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฎิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงการเข้าร่วมเป็นเสียงเดียวกันของบางองค์ประกอบในประเทศกับศัตรูโดยกล่าวเสริมว่า องค์ประกอบเหล่านี้ เมื่อหลายปีก่อน ในกรุงเตหะราน ในวันอัลกุดส์ ได้กล่าววสโลแกนที่ว่า ไม่มีกาซ่า ไม่มีเลบานอน โดยการกระทำเช่นนี้ได้กลายเป็นการช่วยเหลือทางสงครามจิตวิทยาของศัตรูไปแล้วและสิ่งนี้ คือ ความอัปยศอดสูของพวกเขา”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงอีกตัวอย่างหนึ่งของการปฏิบัติการทางจิตวิทยาของศัตรู โดยกล่าวว่า “พวกต่างชาติและบางส่วนในประเทศจากการโฆษณาชวนเชื่อนั้นมีความเห็นว่า หากอิหร่านไม่ยอมรับความผิดปกติของข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) จะทำให้เกิดสงครามขึ้น ไม่เลย! คำพูดเช่นนี้เป็นการโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้ชี้ถึงคำพูดของเจ้าหน้าที่ยุโรปบางคนที่กล่าวว่า "ดูเหมือนว่ารัฐบาลเหล่านี้ต่างคาดหวังให้อิหร่านต้องอดทนต่อการคว่ำบาตรและการละทิ้งจากการปฏิบัติการทางด้านนิวเคลียร์ซึ่งถือว่าเป็นความต้องการในอนาคตของอิหร่าน อีกทั้งยังมีการดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่องในการปิดกั้นต่างๆกับอิหร่านอีกด้วย แต่พวกเขาทั้งหลายนั้น พึงรู้ไว้เถิดว่า ความฝันกลางวันของพวกเขาจะไม่เป็นจริงแต่อย่างใด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นอีกว่า “ประชาชาติและรัฐบาลอิหร่านจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไปในการถูกการคว่ำบาตรและการถูกปิดกั้นอื่นๆ รวมทั้งในการกักขังทางด้านนิวเคลียร์ด้วย”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังสั่งให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพลังงานปรมาณูของอิหร่านนั้นมีการเตรียมการที่จำเป็นในการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมให้ถึงระดับ 190,000 SWU(ซึ่งขณะนี้อยู่ภายใต้กรอบของ JCPOA) และให้เริ่มในวันพรุ่งนี้(วันอังคาร)ในการจัดเตรียมการดำเนินการตามคำสั่งที่ได้รับจากท่านประธานาธิบดี

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวสรุปในประเด็นการปฏิบัติการทางจิตวิทยาของศัตรู โดยท่านเน้นย้ำว่า “พวกเขานั้นได้พยายาม แม้แต่ในการใช้สงครามทางจิตวิทยา เพื่อที่จะให้เรานั้นได้ละทิ้งจุดแข็งและองค์ประกอบในการมีอำนาจแห่งชาติของเรา เพื่อที่พวกต่างชาตินั้นจะสามารถเข้าครอบงำประเทศ ประชาชาติ กำหนดชะตากรรมในอนาคตของเราได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าประชาชาติอิหร่านนั้นก็ได้ยืนหยัดในการต่อต้านการเคลื่อนไหวเหล่านี้”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ความกดดันทางปฏิบัติ เป็นแกนหลักที่สามของแผนการร้ายของศัตรูในการเผชิญหน้ากับประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ของอิหร่าน โดยกล่าวเสริมว่า “แบบแผนหลักของศัตรู นั้นคือ การสร้างความสับสนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในประเทศโดยการใช้ประโยชน์ที่ไม่ดีจากข้อเรียกร้องของประชาชน อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็จะล้มเหลวอย่างแน่นอน”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวเสริมเกี่ยวกับแผนการร้ายนี้อีกว่า “เป็นไปได้ว่าในพื้นที่หนึ่งหรือในเมืองหนึ่ง บรรดาคนงานหรือผู้ใดก็ตามที่มาจากประชาชนได้มีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ขณะที่ศัตรูนั้นได้ฉวยโอกาสเหล่านี้ในการแทรกซึมโดยการส่งกลุ่มชนจำนวนหนึ่งที่ชั่วร้ายเพื่อเข้าร่วมโดยทำให้การชุมนุมอย่างสันติของประชาชาตินั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่ต่อต้านความมั่นคงและความวุ่นวาย ทั้งยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของรัฐอิสลามและประชาชาติอีกด้วย”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังเน้นเตือนให้ประชาชนต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายนี้ของศัตรู โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้านั้นเชื่อมั่นอย่างเข้มแข็งว่าเหล่าศัตรูก็จะพบกับความมืดบอดอีกครั้ง ขณะที่ประชาชาติที่มีเกียรตินี้ ด้วยพลังอำนาจ ความกล้าหาญชาญชัย และความฉลาดหลักแหลมก็จะยืนหยัดในการเผชิญหน้ากับแผนการร้ายเหล่านี้”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ถือว่า การปรากฏตัวของประชาชนในภาคสนาม เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากและท่านยังได้ชี้ถึงวันอัลกุดส์สากลในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ โดยกล่าวเสริมว่า “ด้วยกับความโปรดปรานของพระเจ้าและบะรอกัต(ศิริมงคล)การเข้าร่วมของประชาชนในวันอัลกุดส์ในปีนั้น จะถือได้ว่ามีความเข้มแข็งและเข้มข้นกว่าหลายปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”

ในช่วงท้ายของการปราศรัยของท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้กล่าวถึงเยาวชนชาวอาหรับในภูมิภาคนี้เป็นภาษาอาหรับ โดยกล่าวว่า “วันนี้นั้นเป็นวันแห่งการกระทำและการดำเนินการของพวกท่าน ซึ่งพวกท่านทั้งหลายนั้นจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อความก้าวหน้าและอิสรภาพจากการปลดปล่อยประเทศของพวกท่านเอง”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงความอัปยศอดสูของบางรัฐบาลในชาติอาหรับในการเผชิญหน้ากับสหรัฐฯและการไม่มีจุดยืนที่ชัดเจนต่อศัตรูไซออนิสต์ โดยกล่าวเสริมว่า “บางรัฐบาลของชาติอาหรับได้กลายเป็นศัตรูของประชาชาติของตนอยู่ในขณะนี้เสียเอง และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นั้น ภาระหน้าที่ของเยาวชนชาวอาหรับทั้งหลายก็คือ จะะต้องทำลายกลไกอันมดเท็จนั้น”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังได้เน้นถึงอนาคตนั้นเป็นของเหล่าเยาวชนและพวกเขาก็จะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตด้วยกับการกระทำและการมีนวัตกรรมใหม่ โดยกล่าวว่า “หากว่ามีการสร้างอนาคตที่ถูกต้องแล้ว แน่นอนที่สุด ประชาชาติทั้งหลายทั้งหมดในอิสลามและชาติอาหรับ โดยเฉพาะเยาวชนของประเทศเหล่านี้ก็จะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน ”

ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลาม ยังกล่าวถึงเหล่าเยาวชนในประเทศมุสลิมทั้งหลาย โดยกล่าวว่า “พวกท่านจงอย่าได้หวาดกลัวต่อฝ่ายของศัตรู และจงเชื่อมั่นในคำมั่นสัญญาแห่งชัยชนะของพระเจ้าเถิด”

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังได้ชี้ถึงวันอัลกุดส์สากลกำลังจะเข้ามาถึง โดยท่านเน้นว่า “การเข้าร่วมในการเดินขบวนครั้งนี้ และการปกป้องสิทธิให้กับประชาชน นักต่อสู้ที่ยืนหยัดและถูกกดขี่ของปาเลสไตน์ นั้นในความจริง เป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างอนาคตที่ดียิ่งขึ้นต่อไป”

ในช่วงท้าย ท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามได้วิงวอนขอต่อพระเจ้าโปรดทรงประทานเตาฟีก(ความสำเร็จ)ให้กับบรรดาเยาวชนของประเทศอิสลาม และความต่อเนื่องในการยืนหยัดต้านทานให้กับพวกเขาด้วยเถิด”

700 /