สำนักผู้นำสูงสุดซัยยิด อาลี คาเมเนอี

อิมามนำนมาซประจำมัสยิดในกรุงเตหะรานเข้าพบท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม

มัสยิดเสมือนเป็นรากฐาน ศูนย์แห่งการชุมนุม การปรึกษาและการต่อสู้

เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ (21 สิงหาคม) บรรดาอิมามนำนมาซในมัสยิดต่างๆของกรุงเตหะรานได้เข้าพบท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม   โดยท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า มัสยิดเสมือนเป็นรากฐานและศูนย์แห่ง "การชุมนุม  การปรึกษา การต่อสู้ การวางแผนและการเคลื่อนไหวทางสังคมและวัฒนธรรม”  และชี้ถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างอิหม่านความศรัทธาของประชาชนในฐานะที่เป็นที่พึ่งพาหลักของการปฏิวัติและระบอบ และกล่าวเสริมว่า ในการระบุหน้าที่ในประเด็นปัจจุบันที่เกิดขึ้น ควรมีมุมมองด้านการเมืองและวัฒนธรรมเพื่อเป็นกระบวนองค์รวมเพื่อการขับเคลื่อนของสังคม

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้รำลึกปรัชญาของการกำหนดวันมัสยิดโลกว่า  แน่นอนยิ่งวันนี้เป็นวันที่เป็นแกนหลักของปฏิวัติ ด้วยการยืนหยัดและความต้องการสาธารณรัฐอิสลาม  และการเผามัสยิดอัลอักซอโดยน้ำมือของระบอบยิวไซออนิสต์ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการเผชิญหน้ากับประชาชาติอิสลามกับอิสราเอล  ที่ถูกประกาศโอไอซีอย่างเป็นทางการ และควรมีมุมมองในลักษณะเช่นนี้ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว 

ทานอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การก่อตัวของมัสยิดนั้นถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมของอิสลามเพื่อก่อให้เกิดองค์กรที่เป็นรูปร่างทางสังคมและการปฏิสัมพันธ์ของประชาชนที่วางอยู่บนแกนของ "การซิกร์ การนมาซ และการให้ความสำคัญในเรื่องราวของพระองค์ " และกล่าวเสริมว่า ในประวัติศาสตร์อิสลาม มัสยิดถือเป็นศูนย์กลางสำหรับการให้คำปรึกษา ให้ความร่วมมือและการตัดสินใจในประเด็นสำคัญทางสังคมทางการเมืองและการทหาร 

จากมุมมองนี้ ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เน้นไปที่ความสำคัญของการนมาซ ว่า นมาซควรปฏิบัติให้อยู่ในรูปลักษณะที่มีคุณภาพและให้ความใส่ใจต่อพระองค์อย่างลุ่มลึก พระห่างไกลจากข้อบกพร่องต่างๆ เช่นการละเลยและการโอ้อวด  และบทบาทของอิหม่ามนำนมาซในการอธิบายและการส่งเสริมภาคปฏิบัติและคำพูดในประเด็นของการนมาซในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงที่น่าดึงดูดและเร่าร้อนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก 

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ถือว่ามัสยิดเป็นฐานสำหรับการทำงานที่ดีทั้งหมด  และกล่าวเสริมว่า มัสยิดควรเป็นฐาน "ในการขัดเกลา การสร้างเสริมจิตใจทางธรรมและทางโลก การเผชิญหน้ากับศัตรู  เพิ่มพูนบาศีรัตและเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสร้างอารยะธรรมอิสลาม"  ด้วยเหตุนี้หน้าที่ของอิหม่ามนำนมาซนอกเหนือไปจากการนำนมาซแล้ว  คือ "ผดุงสัจธรรม ความยุติธรรม ความชอบธรรมอธิบายเรื่องราวศาสนาและประกาศแจ้งคำสอนของศาสนา"  

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อิหม่ามนำนมาซคือ "แกนของมัสยิด" และกล่าวเสริมว่า การเป็นผู้นำมัสยิดถือเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นงานหลัก และไม่ควรมองเป็นเพียงแค่เรื่องชายขอบแห่งภารกิจที่สำคัญนี้ที่ทำให้สิทธิของมัสยิดลดน้อยลง  แต่ควรที่จะ "การเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอและมีความสงบมั่น ปฏิบัตินมาซด้วยคุณภาพ การสนทนากับประชาชน  จัดเวทีแห่งความรู้และตอบคำถามให้กับเยาวชน" ซึ่งเหล่านี้คือการปฏิบัติในสิทธิของมัสยิดที่พึงมี  

ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า การกำหนดให้มัสยิดเป็นศูนย์กลาง ถือเป็นหนึ่งในศิลปะของท่านอิหม่ามโคมัยนี(รฎ) นับจากวันแรกของการปฏิวัติอิสลาม และกล่าวเสริมว่า   มัสยิดคือ "ฐานของการจัดกิจกรรมทางสังคม" และในการเสริมสร้างปัญญาและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆทางสังคมที่มีความจำเป็น 

ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า มัสยิดคือ "กำลังหลัก" ในการมุกอวิมัต โดยเฉพาะการมุกอวิมัตทางวัฒนธรรม ถ้าหากไม่มีกฎเกณฑ์และมาตรการทางวัฒนธรรมแล้วทุกอย่างจะหายไป 

ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า ศัตรูมีความพยายามในหลากหลายรูปแบบที่จะขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมให้ขยายในวงกว้างนับการเริ่มแรกของการปฏิวัติ และกล่าวเสริมว่า สิ่งกีดขวางและขว้างกั้นในการขับเคลื่อนของศัตรูที่มีอย่างต่อเนื่องนั้นคือ อีหม่านและความศรัทธาของประชาชน กล่าวคือ ปัจจัยเดียวกันกับสาเหตุหลักในความสำเร็จของการปฏิวัติอิสลามและการสถาปนาสาธารณรัฐอิสลาม 

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การปฏิวัติอิสลามเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงต่อรากฐานของระบอบการปกครองแห่งการครอบงำ  และกล่าวเสริมว่า ด้วยบารอกัตของ "อิสลามแห่งการปฏิวัติ" และ "การปฏิวัติอิสลาม" ทำให้วัตถุประสงค์หลักของบรรดาผู้อหังการโลกต้องล้มเหลว และอเมริกาต้องล้มเหลวในการครอบงำในภูมิภาคเอเชียตะวันตก 

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า หากขาดความศรัทธาและการยึดมั่นของประชาชาติต่ออิสลามแล้ว  อิหร่านก็จะเหมือนชาติอื่น ๆที่จะต้องตกอยู่ภายใต้ร่มธงของอเมริกาและนอกเหนืออเมริกา และสิ่งนี้เองที่ว่าทำไมพวกเขาจึงมีความลุ่มลึกและไม่มีที่สิ้นสุดในการเป็นปฏิปักษ์กับความศรัทธาของประชาชน 

ท่านผู้นำสูงสุดถือว่า บรรดาเยาวชนคือเป้าหมายโดยตรงของศัตรูที่จะแทรกซึมในด้านวัฒนธรรมและบ่อนทำลายความเชื่อละความศรัทธาของประชาชนซึ่งมันเป็นเป้าหมายหลัก และกล่าวเสริมว่า แม้จะมีการวางแผนที่แยบยลและทันสมัย แต่คลื่นเยาวชนผู้ศรัทธาในฐานะเป็นหนึ่งในสิ่งปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติซึ่งเยาวชนรุนใหม่ในวันนี้มีความสดใสและมั่นคงกว่าบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวในช่วงต้นๆของการปฏิวัติ 

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ประเมินบทบาทที่สำคัญของมัสยิดในการมุกอวิมัตและเสริมสร้างความแข็งแกร่งเชิงศิลปะแห่งรั้ววัฒนธรรม และกล่าวเสริมว่า มัสยิดคือสถานที่เคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมเป็นฐานแห่งการระดมพลที่ยิ่งใหญ่  

ท่านผู้นำสูงสุดได้แนะนำ บรรดาอิหม่ามนำนมาซในมัสยิดในการใช้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องในการทำงานในมัสยิด พร้อมกับยกกรณีตัวอย่าง เช่น  การประชุมร่วมระหว่างประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของการโฆษณาในสื่อต่างๆที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้อธิบายสิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ  "วัฒนธรรมและการบาศีรัตเชิงวัฒนธรรม " นั้นให้เป็นบรรทัดฐานในการทำงานด้านการเมืองอย่างแท้จริง  และกล่าวเสริมว่า การเมืองในความหมายที่แท้จริงนั้นไม่ได้หมายความว่า ฝักใฝ่หรือสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  แต่หมายความว่า มีมุมมองมหภาคและความสามารถในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวแบบสาธารณะ 

ทานผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่า ในมุมมองในความหมายทางการเมืองที่แท้จริงนั้น ควรตรวจสอบการเคลื่อนไหวแบบสาธารณะเพื่อสามารถตอบคำถามขั้นพื้นฐานได้บางอย่างได้อย่างชัดเจน:  วิถีชีวิตในปัจจุบันของเราที่จะนำไปสู่ทิศทางใด   มักจะเคลื่อนไปสู่ความยุติธรรมทางสังคมหรือ มันจะเคลื่อนไปยังทิศทางที่มีความเป็นอิสระและการก่อตัวของอารยะธรรมอิสลามหรือ   หรือว่ามีการขับเคลื่อนเพื่อการพึ่งพาอเมริกาและอิทธิพลต่างๆจากตะวันตก?

ท่านผู้นำสูงสุดกล่าวเสริมว่าแต่ทั้งนี้ในระหว่างมุมมองมหภาคและประเด็นข้อเท็จจริงที่สำคัญในปัจจุบันจุดยืนของมนุษย์ที่มีต่อตัวบุคคลและพรรคต่างๆและกลุ่มๆต่างๆก็จะสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน  

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ยกตัวอย่างในการอธิบายความสำคัญของการการวิเคราะห์และมุมมองแบบมหาภาค ว่า ในช่างที่เกิดวิกฤติฟิตนะห์ ข้าพเจ้าได้บอกกับผู้นำของกลุ่มฟิตนะห์ดังกล่าวไปแล้ว ว่า ในเชิงภายนอกพวกคุณอยู่กับระบอบ แต่ตามคำพูดของพวกคุณเองนั้นกำลังมีการประท้วงการเลือกตั้ง แต่พวกคุณจงรู้ว่าพวกคุณกำลังตกเป็นเครื่องมือของต่างชาติ โดยที่พวกเขาใช้พวกคุณในการเป็นเครื่องมือเพื่อทำลายระบอบ  

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า ทว่าพวกคุณไม่เข้าใจคำพูดของข้าพเจ้า  และทุกคนก็เข้าร่มในการประท้วง และทุกคนก็เห็นแล้วว่าการเลือกตั้งเป็นเพียงข้ออ้างในการโจมตีและปฏิเสธระบอบ 

ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ได้อธิบายประเด็นบางอย่างให้กับบรรดาอิมามนำนมาซ “การนมาซญะมาอัตทุกสามเวลาของการนมาซห้าเวลา” "และ" การเปิดประตูมัสยิดทุกเวลาให้ประชาชนเข้ามาหา และทำการนมาซตลอดทั้งวัน "  

ท่านผู้นำสูงสุดได้ตำหนิผู้นำนมาซในมัสยิดที่ทำหน้าที่เป็นเพียงแค่การนำนมาซอย่างเดียว ว่า การมีมุมมองเช่นนี้ถือเป็นการกดขี่ และในความเป็นจริงแล้วคือมุมมองของฆราวาส  ที่จำกัดศาสนาเป็นเพียงแค่การปฏิบัติในเรื่องส่วนบุคคลเท่านั้น และห้ามมิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประเด็นสังคมและการเมืองการปกครอง  

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า อิสลามแบบฆราวาสและการจำกัดการทำอิบาดะห์ไม่ว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลและส่วนรวม "แม้นว่าจะมีผู้ให้การตอบรับมากมายก็ตามก็จะไม่เป็นที่สนใจของบรรดามหาอำนาจ  แต่สิ่งที่มหาอำนาจโลกผู้อหังการเป็นศัตรูนั้นคือ "ศาสนาอิสลามที่ทรงพลังและมีเกียรติศักดิศรี" ที่สร้างระบอบการปกครองทางสังคมและการเมือง และชี้นำประชาชาติสู่ความผาสุกอย่างแท้จริงทั้งทางโลกและทางธรรม 

การให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อบรรดาเยาวชนหนุ่มสาวและเปิดเวทีให้กับคนรุ่นใหม่เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้เน้นย้ำ

ท่านผู้นำกล่าวเสริมว่า จงดึงดูดหัวใจของคนหนุ่มสาวด้วยวิธีการดึงดูดที่ถูกต้อง  กล่าวคือ  "คำพูดและการกระทำต้องหลอมรวมกับจิตวิญญาณและอิรฟานอย่างแท้จริง" เพื่อดึงเข้าสู่มัสยิด เพื่อให้ประเทศชาติสามารถใช้ประโยชน์อันมากมายจากศักยภาพของเยาวชนเหล่านี้ที่ได้ปรากฏตัวในมัสยิด  

ท่านอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า การจัดทำเรื่องราวมัสยิดในรูปแบบต่างๆเช่นหนังสือ ภาพถ่าย หรือวิดีโอเพื่อสร้างความเข้าใจเยาวชนในวันนี้และวันพรุ่งนี้นั้นถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก 

ในช่วงท้ายท่านผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวว่า แม้จะมีความพยายามอย่างกว้างขวางทั้งที่เปิดเผย ซ่อนเร้น และสลับซับซ้อนของเหล่ามหาอำนาจที่กดขี่และอหังการ  ทว่ากะลีมะห์อันบริสุทธิ์ของสาธารณรัฐอิสลามมีความแข็งแกร่งและมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น และด้วยบารากัตของอิหม่านและความศรัทธา และความสามัคคีของประชาชน แผนการอันชั่วช้าเหล่านี้ต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน 

 

700 /